วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

นัสรูดิน คนเจ้าสำราญ ๑




                                    นัสรูดิน


 รู้จักมาหลายปี แต่ก็ไม่รู้ว่า นัสรูดินเป็นใคร และอย่างที่รู้ ๆ กันชาติต่าง ๆ กล่าวอ้างว่า นัสรูดินเป็นชาติของตน ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส กรีก อาหรับ(อิหร่าน) ฯลฯ ตุรกี ถึงกับจัดงาน "วันนัสรูดิน" เป็นงานประจำปี  รัสเซียนับถือว่า  เป็น "วีรชนของประชาชนแห่งสหภาพโซเวียต"
และได้สร้างเป็นภาพยนตร์  ส่วนจีนปัจจุบันนิยมอ่านกันแพร่หลายทั่วประเทศ

                                                 ฯลฯ


หลายคนบอกว่า  นอกจากเขาจะช่วยให้จิตใจของผู้อ่าน  เฮฮา "....แต่สิ่งที่ได้รับ คือ ความบ้า ถึงกระนั้น เมื่อค้นหาปัญญาที่ลึกกว่านี้ก็หาไม่ได้ในที่อื่น

นัสรูดินเป็นใครไม่รู้ รู้แต่ว่า เขาอยู่ในใจของเราทุกคน


                                                          เรื่องที่่ ๑
                                     
                                                      (สูญทั้งชีวิต)

เมื่อครั้งที่นัสรูดินมีอาชีพเป็นคนนำคนท่องเที่ยวนั้น   คราวหนึ่งมีครูผู้ช่างซักถามคนหนึ่ง  มาว่าจ้างให้นัสรูดินนำเที่ยวทางเรือ  แต่ก่อนลงเรือ  แกช่างหาเรื่องราวมาถามนัสรูดินมากมาย จนนัสรูดินเองก็ไม่ค่อยอยากจะตอบ  ตอนหนึ่งขณะที่เรือลอยเท้งเต้งอยู่กลางน้ำครูก็ถามว่า


" อาชีพนี้ลำบากมากไหม? "

" ไม่หรอก"   นัสรูดินตอบ

" แล้วแกเคยเรียนหลักไวยากรณ์ไหม? "  ครูถามต่อ

" ไม่เคย"  นัสรูดินตอบอย่างลำคาญ

" ถ้าอย่างนั้น ชีวิตของเจ้าก็สูญไปครึ่งหนึ่งแล้วเชียวรู้ไม๊ "

นัสรูดินหาตอบประการใดไม่  ไม่ช้านัก  เกิดลมพายุจัดเรือลำน้อยโคลงและน้ำเริ่มเข้าเรือ 

" ครูครับ  ครูเคยเรียนวิชาว่ายน้ำไม๊ครับ? "

" ไม่เคยหรอก "   ครูตอบ

" ถ้าอย่างนั้น  ชีวิตของครูทั้งชีวิตต้องสูญแล้วเพราะเรือกำลังจะล่ม "


                       __________________________


                                                           เรื่องที่ ๒

                                                         (ข้าถูกเสมอ)


 " คนที่มีเหตุผลมักจะเห็นเหมือน ๆ กัน "  ข่านแห่งสมากันต์เอ่ยกับนัสรูดิน  "ก็จริงอยู่ แต่คนที่มีเหตุผลที่ว่านั้น" นัสรูดินตอบ     " เป็นเพราะ บางคนมักเห็นอะไรเพียงด้านเดียว  ทั้ง ๆ ที่มีความสำคัญทั้งสองด้าน "


ขานไม่เชื่อ  จึงเรียกประชุมปวงปราชญ์ราชบัณฑิต  ได้อภิปรายกันมากมาย  ทุกคนลงความเห็นว่า  นัสรูดินพูดไร้สาระ


วันต่อมา  นัสรูดินขี่ลาไปรอบ ๆ เมือง ด้วยการขี่หันหน้าไปทางหางลา  เมื่อมาถึงหน้าวัง  ข่านกำลัง นั่งประชุมพร้อมปวงปราชญ์  นัสรูดินกล่าวขึ้นว่า

" ข้าแต่ท่าน  ได้โปรดถามคนเหล่านี้ดูเถิดว่า  เขาได้เห็นอะไรบ้าง "

เมื่อถูกถามเช่นนั้น  ปราชญ์ทั้งหมดก็ตอบว่า  " มีคนขี่ลาแบบหลังเป็นหน้า "


" นั่นแหละคือจุดที่ข้าต้องการ "  นัสรูดินกล่าวต่อทันที  " ก็คนพวกนี้ไม่มีใครเลยที่เห็นว่า  ข้าขี่ลาถูกทางแล้ว  แต่ลามันเดินผิดทางเอง "



                                     ___________________________

                                                            เรื่องที่ ๓ 

                                                       (ปรัชญาการให้)

 เพื่อนคนหนึ่งของนัสรูดินรักเงินอย่างมาก   และที่สำคัญไม่เคยหยิบยื่นอะไรให้ใครเลย ไม่ช้าไม่นาน  เขาจึงร่ำรวย


วันหนึ่ง  เขากับเพื่อนเดินไปตามชายฝั่งแม่น้ำ  เพื่อนผู้นั้นลื่นและตกลงไป  เพื่อน ๆ วิ่งไปช่วยเขา  เพื่อนคนหนึ่งคุกเข่ากับพื้นดิน  ยื่นมือออกไปแล้วพูดว่า


" ยื่นมือแกมาให้ข้า  ข้าจะได้ดึงแกขึ้น "


หัวของผู้มั่งคั่งผลุบ ๆ โผล่ ๆ   แต่ก็หายื่นมือให้เพื่อนไม่  เพื่อนอีกคนหนึ่งพยายามอย่างเก่าอีก

ครั้งก็ปรากฏเหมือนเดิม


ถึงคราวนัสรูดิน  เขาพูดขึ้นว่า  "  เอามือข้าไปซิ  ข้าจะฉุดขึ้นเอง "   ชายผู้ร่ำรวยรีบฉวยมือนัสรูดิน  นัสรูดินจึงฉุดเขาขึ้นพ้นน้ำ


"พวกแกไม่รู้จักเพื่อนของข้าดีพอ"   เขาพูดกับเพื่อน ๆ   " เมื่อแกพูดคำว่าเอามา  กะเขา เขาจะไม่ยอมทำตาม   แต่ถ้าแกว่าเอาไป  เขาจะรีบรับที่เดียว "




                                          ________________________

                                                                                                                                                                                      Sampan Chanpa





 









 

 







 




 

 

 

 

