วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พูดแล้วสวย ดีกว่า พูดแล้วซวย

พูดแบบลูกทุ่งภูธร

ในปัจจุบัน  มีผู้สนใจเรื่องศิลปะแห่งการพูดกันมาก  เท่าที่สังเกตเห็นมีอยู่หลายระบบด้วยกัน เช่น

    ระบบของ  เดล  คาร์เนกี้    มีการอบรมกันอย่างจริงจัง  และมีหนังสือคู่มือ  ซึ่งใช้ประโยชน์ได้มาก
 
    ระบบของ  โท้สต์  มาสเตอร์   นี่ก็ใช้กันแพร่หลายทั่วโลก  แต่ในเมื่องไทยนี้มีระบบซึ่งคนนิยนกันมากอีกระบบหนึ่งซึ่งเป็นแบบไทย ๆ คือ
 
    ระบบของอาจารย์  ทินวัฒน์   เปิดหลักสูตรทีไร  ก็จะมีคนสมัครเรียนกันแน่นทุกครั้ง  เพราะอาจารย์ทินวัฒน์  ท่านมีลูกเล่นลูกฮา.... เป็นที่สบอารมณ์คนไทย  นอกจากนี้แล้วก็ยังมีอีกระบบหนึ่งคือ.....

    ระบบการพูดแบบนักการทูต  ซึ่งเป็นระบบที่มีผู้นิยมอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน  เพราะ  "พูดแบบการทูต"  นั้นก็เป็นทำนองพูดจาภาษาดอกไม้  คือพูดแล้วสวย  เสริมเสน่ห์ทำให้ผู้พูดเป็นคนน่ารักไม่ใช่พูดแล้วซวย  สร้างศัตรูเอาไว้รอบเมือง

    ผู้ชายบางคนหน้าตาออกจะขี้ริ้ว  ยกตัวอย่างกันอย่างไม่เกรงใจ ก็เช่น  ดร.นิพนธ์  ศศิธร  อยู่เฉย ๆ ไม่มีเสน่ห์เลยจนนิดเดียวแต่พออ้าปากพูดเท่านั้น  ท่านจะมีเสน่ห์น่ารักอย่างประหลาดขึ้นมาทันที่  แบบนี้เขาเรียกว่า "พูดแล้วสวย"  เพราะฉะนั้นอย่าไปสงสัยเลยว่า  ทำไม่ท่านหน้าตาขี้ีิริ้ว  แต่กลับมีเมียสวยเมียคนแรกนั้นเคยเป็นนางงาม  ส่วนเมียคนที่สอง  นอกจากจะสวยแล้ว  ยังสวยพริ้งกว่าคนแรกเสียอีก

    ท่านอาจารย์  ดร.นิพนธ์  ศศิธร  ท่านไม่หวงความรู้  เพราะมีนิสัยเป็นครู  ท่านจึงได้แต่งตำราว่าด้วยหลักการพูดขึ้นไว้เล่มหนึ่ง  ผมขอแนะนำด้วยความนิยมว่า  เป็นหนังสือที่ดีเยี่่ยมทั้งในแง่ของทฤษฎีและการปฏิบัติ  เพราะท่านเขียนออกมาจากความชำนาญจัดเจนของตัวเอง  ที่เคยท่องยุทจักร  การพูด  การอภิปราย  และการโต้วาทีมาแล้วทั่วประเทศ

   เมื่อได้เกริ่นมาพอสมควรแล้ว   ก็จะลองเขียนดูบ้างว่าหลักการพูดแบบลูกทุ่งภูธรนั้น  ควรจะเป็นอย่างไร

   เดล  คาร์เนกี้  ย้ำแล้วย้ำอีกว่า  จะพูดอะไรต้องรู้ให้จริงแต่ผมกลับเห็นว่า  ถ้าจะรู้ให้จริง  เห็นจะต้องรอไปจนถึงอายุเก้าสิบ  ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นคงจะพูดไม่ไหวแล้ว  และอีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือคนรู้จริง    มักพกเอารายละเอียดมาให้คนฟังมากเกินไป จนคนฟังรับไม่ไหวเพราะคนทั่วไปไม่สนใจ  ชีววิทยา  พฤกษศาสตร์  หรือภูมิศาสตร์มากมายถึงขนาดนั้น   ควรจะพูดและเล็มกันแต่พอหอมปากหอมคอ  ผมจึงตั้งกฎข้อแรกของการพูดแบบลูกทุ่งเอาไว้ว่า

