วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตารอดปอดแฉ่งตอนจบ



ความเดิม.....ของตารอดยอดสับปะเหร่อของเราชอบรับประทานเครื่องในศพแบบเจ้าภาพเผลอไม่ได้ นี่ก็เป็นที่มาของท่อนแรกที่ว่า  ตารอดปอดแฉ่ง ส่วนท่อนที่สองคือ ผัวนางแมงดา นั้น  ท่านก็ได้ขยายความเป็นมาไว้อย่างละเอียดว่าทำอย่างไรตารอดจึงเอานางแมงดาสาวใหญ่มาทำเป็นเมียได้  ผมขอข้ามไปไปเอาท่อนที่สามและสีมาให้อ่านกันเลย


                                           หกล้มหกลุก   ผัวนางตุ๊กกะตา

นอก.....จากนางแมงดา  ท่านจินตกวีบอกเราว่าตารอดที่มีภริยาอีกคนหนึ่งชื่อตุ๊กกะตา ในเวลาที่ท่านจินตกวีประพันธ์ประวัติตารอดแม่ตุ๊กกะตาภริยาน้อยคนนี้ยังสาวพริ้งชื่อตุ๊กกะตา เมื่อเด็ก ๆ หน้าตาเอ็นดูเวลานั่งพับเพียบท้าวแขนแล้วแลดูงามเหมือนตุ๊กกะตาชาววังบิดามารดาจึงให้ชื่อว่า ตุ๊กกะตา  บ้านนางตุ๊กกะตานั้นอยู่ใกล้ป่าช้าตารอด  บิดามารดาอายุสั้น 
พอแม่ตุ๊กกะตารุ่นสาวบิดาก็ตาย  และต่อมาอีกไม่ถึงปีมารดาก็ตายตามบิดาไป  แม่ตุ๊กกะตาต้องเป็นกำพร้าว้าเหว่อยู่ในโลกแต่ลำพัง  เคราะห์ดีที่ได้วิชาจากมารดาคือวิชาทำขนมจีนน้ำยาขาย  จึงสามารถเลี้ยงตัวเองได้ทั้ง ๆ ที่ในเวลานั้น  หลอนยังอยู่ในวัยที่เยาว์  ศพบิดามารดาของแม่ตุ๊กกะตานั้นถูกเผาที่ป่าช้าตารอดทั้งสองศพ  และตารอดก็รับปรทานเครื่องในศพนั้นเสียทั้งสองศพ  ความข้อนี้แม่ตุ๊กกะตาจะทราบหรือเปล่าไม่ปรากฏ