 
 

       
             

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรื่องของ "ภาพโมนาลิซา" ที่บางท่านอาจยังไม่รู้ (ตอนจบ)




                                                         โมนาลิซา  (ตอนจบ)

ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ มีการขโมยรูปภาพตามพิพิธภัณฑ์ กันบ้างแล้วประปราย  ทางพิพิธภัณฑ์ลูฟว์จึงได้หาแผงกระจกมากันภาพสีน้ำมันที่มีราคาแพง ๆ เพื่อกันขโมย แต่เชื่อเถอะครับขึ้นชื่อว่าขโมยมันตั้งใจขโมยจนได้ละครับ การที่เอากระจกมากันทำให้พวกที่มาชมภาพเกิดความไม่พอใจเพราะมันไม่ได้อรรถรส (Poetic flavo) เล่นภาษาปากิตสักหน่อย เสียมู้ดหมดเวลาไปดูเหมือนทำให้รู้สึกเหมือนภาพเหล่านี้อยู่ในตู้กระจก

แต่แล้วก็เกิดเรื่องจนได้ เช้าวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ จิตรกรผู้หนึ่งเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์   พร้อมกับนางแบบหน้าหวาน   เพื่อจะให้นางแบบไปยืนประชันโฉมกับ 
"โมนาลิซา" แต่พอไปถึงจุดที่เคยมีภาพ "โมนาลิซา" แขวนเด่นอยู่ปรากฏว่ามีแต่ความว่างเปล่า เจ้าหน้าที่เองก็ยังไม่รู้จับมือใครดมไม่ได้แปลกมันอันตรธาน (Hypochondria) ไปได้อย่างไรหว่า

เห็นแต่กรอบกระจกตกอยู่ข้างบันไดและที่อยูข้าง ๆ ก็คือกรอบรูป เจ้าหน้าที่จึงย่อมประกาศความโง่และออกแถลงการณ์ย่อมรับความอับอายขายหน้าสุดขีดว่าภาพอมตะ "โมนาลิซา"ได้ถูกขโมยเอาไปเสียแล้ว !

หนังสือพิมพ์ขายดิบขายดี  เพราะใคร ๆ ก็อยากอ่านรายละเอียด คนที่ต้องพลอยรับบาปเป็นพวกแรกก็คือคนเยอรมันทั้งหมดที่อยู่ในปารีส  เพราะถูกตำรวจตั้งข้อสงสัยว่าผู้ร้ายรายนี้ต้องเป็นคนเยอรมันแน่  เพราะช่วงนั้นฝรั่งเศสกับเยอรมันกำลังฮึ่ม ๆ แยกเขี้ยวเข้าใส่กันอยู่เกี่ยวกับปัญหาขัดแย้งเรื่องดินแดนในมอร็อคโค งานนี้เยอรมันโกรธมาก ฝรั่งเศสก็ไม่ใช่ย่อยกับยุยงสงเสริมพวกของตัวเองให้โกรธและเกลียดพวกเยอรมัน เรื่องทำท่าจะบานปลายไปกันใหญ่


หนังสือพิมพ์ฝรั่งฉบับหนึ่งได้เสนอตั้งรางวัลสี่หมื่นฟรั่งค์ให้แก่ผู้ที่สามารถนำภาพนี้มาส่งคืนที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น แต่ก็เงียบ  ไม่มีใครรู้ว่านงนุช "โมนาลิซา" ไปแอบนอนยิ้มอยู่ที่ไหน

หนังสือพิมพ์อีกฉบับหนึ่งเพิ่มรางวัลให้สูงขึ้นโดยเพิ่มเป็นห้าหมื่อนฟรังค์  ส่วนอีกฉบับหนึ่งซึ่งเชื่อในเรื่องเวทย์มนต์คาถาได้ลงคำขอร้อง  อ้อนวอนไปถึงบรรดาคนทรงทั้งหลายให้พยายามช่วยกันหน่อยถ้าใครรู้ว่ารูปนี้ถูกซุกซ้อนอยู่ที่ไหน ก็ขอได้โปรดแจ้งให้ทางจังหวัดหรืออำเภอทราบโดยด่วนด้วย  ฝรั่งเศสทั้งประเทศไม่เป็นอันทำอะไรกันแล้ว  เป็นตายอย่างไรก็ต้องระดมกำลังกันทั้งตำรวจคนทรง ตาเถร ยายชี และนายอำเภอ เพื่อเอา นงนุช "โมนาลิซา" คืนมาให้จงได้

นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ประชุมเคร่งเครียดกัีนเกือบทุกวัน  ในที่สุดมีนายตำรวจหัวแหลมคนหนึ่ง  เสนอความคิดขึ้นว่า  คนที่ขโมยเอาไปจะต้องมีความรักรูปนี้อย่างหลงใหล ไม่งั้นคงไม่กล้าเสี่ยงคุกตารางมาทำโจรกรรมขนาดมหึมาพิลึกพิลั่นแบบนี้ และคนที่รักศิลปะอย่างบ้าคลั่ง ก็จะต้องควรเป็นศิลปิน! เพราะฉะนั้นต้องเรียกศิลปินทุกคนบรรดามีมาสอบสวนให้หมด  แม้แต่ปีกาสโซ ก็ถููกเชิญมาสอบปากคำในคราวนั้นด้วย

อีกสามสี่วันต่อมา  ตำรวจได้หลักฐานว่า  กวีเอกชื่อ อะโปลิแนร์ มีความรักฝังใจรูป "โมนาลิซา" เป็นพิเศษ ได้เคยเขียนโอดครวญพรรณนาความรักของเขาไว้เป็นกลอนหลายบท  ท่านกวีเอกก็เลยซวยไป ถูกจับและถูกตำรวจสอบสวนซักไซ้อยู่หลายชั่วโมง ลงท้ายก็เหลวอีกตามเคย

สองปีผ่านไปโดยไม่มีร่องรอยว่าเจ้าโจรใจเด็ดที่แอบเอา "โมนาลิซา" ไปฝังดิน หรือซุกไวัใต้หลังคาที่ไหน