    ข้อหนึ่ง-อย่ารู้มาก เพียงแต่แสดงท่าวางภูมิว่ารู้มากก็พอแล้ว

    ข้อสอง-จงพูดให้สวนทางกับความคิดของคนอื่น

    ในโลกนี้ใคร ๆ ก็ต้องนิยมส่งลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัย  แต่เบอร์นนาด  ชอร์  ประกาศโผงผางออกมาเลยว่า  ควรเลิกมหาวิทยาลัยเสียให้หมด  คำประกาศเช่นนี้ย่อมทำให้คนฟังหูผึ่ง  เกิดความสนใจ

     คิดดูดี ๆ  ...บางที  เบอร์นาด  ชอร์  อาจจะถูกก็ได้   ท่านอาจารย์ดร.เกษม  สุวรรณกุล เคยพูดไว้ในอดีตว่า  "ถ้าไม่รีบแก้ระบบที่เกรอะกรังอยู่ ก็น่าจะเลิกมหาวิทยาลัยทั้งหมดได้แล้ว" หรือถ้าจ่ายครบจบแน่ อันนี้ผมพูดเองครับ

     การพูดคล้อยตามไปกับกระแสร์ของโลกนั้นเป็นของง่ายเปิดคำโคลงโลกนิติขึ้นมา   แล้วว่าไปตามนั้น....ไม่ยากเลย  แต่การพูดทวนกระแสร์ของโลกนั้นเป็นของยาก

     อารมณ์ขัน  เกิดตรงนี้เอง เพราะคนที่จะพูดให้ขบขันได้นั้น  จะต้องมีมุมมองที่แปลก....ผิดแผกไปจากที่่คนอื่น ๆ เขาเคยมองกัน  ขอให้ดู  ปริ้นซ์  ชาลส์ เป็นตัวอย่าง  เมื่อได้ลูกคนแรกนั้น  เจ้าฟ้าชายชาลส์ทรงดีพระทัยและตื่นเต้นมาก
 
      ข้าราชบริพารก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย    เจ้าชายพระองค์น้อย น้ำหนักเมื่อประสูติ ๓,๒๐๐  กรัม ทรงมีพระเกศาสีบลอนด์  พระเนตรสีฟ้า  และกรรแสงเสียงดังลั่นเมื่อตอนประสูติ

      เจ้าฟ้าชายชาลส์  ทรงปลาบปลื้มมาก  เมื่อได้เห็นหน้าพระโอรสเป็นครั้งแรกที่โรงพยาบาล และรับสั่งว่า  "โล่งใจไปที่ไม่เหมือนฉัน" อย่างนี้เรียกว่า  พูดแล้วสวย

      คือเจ้าหญิงไดอะน่าก็รัก  พสกนิกรก็ขบขัน  และบรรดายายแก่เมืองอังกฤษก็เพิ่มควารักและเอ็นดู  เจ้าฟ้าชายชาลส์ยิ่งขึ้น เพราะเท่ากับพระองค์ทรงยอมรับว่า  หน้าตาของพระองค์นั้นขี้ริ้ว  เป็นการติดตลก  แบบยอมให้ตัวเองขาดทุน

      ซึ่งเป็นหลักข้อต่อไปของศิลปแห่งการพูด    นักพูดที่ดีจะต้องสามารถล้อตัวเองได้ คนที่มองหาจุดอ่อนที่ล้อตัวเองได้นั้นคือยอดนักพูด   คนที่หูกาง  จะต้องรีบยกเอาเรื่องหูกางมาพูดเสียก่อนที่คนอื่นจะพูด   ถ้าตัวเราเองเป็นคนแก่สูงอายุ  ก็ต้องรีบพูดถึงความแก่อย่าไปอาย  ถ้าอายก็อย่าออกมาพูด  หลบเข้าวัดไปเลย


       นี่แหละ.....หลักของการพูดแบบลูกทุ่งภูธร เท่าที่ผมพอจะนึกออกมาอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น
                                               ---------------------------------------
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น