เมื่อ..มารดาแม่ตุ๊กกะตายังมีชีวิตอยู่  ตารอดเคยซื้อขนมจีนน้ำยารับประทานเนือง ๆ และมาสมัยที่ลูกสาวรับอาชีพนั้นมาทำต่อจากมารดา  ตารอดก็ยังคงเป็นเจ้าจำนำ  แต่ขนมจีนน้ำยาของแม่ตุ๊กกะตานั้นขายไม่ดีเลย  เหลือเท่ทิ้งวันละมากๆ ทุกวันและตารอดก็ติเล็กติน้อย
ทุกคราวที่ซื้อขนมจีนน้ำยาแม่ตุ๊กกะตารับประทาน  คือติว่ารสน้ำยาไม่อร่อย  แต่แม่ตุ๊กกะตาก็พยายามพลิกแพลงแต่งปรุงที่จะให้รสดีขึ้น  เช่นบางวันใส่ปลาร้ามากกว่าธรรมดา  บางวันก็ลดส่วนหัวหอมลงเป็นต้นแต่ก็ขายไมดีอยู่นั่นเอง  และตารอดก็คงติอยู่นั่เอง  แม่ตุ๊กกะตาสิ้นปัญญาที่จะแก้ไข  วันหนึ่งจึงถามตารอดว่า  ที่รสน้ำยาไม่ดีนั้น  ไม่ดีอย่างไร  ตารอดเห็นว่ามันแก่หรือมันอ่อนเครื่องอะไร  ตารอดแนะว่า  ถ้าจะให้น้ำยาอร่อยแล้ว  ควรใช้เนื้อคนซึ่งเป็นสิ่งที่ตารอดพอที่จะช่วยเหลือให้แม่ตุ๊กกะตาได้  แม่ตุ๊กกะตาเมื่อได้ยินคำแนะนำอันนี้  ในชั้นแรกคิดว่าตารอดพูดเล่นก็หัวเราะเสีย  แต่ตารอดพูดอย่างหน้าตาขึง  และชี้แจงว่า  ถ้าใช้เนื้อคนแล้วเป็นอันตัดเครื่องน้ำยาได้ ถึงสามอย่าง  คือปลาร้า  ปลาเค็ม  และนำ้ปลาช่อน  เป็นการทุนค่าโสหุ้ยไม่ต้องลงทุนมากและขนมจีนน้ำยาของแม่ตุ๊กกะตาก็จะขายดี  แม่ตุ๊กกะตาอิดเอื้อนไม่ย่อมทำตามคำแนะนำ  แต่ตารอดอ้อนวอนขอให้ลองสักวันหนึ่งถ้าเห็นว่าไม่ดีจริงอย่างคำตารอดก็อย่าทำต่อไปก็แล้วกัน  ในที่สุดแม่ตุ๊กกะตาก็ยอม  ค่ำลงตารอดก็นำเนื้อคนที่ตายมาได้สามวันไปให้แม่ตุ๊กกะตา  หล่อนเอาเนื้อนั้นใส่ครกโขรกแทนเนื้อปลา


ตาม...ธรรมดานั้น   แม่ตุ๊กกะตาเคยชิมน้ำยาของตนแล้วจึงจะนำออกขาย  แต่น้ำยาหม้อนั้นแม่ตุ๊กกะตาไม่กล้าชิม  หล่อนนำออกขายอย่างเสี่ยงบุญเสี่ยงกรรม  ทำไปอย่างเสียอ้อนวอนของตารอดไม่ได้  นึกว่าจะลองดูสักวันเดียว  แต่ขนมจีนของแม่ตุ๊กกะตาขายดีเกินคาด  หมดหาบเสียตั้งแต่ก่อนพระตีกลองเพลใครซื้อกินคนนั้นชมเปาะว่าอร่อยนัก  ผู้ที่เคยซื้อขนมจีนเพียงสามหัว  วันนั้นซื้อเพิ่มเป็นหกหัว  ขนมจีนน้ำยาเนื้อผีของแม่ตุ๊กกะตาวันนั้น  ถ้าสังเกตกิริยาของผู้ที่ซื้อในขณะรับประทาน  จะเห็นได้ชัดว่า  ถึงใครจะนำหนวดเต่าเขากระต่าย  มาแลกกับขนมจีนน้ำยาชามนั้น  เขาก็คงไม่ยอมแลก


ตอน...เย็นตารอดออกจากป่าช้า  เลยเดินแวะไปถามถึงผลของการทดลอง  แม่ตุ๊กกะตาต้องยอมรับสารภาพว่าขนมจีนน้ำยาอย่างใหม่นั้น  ขายดีจริง ๆ และขอบใจตารอด

 "เห็นไหมล่ะ" ตารอดกล่าว 

"แต่แม่ตุ๊กกะตาจะำวันเดียวน่ะไม่ได้ละ  ขืนกลับไปใช้ปลาช่อนปลาร้าอีกก็ขายไม่ดีอีก"  

"แต่ฉันเกลียดเนื้อผีเต็มที"  แม่ตุ๊กกะตาตอบ

"ทำไม ปลาช่อนน่ะ ไม่ใช่ผีหรอกหรือ? แม่ตุ๊กกะตาเอาปลาเป็น ๆ ใส่ลงไปในครกหรือ? เมื่อไม่เกลียดเนื้อปลาตายทำไมจะมาเกลียดเนื้อคนตายไหน ๆ มันก็เนื้อสัตว์  ใช้เนื้อสัตว์ประเสริฐจะมิืดีกว่าสัตว์เดรัจฉานหรือ?"