อยู่มาวันหนึ่ง  พ่อค้าระดับเศรฐีชาวฟลอเรนซ์ ซึ่งประกอบธุรกิจค้า ๆ ขาย ๆ เกี่ยวกับงานศิลปะ มีลูกค้าประเภทเสี่ยใหญ่จ่ายเงินแสนโปรยปรายได้เป็นว่าเล่นถ้าเผื่อเกิดชอบใจภาพสีน้ำมันภาพหนึ่งภาพใดขึ้นมา  พ่อค้างานศิลปะคนนี้ชื่อ อัลเฟร็ด เกรี มิใช่เป็นคนเกเรอะไรหรอก แก่ชื่อเกรีไปงั้นเอง อีตาเกรีแก่อยากจัดนิทรรศการศิลปกรรมครั้งใหญ่ให้เลื่องชื่อระบือไกล  จึงลงแจ้งความในหนังสือพิมพ์ว่าผู้ใดมีรูปเขียน หรือรูปปั้นที่ดีวิเศษอยากจะขายขอให้ติดต่อมา แกจะได้รวบรวม
"ของดีวิเศษแห่งยุค" มาตั้งแสดงให้เป็นขวัญตาขวัญใจแก่ชาวโลก  ทั้งนี้เพื่อความหฤหรรษ์บันเทิงสุขของผู้รู้รักศิลปะทั้งผอง (และเพื่อกระเป๋าของแกเองด้วย)

อีกสองอาทิตย์ต่อมา  พ่อค้าคนนี้ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งเขียนมาจากปารีส  เจ้าของจดหมายลงชื่อสั้น ๆ แต่เพียงว่า "เล็นนารด์" บอกมาว่าเขามีรูป "โมนาลิซา" อยู่ในครอบครอง และยินดีจะขายให้ถ้าได้ราคาสูงถูกใจ เพราะต้องการให้รูปนี้กลับไปอยู่ที่อิตาลี ซึ่งเสมือนเป็นบ้านเกิดของรูปนี้

 พ่อค้าเมืองฟลอเรนซ์แกอ่านจดหมายแล้วก็นึกในใจว่า เจ้าคนที่เขียนจดหมายฉบับนี้ถ้าไม่บ้าก็คงจะเมา  แต่มานึกอีกทีหมอนี่อาจเป็นพ่อค้างานศิลปะระดับกระจอก ซึ่งเพิ่งจะย่างเข้ามาสู่วงการ ก็เลยถูกตุ๋นรับซื้อเอาของปลอมเข้าไว้  เพราะในยุโรปนั้นเขาปลอมภาพเขียนออกขายกันเกร่อ 
แบบที่เมืองไทยก็ปลอมพระเครื่องกันยังไงยังงั้นเชียว  ต้องระดับเซียนจริง ๆ จึงจะดูออกแต่โดยมรรยาท  พ่อค้าเมืองฟลอเรนซ์  จึงเขียนจดหมายตอบสั้น ๆ ไปว่า เขากำลังมีธุระการงานยุ่ง  ไม่สามารถจะไปปารีสได้ แต่ถ้ามาพบเขาที่ฟลอเรนซ์ได้  เขายินดีที่จะรับพิจารณาภาพนั้น และถ้าเป็นภาพ "โมนาลิซา" ของจริงละก็ เรื่องราคาขอให้วางใจเถอะเขาสู้ไม่อั้น  ขอแต่เพียงเป็นของแท้ก็แล้วกัน

ทางปารีสโทรเลขตอบมาว่า  จะมาเยี่ยมนายเกรี  ที่ออฟฟิศ ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ นายเกรีนั้นกระหยิ่มใจอยู่ว่า ในวงการยุทธจักรศิลปะ ฝีมือเขาก็ระดับเซืยนเหยีบเมฆคนหนึ่ง ไม่ยอมให้ใครมาแหกตาเอาแน่ แต่คราวนี้พอได้รับโทรเลขก็นอนไม่หลับ ต้องไปขอแรงอธิบดีกรมศิลปากร....เอ๊ย-ไม่ใช่.....ต้องไปขอแรง จิโอวันนิ ป๊อกกี ผู้อำนวนการหอภาพ UFFZI อันมีชื่อเสียงแห่งฟลอเรนซ์  ให้มาช่วยดูกันหน่อย ต้องเผื่อกันเหนียวกันไว้ก่อน จะได้ไม่พลาด

พอถึงวันนัดหมาย  ชายคนนั้นจากปารีสที่อ้างตัวเองว่าชื่อ "เล็นนาร์ด" ก็โผล่เข้ามาที่สำนักงานของนายเกรี  เมื่อเวลา ๑๕.๑๕ น.  หมอนี่เป็นคนร่างเล็ก  อายุอานามก็คงจะสามสิบกว่า ๆ ไว้หนวดรุงรัง นัยน์ตาปรือคล้ายเพิ่งจะตืนนอน

นายเกรีแนะนำให้ "เล็นนาร์ด" รู้จักกับผู้อำนวยการหอศิลปแล้วกล่าวว่า "จะให้เราชมภาพของคุณหรือยัง?"  "ไปดูกันที่โฮเต็ลดีกว่า" คือคำตอบ

 โฮเต็ลที่เขาพักอยู่นั้น เป็นโฮเต็ลเล็ก ๆ ราคาถูก "เล็นนารด์" เดินนำหน้าพาคนทั้งสองขึ้นไปถึงชั้นสาม  พอเข้าไปในห้องพักแล้วเขาก็ล็อกประตูด้วยความรอบคอบ 

นายเกรีมือไม้สั่นไปหมด  ขณะที่จ้องดู "เล็นนาร์ด" เดินตรงรี่ไปที่เตียงนอน  แล้วก็ดึงเอาลังไม้สีขาวออกมาจากใต้เตียง  ในลังใบนั้นรุงรังไปด้วยสิ่งซึ่งควรจะเรียกว่าเศษขยะมากกว่า คือมีรองเท้าเก่า ๆ ขาดแล้วหกเจ็ดคู่ หมวกที่เก่าสกปรกยับยู่ยี่หนึ่งใบ  เศษผ้าเก่า ๆ กะรุงกะริ่งอีกเยอะแยะและมีแม้กระทั้งแมนโดลิน  เจ้าของรื้อของต่าง ๆ กระจุยกระจายเอาออกมาวางไว้นอกลังแล้วก็ล้วงลึกลงไปก้นลังอีกที  คราวนี้ควักเอาของอย่างหนึ่งออกมา  ซึ่งหอเอาไว้ด้วยผ้าไหมสีแดง

เขาค่อย ๆ บรรจงวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม และพอเอาผ้าคลุมสีแดงออกแล้ว  อนงค์นาง
"โมนาลิซา" ก็เผยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ออกมา !

นายเกรีพ่อค้าชาวฟลอเรนซ์  ประคองอุ้มภาพนั้นไปที่หน้าต่างประสงค์จะดูให้เต็มตา และเปรียบเทียบกับภาพถ่าย ซึ่งได้เตรียมเอาติดตัวมาด้วย

ให้ตายเถอะ !  ของแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ! หันไปขอความเห็นท่านผู้อำนวยการหอศิลป์ว่า

"ว่าไงครับท่าน ?...มีอะไรหน้าสงสัยไหมครับ ?"

ท่านผู้อำนวยการหอศิลป์  ผู้เจนจบวิทยายุทธ์ในทุกกระบวนท่าของศิลปะ พยักหน้าหงึก ๆ ว่า

"ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ ...แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่คือของแท้...คุณดูนี่สิ...หมายเลขแค็ตตาล็อกของลูฟว์ตรงกันกับในรูปถ่ายเปี๊ยบเลย"

เล็นนาร์ดบอกว่า เขาขอห้าแสนลีร์  สำหรับรูปนี้ (ประมาณหนึ่งแสนเหรียญอเมริกัน ถ้าคิดเทียบกับเงินตอนนั้น)   

"เราย้ายภาพนี้ไปที่หอศิลปของผมดีกว่า  จะได้ส่องดูและพิจารณาตรวจตรากันให้ถนัดถนี่กว่านี้" ท่านผู้อำนวยการว่าและเล็นนาร์ดก็ไม่ขัดข้อง

ทั้งสามคนจึงลงจากห้องพร้อมกันกับห่อของ  พอลงมาถึงชั้นล่าง  พนักงานของโฮเต็ลร้องตะโกนออกมาว่า
"อย่าเพึ่งไป...จะหอบของออกไปแบบนี้ไม่ได้นะ!....ที่หอบเอาไปน่ะอะไร ?"

เล็นนาร์ดตอบว่า  ในนี้คือรูปภาพ เราจะเอาไปที่หอศิลป์...อย่ากลัวไปหน่อยเลย  เราไม่หนีไปไหนหร็อกน่ะ"

พนักงานหญิงของโฮเต็ลจำหน้าท่านผู้อำนวยการใหญ่ได้  แบบคนไทยย่อมจำหน้าท่านสุภัทรดิศ  ดิศกุลได้ทุกคน  จึงยอมให้คนทั้งสามออกไปจากโฮเต็ลได้


นายเกรีพ่อค้าชาวฟลอเร็นซ์หัวเราะครึกครื้นเมื่อพ้นออกมาจากโฮเต็ลแล้ว  และพูดว่า "ถ้าหากยามของพิพิธภัณฑ์ลูฟว์จะมีความอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกับพนักงานโฮเต็ลคนนนี้ละก็....."โมนาลิซา" ก็คงไม่มีโอกาสได้มาฟลอเร็นซ์หร็อก!"

บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางศิลปต่างมากันแน่นหอศิลป  เพื่อจะมาพิสูจน์ว่ารูปนี้เป็นของแท้หรือของปลอมกันแน่  แต่แล้วทุกคนก็ต้องยอมรับว่าแท้  ดังนั้นหนังสือพิมพ์จึงออกข่าวกันไปทั่วโลกว่า บัดนี้ได้พบ
"โมนาลิซา" ยอดเสน่ห์แล้ว

พอค้าชาวฟลอเร็นซ์ผู้นั้นสุดแสนจะตื่นเต้น  เขาพยายามตระเตรียมการอย่างดีเป็นพิเศษ  เพื่อจะเอาภาพอมตะของลีโอนาโด  ดาวินซี  ภาพนี้ไปตั้งโชว์ในงานนิทรรศการของเขา ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าหลังจากสิ้นสุดการแสดงแล้วก็ต้องคืนภาพนี้กลับไปให้พิพิธภัณฑ์ลูฟว์

ฝ่ายเล็นนาร์ด  ก็ถูกตำรวจเชิญตัวถึงในห้องพักที่โฮเต็ล  เขามิได้ขัดขืนแต่อย่างใด  เดินตามอธิบดีกรมตำรวจไปโดยดี

เขาลงชื่อไว้ในแบบฟอรม์ของโฮเต็ลว่าVincenzo Leonardo แต่จากการสอบสวนได้ความว่า เขามีนามจริงว่า  วินเซ็นโซ  เปรูยา เกิดทางตอนเหนือของอิตาลี

เขาถูกนำตัวไปยังห้องขัง   และเมื่อตำรวจซักว่า ทำไมจึงได้บังอาจขโมย "โมนาลิซา" เขาตอบชัดถ้อยชัดคำว่า "เพื่อเกียรติภูมิของอิตาลี....และเพื่อแก้แค้นนะโปเลียนที่มาขโมยเอาภาพนี้ไปจากอิตาลี.....ผมไม่ใช่โจรนะครับคุณตำรวจ  นะโปเลียนต่างหากที่เป็นทั้งโจรและขโมย !"

แน่ะ....เอากะพ่อซี !

การพิจารณาคดีนี้ครึกโครมเกรียวกราวมาก  อัยการขอให้ศาลลงโทษจำคุกจำเลยสามปี  แต่ศาลพิพากษาให้จำคุกเพียงหนึ่งปีกับสิบห้าวัน (ผมขอเสนอหน่อยเกี่ยวกับอัยการความจริงมีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาจากหนักเป็นเบา นี่ดันเล่นหนักกว่าผู้พิพากษาเสียอีกผมไม่สงสัยแล้วว่าทำไมจึงต้องให้วิ่งอัยการ 55555)

"คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง" นักข่าวถามเขา เมื่อได้ฟังคำพิพากษาแล้ว

"ผมนึกว่าจะโดนหนักกว่านี้ซะอีก...."  เขาตอบช้า ๆ แล้วพูดดังแบบนักเลงท่าเรือว่า " ผมทำลงไปเพราะความรักชาติจริง ๆ ควรจะให้เหรียญตราผมจึงจะถูก"


จำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็คงทั้งสงสารและเห็นใจจึงลดโทษให้  คงเหลือจำคุกเพียงเจ็ดเดือน

มีข่าวไม่เป็นทางการว่า  "อีตาเปรูยา  ที่ขโมยรูป  "โมนาลิซา"  แกไม่ได้บ๊องหรือไม่เต็มเต็งหรอก.....เพราะเมื่อออกจากคุกแล้วแกก็ได้แต่งงาน.......ถ้าแกบ้า  ผู้หญิงคนไหนเขาจะยอมแต่งงานด้วยละ





                               Mona Lisa





           Mona Lisa Song by Nat King Cole



                                          ____________________________________


Sampan Chanpa







วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรื่องของ "ภาพโมนาลิซา" ที่บางท่านอาจยังไม่รู้