"ก็ถ้าคนซื้อกินเขารู้เข้า  จะมิเกิดความใหญ่หรือ?"

"ก็เรื่องอะไร  แม่ตุ๊กกะตาถึงจะไปบอกเขาเล่า  เรารู้กันแต่เพียงสองคนเท่านั้น  และฉันสาบานให้ว่า  ฉันจะไม่บอกใคร"

"แล้วก็ ฉันจะไปเอาเนื้อผีที่ไหนมาทำน้ำยาทุกวัน ๆ "

"ข้อนั้นไม่ต้องวตก  ไว้เป็นพนักงานฉันเอง  ฉันจะหามาส่งให้ทุกวัน"

"ถ้าช่วยฉันอย่างนั้น  ฉันก็พอจะทำต่อไปได้อีก"

"เราตกลงกันอย่างนี้ไม่ดีหรือ  เราเป็นหุ้นส่วนกัน  ฉันหาเนื้อมาให้ทุกวัน...."

"เอาซิจ๊ะ  ทำอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน  แต่เราจะแบ่งกำไรกันอย่างไร  คนละครึ่งหรือ?"

"ไอ้เงินทองน่ะ ฉันไม่สู้จะต้องการ  เดี๋ยวนี้ก็มีพอกินพอใช้อยู่  แล้วฉันต้องการยิ่งกว่านั้น"

"ต้องการอะไรจ๊ะ?"

"ต้องการความรักของแม่ ตุ๊กกะตา  และตัวแม่ตุ๊กกะตา"

"ต๊าย  พูดอะไรก็ไม่รู้ละ"  ว่าแล้วก็อมยิ้มและค้อน  "รู้ไหมว่าอายุฉันคราวลูก?"

"ยิ่งดี  ผู้ชายที่ชอบกินข้าวร้อน  มีคนไหนบ้างที่ไม่ชอบมีเมียสาว"


ดัง...นี้จึงเป็นอันว่า  ตารอดหาเนื้อคนมาส่งให้แม่ตุ๊กกะตาทุกวัน  และแม่ตุ๊กกะตาก็ส่งตัวของหล่อนให้ตารอดตามที่ตกลงกัน


เรื่อง...นี้นางแมงดาไม่พอใจอย่างยิ่ง  วันแรกที่หล่อนทราบนั้น  ตารอดต้องอดข้าวเย็นทั้งมื้อ  แต่สุนัขที่นางแมงดาเลี้ยงไว้อิ่มหนำสำราญทั่วกันทุกตัว  มันนึกว่านางแมงดานายของมันทำบุญวันเกิด  เพราะมันได้กินกับข้าวทั้งสำรับ  และข้าวงทั้งหม้อ  นอกจากอดข้าวแล้ว
ตารอดยังอดนอนด้วยอีกคืนยันรุ่ง


วัน...รุ่งขึ้น  ตารอดไปทำกิจอันเป็นอาชีพของแกที่ป่าช้า  เพื่อนสับปะเหร่อคนหนึ่ถามว่า

"พี่รอดปอดแฉ่งของฉันเป็นอะไรไป  ตาลึกตากลวง  หน้าก็บวมเขียวไปทั้งหน้า  ราวกับใครตีด้วยดุ้นแสม  นั่นแน่หัวก็แตก"

"เต็มทีโว้ย  เคราะห์ข้าร้าย"  ตารอดตอบ  

"เมื่อคืนนี้ข้ามีสตีมหน่อย ๆ  มันมืด  ฝนก็ตก  ทำให้ลืน  ข้าหกล้มพลัดตกลงมาจากเรือนลงมานอนกลิ้งไม่มีท่า  พอลุกขึ้นไม้กระดานบนนอกชานยังหลุดตกลงมาบนกบาลอีกทั้งแผ่น  ทำเอาข้าจ้ำเบ้าลงไปอีก  เต็มทีโว้ย  เคราะห์ร้ายแท้ ๆ "

เห็น...จะเป็นจากคำแก้ตัวของตารอดอันนี้เองท่านจินตกวีจึงกล่าวว่า.....!!!!!! 

                            "หกล้มหกลุก   ผัวนางตุ๊กกะตา"

จบแล้วครับจบจริง ๆ

                          _________________________

                                                                                                                        Chanpa


ตารอดปอดแฉ่ง ( 1 )



เป็นเรื่องสั้นสุดหรรษาชื่อเรื่องว่า... ตารอดปอดแฉ่ง   ฟังดูพิลึกอยู่  สงสัยว่า
จะเป็นคำร้องเล่น ๆ ประเภทกลอนพาไปแต่ท่านเจ้าคุณ (พระยาโกมารกุลมนตรี) เห็นว่าหน้า
จะมีเบื่องหลังเบื่องหน้าในคำร้องนี้จึงได้นำมาผูกเป็นเรื่องราวอ่านสนุกสนานครื้นเครงยิ่งนัก
อ่านได้...เรยยย์

                                                  
                                                  ตารอดปอดแฉ่ง

                    " ตารอดปอดแฉ่ง     ผัวนางแมงดา

             หกล้มหกลุก                     ผัวนางตุ๊กกะตา "

แม้...ด้วยบทประพันธ์สั้น ๆ ประกอบด้วยถ้อยคำเพียงสิบห้าสิบหกคำเท่านั้น  ท่านจินตกวี
ก็เล่าเรื่องราวประวัติของนายรอดให้เราทราบได้ท่านไม่ต้องใช้ศัพท์สูง ๆ  ท่านใช้แต่คำไทยล้วน ๆ  บทประพันธ์ของท่านก็น่าฟัง

                                                    ตารอดปอดแฉ่ง

นายรอดซึ่งท่านจินตกวี (พระยาโกมารกุลมนตรี)  กล่าวถึงนี้  มารดา    ( นามไม่ปรากฏ )
ชะรอยจะเป็นคนขี้โรค    เจ็บกระเสาะกระแสะมาแต่ตั้งครรภ์จนเวลาคลอด    อันเป็นเหตุให้
ทารกที่กำเนิดมาเป็นทารกขี้โรคไปด้วย   เมื่อคลอดออกมาก็ไม่ร้องเหมือนทารก  ทั้งหลาย
หมอตำแยต้องตบก้น ต้องใช้วิธีต่าง ๆ    อยูเป็นนานจึงร้องออกมาได้   ดังจมูกเป็นรอยเขียว
แสดงให้เห็นว่าโรคลมเป็นเจ้าเรือน   แม้เมื่อสายสะดือหลุดแล้วก็ไม่ก็ไม่ไคร่จะได้ถูกอาบน้ำ
เหมือนเด็กอื่น  จึงเป็นเด็กที่มีร่างกายผอมเกร่ง น่าสงสารยิ่งนัก เมื่อตอนฟันจะขึ้นก็เจ็บหนัก
ท้องเดินวันละหลายสิบครั้ง  ผอมและเห็นซี่โครงจนที่ก้นนั้นแทบจะไม่มีเนื้อเลย  แต่วาสนาจะ
ให้มีอายุอยู่ต่อมา  เผอิญถูกยากลางบ้านขนานหนึ่งซึ่งเข้าครั่งเกาะไม้  จันทร์แดง จันทร์ขาว
กะทือ กะชาย  พอฟันซีกแรกทะลุเหงือกขึ้มาแล้ว  ทารกนั้นก็โตวันโตคืน  เพราะเหตุที่นึกว่า
ลูกของตนจะตายแต่ไม่ตายนี้  บิดามารดาจึงขนานนามว่ารอด  หมายความว่ารอดจากความตาย


ในขณะที่ท่านจินตกวีประพันธ์ประวัติของนายรอดนี้  นายรอดมีอายุประมาณสี่สิบเศษแล้ว
ท่านจินตกวีจึงใช้คำนำหน้านามว่าตา  เพื่อแสดงให้เห็นว่า  นายรอดมีอายุในเวลานั้น  พอที่
จะเป็นตาคนได้แล้ว  ถ้าท่านไม่ใช้คำตานำนาม  เราอาจหลงว่าท่านเล่าประวัติของคนหนุ่ม ๆ 
นี่ต้องนับว่าเป็นความรอบคอบอันหนึ่งของท่านจินตกวีของไทย