                                          มาดามลิซา


เรื่องต่อไปนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว ต้องค่อย ๆ อ่านนะครับ หากจะถามว่า ผมชอบอะไรมากที่สุด คำตอบสั้น ๆ ก็คือ เดินดูรูป  ลูบหรรษา  บ้าหนังสือ  แล้วดูหนังฟังเพลงไปตามเรื่อง บางท่านถึงกับลงทุนเดินทางไปถึงเยอรมัน ก็เพราะอยากจะดูรูปเขียนของ คุณถวัลย์  ดัชนี ที่เจ้าชายเยอรมัน     ผู้ร่ำรวยล้นฟ้ามาอุ้มเอาตัวถวัลย์ไปเขียนไว้ให้เป็นศรีสง่าแก่ปราสาทของท่าน

เมื่อถวัลย์ถามว่าจะให้เขียนรูปอะไร เจ้าชายก็ตอบว่า " เขียนตามใจของคุณก็แล้วกัน...เขียนอะไรก็ได้" เล่นเอาถวัลย์มึนตึบต้องไปนอนก่ายหน้าผาก  คิดแล้วคิดอีกอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืนกว่าจะตกลงใจได้ว่า  ควรจะเขียนอะไรจึงจะสมกับที่เป็นผลงานของจิตรกรไทยผู้นับถือศาสนาพุทธ  ใครอยากเห็นภาพนี้ของถวัลย์  ต้องไปดูที่ปราสาท  ชล็อส คร็อตทอฟ ใกล้ ๆ กรุงบอนน์ (หมายเหตุผมก็ไม่เคยไปเหมือนกันกลัวเครื่องของเครื่องบินดับ)

การเขียนภาพนั้นเป็นการแสดงออกทางอารมณ์ศิลปอย่างหนึ่งของมนุษย์  ซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณตอนที่มนุษย์ยังอยู่ในถำ  สมัยกรีกและโรมันก็มีรูปเขียนและรูปปั้นเยี่ยม ๆ  การได้เดินดูภาพเขียนสวย ๆ งาม ๆ พวกนี้ อันไหนเราไม่ชอบก็อย่าไปเสแสร้ง  ถึงนักวิจารณ์จะตะโกนว่าดีวิเศษอย่างไร ก็อย่าไปดูมัน  รูปไหนเราชอบ  ก็หยุดพินิจพิศดูให้นานหน่อย  เรียกว่าดูแบบกลืนกินกันเข้าไปเลย... นี่คือความสุขอย่างหนึ่งซึ่งไม่ต้องลงทุนราคาแพง  หากว่าท่านยังไม่มีโอกาสไปดูถึงปารีส จะใช้วิธีซื้อหนังสือรวมภาพเหล่านี้มานอนดูเล่นไปพลาง ๆ ก่อนก็ยังได้

ในบรรดาภาพเขียนมีชื่อทั้งหลายของนานาชาติทั่วโลกนั้น  เห็นจะไม่มีภาพไหนโด่งดังและงดงามเท่ากับ "โมนาลิซา" ของ ลีโอนาโด  ดาวินซี  (คนอิตาลีออกเสียงเป็น  ดาวินชี) ทั้งไทยจีนพม่ารามัน อ้อ! เดี๋ยวจะลืมพวกฝรั่งรู้จักภาพนี้กันทั่วหน้า บางคนคนถึงกับเอาไปตั้งชื่อลูกสาวก็มี พอลูกสาวแก่ตัวลงไม่รู้จะเรียกชื่อลูกสาวว่าอย่า่งไร

ภาพ "โมนาลิซา" นี้  ผมเคยได้ยินกิตติศัพท์ชื่อเสียงมานานและเคยได้เห็นรูปถ่ายในหนังสือมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน  จนจำได้ติดตา  ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ที่ปารีส ต้องยอมรับว่าในภาพยิ้มของเธอมีเสน่ห์รัดรึงใจอย่างประหลาด (เขาว่ากันไป) มีผู้เล่าว่าเคยมีคนอิตาเลียนกะโกนใส่ในขณะที่มีคนหลายชาติยืนชมภาพโมนาลิซาในพิพิธภัณฑ์อย่างรุนแรงว่า " เลวระยำ ! นี่มันเป็นภาพของอิตาลีนี่หว่า....เขียนโดยศิลปีนอิตาลี...เป็นสมบัติของอิตาลี  ควรจะอยู่ที่อิตาลี...เจ้านะโปเลียนตัวดีใช้อำนาจไปบีบคอปล้นเอาของเรามา...ถึงได้มาตกอยู่ที่ฝรั่งเศสนี่... ทำเงินให้ฝรั่งเศสปีละไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ล้าน...."

เจ้าหน้าที่ประจำพิพิธภัฑณ์เห็นท่าไม่ดี  เลยต้องมาเชิญกระทาชายชาวอิตาเลียนผู้นั้นออกไปเสีย (ความจริงไล่ให้ออกไป) เกรงว่าถ้าขืนปล่อยให้เจ้าหมอนั่นระเบิดอารมณ์ฟพลุ่งพล่านต่อไป อาจ
กระโดดเข้าเตะหรือเอามีดกรีดเสียหายได้ (นี่แค่ภาพนะ บ้านเราเขาพระวิหารทั้งลูกยังเสือกยกให้เขมรจัญไรจริง ๆ )


นางแบบที่มานั่งให้ ลิโอนาโด ดาวินซี  วาดภาพนี้คือ มาดามลิซา  ภรรยาคนที่สามของ Francesco del Qiocondo ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวัวพันธุ์สวีสและหนังแกะดิบ (นี่ก็แสดงว่า มาดามลิซามีสามีแล้วเป็นภรรยาน้อยรำดับสามด้วย) เวลาเธอมาที่สตููดิโอเธอมาคนเดียว สามีไม่ได้คุมมาด้วย


ปกติเธอสวยหยาดฟ้าอยู่แล้ว  ไม่งั้นศิลปินเอกอย่าง ลิโอนาโด ดาวินซี  คงไม่เลือกเอามาเป็นนางแบบ  ขั้นตอนในการวาดภาพก็ยุ่งยากพอสมควร  แต่เพื่อให้ได้อารมณ์และยิ้มของเธอรัญจวนใจยิ่งขึ้น และมีการสร้างบรรยากาศให้ชื่นมื่น  ขณะที่นางแบบนั่งให้วาดนั้น มีน้ำพุเริงระบำอยู่ข้างหลังและแวดล้อมด้วยดอกไอริส (สีม่วง) และดอกลิลลี่ (สีขาว) แถมมีนักดนตรีมาขับกล่อมนางอยู่ด้วย เรื่องอาหารการกินไม่ได้กล่าวถึง ลองนึกดูเถิดว่าจะโรแมนติกสักเพียงใด เพราะเขาวาดก็เฉพาะยามโพล้เพล้เท่านั้น

ศิลปินเอกใช้เวลาวาดภาพนี้อยู่ถึงสามปี  แต่ยังไม่จุใจ  เขายังนั่งยันยืนยันอยู่เสมอว่าภาพนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ง่าย ๆ  จะไปไหนก็ต้องหอบเอาไปด้วย  เพื่อคอยแก้ไขเสริมตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย

ผู้ที่ว่าจ้างให้วาดได้แก่  พระเจ้าฟรานซิสที่ ๑ แห่งฝรั่งเศส โดยตกลงค่าจ้างกัน สี่พันเหรียญทองฟลอรินส์  พระเจ้าฟรานซิสที่ ๑ ทรงโปรดรูปนี้มาก พอได้ไปแล้วก็เอาไปแขวนในห้องสรงน้ำ
ต่อมาภายหลังภาพนี้ได้ไปแขวนแสดงอยู่ในหอศิลปที่อิตาลีเพราะถือกันว่าเป็น "เพชรน้ำเอก"

ของชาติอิตาลี  จนกระทั้งนะโปเลียน (บางครั้งก็เขียน นโปเลียน) โบนาปาร์ต กรีฑาทัพเข้าไปในอิตาลี ได้ไปเห็นภาพนี้เข้า เลยใช้อำนาจคว้าเอาไป (จริง ๆแล้วขโมยมากว่า) และเอาไปแขวนไว้ในห้องบรรทมของพระองค์ (อยากจะเป็นเจ้ากับเค้าเหมือนกันสุดท้ายก็ตายหยั่งขอทานเศร้าใจจริง ๆ เหมือนใครบางคน) ตอนหลังจึงตกมาเป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ในกรุงปารีส ยิ้มเรียกนักท่องเที่ยวเอาเงินเข้าประเทศฝรั่งเศสเป็นการถาวร เรื่องนี้ยังไม่จบแค่นี้นะครับ แต่เอาไว้เขียนคราวหน้าอีกสักตอน  ว่าภาพ โมนาลิซา ได้ อันตรธาน ไปจาก พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ในกรุงปารีสได้อย่างไร

                                                     เลโอนาร์โด ดา วินชี


                                                       โมนาลิซา



                                                        โมนาลิซา


                                    _______________________________

Sampan Chanpa












วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

รำพึงถึงโสเภณี

                                                 

                                               รำพึงถึงโสเภณี


กล่าวกันว่าโสเภณีเป็นอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก   ซึ่งผมออกจะไม่เห็นด้วย  อาชีพที่เก่าแก่ที่สุดต้องเป็นอาชีพ  พ่อ-แม่  เล้า  ถึงจะถูก  อาชีพที่เก่าแก่ที่สองต้องเป็นอาชีพแมงดา  โสเภณีนั้นควรจะมาที่สาม  มีข้อบันทึกไว้ว่า  แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็เคยถูกโสเภณีกล่าวหาว่าเป็นพ่อของลูกในท้องของเธอ  นี่แสดงว่าในสมัยพุทธกาลโสเภณีก็ออกอาละวาดมาแล้ว


โสเภณีในเมืองไทยอุบัติขึ้นแต่เมื่อไร  เพราะเหตุไร  น่าจะได้มีการค้นคว้ากันบ้าง  น่าจะเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของพวกนักเรียนทางสังคมวิทยาได้ดีที่ดียว  วัดคณิกาผล  ซึ่งสร้างมาจากเงินลงขันของพวกคุณเธอ  ก็เป็นหลักฐานที่ดีว่า  อาชีพนี้เฟื่องฟูและหยั่งรากฐานแล้วในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์



จากการครุ่นคิดของตัวเอง  ผมแบ่งโสเภณีออกเป็น ๔ ประเภท คือ ๑. พวกถูกบังคับทางเศรษฐกิจ  ๒. พวกถูกบังคับทางร่างกาย  ๓. พวกแรด ๔. พวกอยากรวยเร็ว จะเห็นว่าสองพวกแรกจะเป็นพวกถูกบังคับ (ความจริงน่าจะมีภาษาอังกฤษวงเล็บไว้หลังคำว่า "ถูกบังคับ" ด้วย จะได้ดูขลังเหมือนที่พวกนักวิชาการเขาชอบทำกัน) ส่วนสองพวกหลังเป็นพวกสมัครใจ (Voluntree) ผมจะลองขอขยับปากกาวิจารณ์โสเภณี ๔ ประเภทนี้ พอเป็นสังเขป


ท่านผู้อ่านได้โปรดอย่่าเข้าใจผิดว่าผมเป็นนักเที่ยวโสเภณีตัวฉกาจ   ที่ดั้นด้นไปทุกตรอกซอกซอย  เพื่อแสวงหาความสุขชั่วคราวจากพวกเธอเหล่านั้น  แต่ผมก็ขอยอมรับว่าผมไม่ใช่อริยะบุคคลขั้นไหน ๆ ก็ตามที่จะพ้นจากกองกิเลส  ในสมัยวัยหนุ่มฉกรรจ์  ผมก็เคยออกไปบ้างเป็นครั้งคราว  แต่ต้องขอแก้ตัวว่าส่วนใหญ่จะไปโดยอย่างที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Peer Pressure คือกลุ่มเขาจะไปกัน ถ้าเราไม่ไปด้วย เขาก็จะหาว่า ไอ้นี่แหย ไม่แน่จริง อะไรทำนองนั้น ก็เลยต้องติดสอยห้อยตามเขาไปด้วยคน  เพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากเพื่อน ๆ (กลายเป็นซัดทอดเพื่อนไปเสียฉิบ)


ท่านผู้อ่านที่เป็นพ่อแม่ของคนหนุ่ม ๆ ก็พึงอบรมสั่งสอนบุตรชายของท่านนะครับ พูดตรง ๆ ไปเลยไม่ต้องอ้อมค้อม  ว่าอย่าตกเป็นทาสของ Peer Pressure เพื่อน ๆ ชวนไปเที่ยวโสเภณีก็ควรจะบอกว่า นี่ไม่ใช่หนทางของลูกผู้ชาย  ลูกผู้ชายที่แท้จริงต้องเอาชนะใจตัวเองได้ ต้องไม่ไปเที่ยว ถ้าไปก็เท่ากับช่วยเติมน้ำมันลงไปบนกองเพลิง  ก็จะยิ่งทำให้อาชีพอันโหดร้ายต่อจิตใจของทุก ๆ คน หยั่งรากลึกลงไปอีก  ลูกผู้ชายที่แท้จริงต้องช่วยกันขจัดอาชีพนี้ออกไปจากผืนแผ่นดินไทยให้หมดด้วยการบอยคอตไม่ไปเที่ยว


หันมาวิจัยกันต่อ

๑. พวกถูกบังคับทางเศรษฐกิจ (Economically Forced)

ชื่อก็บอกโต้ง ๆ อยู่แล้วว่าถูกสภาวะเศรษฐกิจบีบคั้น ไม่มีเงินจะัชื้อปัจจัยสี่ (เดี๋ยวนี้มีถึงปัจจัย ๔,๕,๖,๗,กันแล้วขายกันจนหมดตัวราคาตกก็ยังไม่พอกับตัญหาที่ต้องการ)  เพื่อดำรงชีวิตอยู่รอดได้ว่างั้นเถอะ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไม่ต้องมายึดอาชีพนี้ทั้งที่อาชีพอื่นก็มีให้ทำถมเถไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งถ้าจะตั้งเป็นทฤษฎีกันให้เมาปากกาก็ต้องแยกย่อยลงไปเป็นแขนงอีก เช่น ๑.๑ พวกถูกบังคับทางเศรษฐกิจและแรดด้วย ๑.๒ ฯลฯ

พวกกลุ่ม ๑.๑ นี้มีแต่ตายกับตายลูกเดียวครับ ยังไง ๆ ก็ต้องเป็นคุณตัวแน่ ๆ ณ ที่นี้เราจะเพ่งแต่เฉพาะพวกกลุ่ม ๑.๒๓ คือพวกกลุ่มถูกบังคับทางเศรษฐกิจแต่รักศักดิ์ศรี  ต้องเข้าใจพื้นฐานก่อนนะครับว่าพวกกลุ่ม ๑ ทั้งหมดนี้ เป็นพวกยากจน  ซึ่งก็หมายความว่ามีการศึกษาน้อยโลกทัศน์ก็ย่อมแคบไปด้วย  แต่ผมไม่ได้หมายความว่าพวกมีการศึกษาสูงแล้วโลกทัศน์จะกว้างนะครับ ในทางกลับกันพวกการศึกษาน้อยก็อาจมีโลกทัศน์กว้างก็ได้ ถ้ารู้จักขวนขวาย  ดูอย่างพระอรหันต์เจ้าในอดีตสิครับมีการศึกษากันที่ไหน  แต่ก็อาจขยายโลกทัศน์ของท่านออกไปถึงอนันต์ได้


ทั้งยากจน  โลกทัศน์แคบ  ไม่รู้เท่าทันคน  พอเข้ามาสู่เมืองมีคนเขาหลอกว่าไปทำงานกับฉันซิ งานเบา  เงินดี  ก็ไม่แคล้วต้องถลำเข้าไป  พอคิดจะเลิกก็สายเสียแล้ว  ไหน ๆ ก็เปื้อนโคลนเสียแล้วล้างยังไงก็ไม่ออก  ก็โดดลงโคลนมันไปเสียเลยสิ้นเรื่องสิ้นราว  พวกนายหน้าแม่เล้าบางคนก็อาจเติมปรัชญาชีวิตลงไปให้อีกว่า  เฮ่ย!  อย่าไปคิดมากอะไรเลย  ของมันไม่เห็นจะสึกหรออะไร สบาย ๆ ได้เงินดีจะไปอาทรร้อนใจทำไม่


เรื่องพ่อแม่ขายลูกสาวให้ไปเป็นโสเภณีในเมื่องนี่  ก็จัดเข้ากับกลุ่มนี้เหมือนกัน ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องจริงเท็จประการใด  แต่ได้ยินบ่อยเหลือเกิน ในอเมริกาถึงกับมีรายการทีวีแพร่ภาพไปทั่วราชอาณาจักร  เขาไปถ่ายทอดการประมูลราคาเด็กสาวทางภาคเหนือ  เพื่อเอามาขายเป็นโสเภณีในกรุงเทพฯ  นัยว่ามีการตั้งปะรำเอาเด็กออกมาโชว์ตัว  แล้วประมูลกันแบบวัวควายเลย รายการนี้ผมไม่ได้ดูกับตาเพื่อนเอามาเล่าให้ฟัง  เป็นรายการชื่อ Prime Time  ของ  CBS-TV พิธีกรคือ Sam  Donaldson กับ Diane Sawyer ที่ผมเอาชื่อบุคคลและรายการลงตีพิมพ์นี้  ก็เพราะต้องการประกาศให้พี่น้องชาวไทยได้รู้ เผื่อใครคิดอยากจะประท้วงรายการนี้จะได้ระบุกันถูก  แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นเราต้องส่องกระจกดูตัวเราก่อนว่่า  เรื่องเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า  รัฐบาลควรจะตั้งคณะกรรมการสอบสวน  ผมว่า! ถ้าเป็นเรื่องจริงเราก็ต้องแก้ไขและขอบคุณรายการเขาที่ช่วยกระตุ้นจิตใต้สำนึกของเรา


ผมออกจะลำเอียงเข้าข้างพ่อแม่เด็ก  เรื่องการซื้อตัวเด็กอาจจะมีจริง  แต่นายหน้าอาจจะหลอกว่า  มาหาเด็กเอาไปทำงานโรงงานทอผ้าในกรุงเทพฯ  ถ้าพ่อแม่อนุญาตก็จะให้เงินเป็นการตอบแทนเท่านั้นเท่านี้  พร้อมกับมีรูปโรงงานที่มองเห็นเด็กรุ่น ๆ ทำงานกันเป็นแถว ๆ เบื่องหลังเครื่องทอผ้าให้พ่อแม่ดู  และอาจจะมีกลเม็ดล่อลวงที่แยบยลต่าง ๆ อีกมากมาย  พ่อแม่ก็ยากจนและโลกทัศน์แคบ ก็หลงเชื่อว่าลูกสาวจะไปได้ดี  ตัวเองก็จะได้เงินก้อนหนึ่งแถมยังไม่ต้องหาเผือกหามันมาเลี้ยง  อีกโสดหนึ่งด้วยเผลอ ๆ แกอาจจะฝันละเมอว่าสักปี ๒ ปีจะได้เข้าไปเยี่ยมลูกสาวในกรุงเทพฯ เมืองสวรรค์กับเขาบ้าง  เกิดมาก็ไม่เคยออกไปจากหมู่บ้านเสียที  ทุกสิ่งทุกอย่างดูมันลงตัวพอดิบพอดี  ผมคิดไม่ออกว่าพ่อแม่จะขายลูกสาวให้ไปเป็นโสเภณีได้ลงคอ


ไม่ว่าจะโง่และยากจนเพียงใด  มองอีกแง่หนึ่ง  คงไม่มีนายหน้าค้าเด็กหน้าโงรายไหนจะออกไปยังหมู่บ้าน  แล้วป่าวประกาศว่าจะมาซื้อเด็กหญิงไปขายซ่อง  เรื่องนี้ถ้าจะสืบกันให้กระจ่างจริง ๆ ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ควรจะมีเจ้าหน้าที่ราชการให้ความสำคัญ  และสืบสาวเอาความกันให้ดี ทีวีช่องไหนอยากเป็นขวัญใจประชาชนก็อาจจะสืบเรื่องนี้ด้วยตนเอง (ปัจจุบันก็มีการทำกันอยู่อย่างต่อเนื่อง) แล้วทำสารคดีออกเผยแพร่ภาพออกอากาศ  อาจจะเป็นสารคดีที่ได้รับรางวัลดีเด่นประจำปีไปเลยก็ได้ฃ


๒. พวกถูกบังคับทางร่างกาย (Physically Forced)

ก็จะโดนตบตีทำร้ายร่างกายกักขังหน่วงเหนี่ยวจากพวกอาชีพเก่าแก่ที่สองของโลกนะซิครับ  อันนี้ได้มีหนังละครได้เอามาตีแผ่อยู่หลายเรื่อง  คงไม่ต้องอธิบายกันมากก็คงพอเข้าใจกันได้

๓. พวกแรด (Happily Volunteer)

ผมไม่รู้ภาษาอังกฤษเขาเรียกพวกแรดว่าอย่างไร  ก็เลยใช้คำที่วงเล็บไว้ แปลว่า พวกสมัครใจทำแล้วมีความสุข ข้อสำคัญสนุกด้วย  ได้เงินด้วย (ติดโรคต่างหากถ้ารักษาตัวไม่ดี)สบายเขาละ

๔. พวกอยากรวยเร็ว (Day-Dreamer Volunteer)

ภาษาอังกฤษที่วงเล็บไว้บอกว่าเป็นพวกฝันกลางวัน (แต่ออกหากินเวลากลางคืน) ฝันอยากมีบ้านสักหลัง รถสักคัน ตามสมัยและค่านิยมของสังคมไทย  แต่ไม่มีความสามารถทางด้านใด ๆ พอมีความสาวและความสวยอยู่ บวกกับความแรดก็เลยหันมายึดอาชีพนี้  โดยมากพวกนี้ทำงานอิสระไม่มีสำนักและรับเฉพาะขาประจำกระเป๋าหนัก ประเภทเจ้าของธุระกิจและนักการเมือง การทหารระดับสูง

จะเห็นได้ว่าสองประเภทแรกเป็นพวกที่ถูกบังคับ  ส่วนสองประเภทหลังเป็พวกสมัครใจ  พวกถูกบังคับสามารถแก้ไขให้ลดจำนวนลงได้ด้วยการกวดขันจับกุม ทลายแหล่งค้าสวาท  และให้ข้อมูลการศึกษาอาชีพ  พร้อมกับการอบรมอาชีพควบคู่กันไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจของชาติกระจายรายได้ สร้างงานพร้อม ๆ กันไป (เอ๊ะ! ฟังคุ้น ๆ หู) ส่วนพวกสมัครใจไม่มีทางที่จะแก้ไขได้  ประเทศที่เจริญแล้ว รวยแล้ว ก็มีโสเภณีพวกนี้อยู่เกลื่อนกลาด อย่างในอเมริกาก็มีมากมาย อิสระอีกต่างหาก ประเทศแถบคาบสมุทร สแกนดิเนเวีย (Scandinavian)ได้แก่ พวกปรเทศ นอร์เวย์ Norway  สวีเดน (Sweden)  ฟินแลนด์ (Finland) เดนมารก์ (Denmark) เหล่านี้เป็นต้น อย่างในอเมริกาก็มีมากมายพวกคุณเธอจะมายืนอยู่ริมถนนรนแคม เหมือนกับว่ารอใครสักคนหนึ่ง  พวกนักเที่ยวก็จะขับรถเข้ามาเทียบและต่อรองราคากัน  เมื่อเป็นที่ตกลงก็รับขึ้นรถไป  อย่างในอเมริกาต้องมีประเภทที่ห้าเข้ามาอีกคือพวกติดยา  ได้มาเท่าไร ก็เอาไปซื้อยามาฉีดเข้าเส้นกัน โม๊ด!

 เขียนถึงการจับกุม  ผมว่าต้องมีการจับกุมผู้ชายที่ไปเที่ยวด้วย  แล้วให้พิมพ์ชื่อและรูปถ่ายลงหนังสือพิมพ์ด้วย ผัวใคร ลูกชายใคร  ถูกจับจะได้จะได้เจ๋งกันได้ถูก

เมืองไทยเราได้รับสมญาว่าเป็น Sex Capital of The World (เมืองหลวงกระหรี่ของโลก) ไปแล้วสงสารเด็กนักเรียนหญิงไทยที่ไปเรียนเมืองนอก  พอบอกเขาว่ามาจากเมืองไทยก็พูดไม่ค่อยจะเต็มปากเต็มเสียง ไม่ภูมิใจและฉาดฉาน  กลัวเขาจะหาว่าเป็นอีตัวแกล้งขอวีซ่านักเรียนเข้าประเทศเพื่อจะไปหาเงิน  รัฐบาลคิดแต่จะหาเงิน (อ้อ! กู้เงินแหลก)เข้าประเทศ เงินเต็มกระเป๋าแต่ไม่มีศักดิ์ศรี  บางคนอาจจะว่าดีกว่าศักดิ์ศรีแต่ยากจน  ศักดิ์ศรีซื้อข้าวกินไม่ได้ แต่เงินซื้อได้ทุกอย่าง  แม้แต่ศักดิ์ศรีก็ซื้อได้


อันนี้ก็จริงอยู่หรอกครับ  ผมเกรงแต่ว่าเราจะไม่มีชีวิตอยู่ยืนยาวพอที่จะใช้เงินและศักดิ์ศรีได้อย่างมีความสุขเพราะจะพากันตายด้วยโรคเอดส์ ซิฟิลิส  และหนองในกันหมดประเทศเสียก่อนนะซี่ พวกที่ยังไม่ตายและเป็นโรคพวกนี้ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น


                                   


                                            ---------------------------------------