อีกประการหนึ่ง  คำว่าตาที่ใช้นำหน้านามยังแสดงอาชีพนายรอดด้วย  เรารู้ได้อย่างแน่นอนว่านายรอดไม่ได้เป็นนักการเมือง  เพราะเราไม่เรียกนักการเมืองว่าตา    ท่านจะเป็นรัฐมนตรีหรือผู้แทนราษฎรประเภทใดก็ตาม  เราคงไม่กล้าเรียกท่านว่าตา   (เว้นแต่ท่านผู้นั้นจะเผอิญเป็นบิดาของมารดาเราเอง)  นายรอดไม่ได้เป็นพ่อค้าเพราะพ่อค้าเราก็ไม่ใช้ตาเป็นคำนำหน้า
นาม  พ่อค้าไทยที่ชื่อรอดก็เคยมมีมาแล้ว  แต่ก็ไม่ปรากฏว่าใครเคยเรียกว่า ตารอด


คำว่า ตา ที่เราใช้นำหน้านามใคร นอกจากตาบังเกิดเกล้าของเราเองแล้วย่อมแสดงว่าผู้นั้นเป็นคนสูงอายุ  และผู้นั้นเป็นคนชั้นกรรมกร    คนสำคัญในประวัติศาสตร์ที่เรียกกันว่า ตา  ก็ดู
เหมือนจะมีน้อยคน  ที่นึกได้เวลานี้ก็คือ ตาม่องลาย ๑ ตาปะขาว ๑    ที่เรียกดังนี้ คงจะเรียกโดยให้เกียรติพิเศษเฉพาะบุคคลคือยกย่องว่าท่านทั้งสองที่  กล่าวนามมานั้น  มีเกียรติเสมอ
ตาบังเกิดเกล้าของผู้เรียก  คนสำคัญ ๆ ขนาดเดียวกับม่องล่าย  เช่นนายบุญนักล่าสัตว์  เรา
ก็เรียกแกว่าพรานบุญไม่มีใครยอมเรียกแก่ว่าตาบุญ  เมื่อได้พิเคราะห์ถ้อยคำในบทประพันธ์
โดยรอบคอบดังนี้แล้ว เป็นอันชี้ขาดได้ว่านายรอด ซึ่งท่านจินตกวีเรียกว่าตารอดนั้น  มีอาชีพ
ในทางสับปะเหร่อ  รับจ้างเขาเผาผีและฝังผี   และเป็นสับปะเหร่อธรรมดา ๆ     ไม่ใช่ชั้นสนม 
ถ้าเป็นชั้นสนมคงจะมียศบรรดาศักดิ์ท่านจินตกวีคงไม่กล้าเรียก ตารอด     นี่เพราะเป็นเพียง
นายรอดสับปะเหร่อ  ท่านจึงเรียกว่าตารอด


ตารอดสับปะเหร่อผู้นี้ชอบรสอาหารแปลก ๆ คือชอบรับประทานอวัยวะภายในของซากศพ
บรรดาศพที่ใครฝากหรือฝังในป่าช้าที่ตารอดครอบครองนั้น  ไม่มีอวัยวะภายในเหลือสักศพเดียว  แม้กระทั่งศพที่เขาจ้างตารอดให้เผาสด ๆ  ถ้าเจ้าภาพของศพไม่ระวังให้ดี   ตารอดก็
ลอบผ่าศพล้วงอวัยวะภายในออกมาต้มกับตะไคร้ใบมะกรูด    จิ้มน้ำส้มอย่างต้มเครื่องในโค
หรือสุกร  บางทีก็ย่างจิ้มน้ำปลาระยองหรือน้ำปลาแต้อิ้ว   และอวัยวะที่ตารอดชอบมากที่สุด
นั้นคือปอด ถ้าแกผ่าศพใดออกเห็นปอดน่ารับประทานแล้ว ตารอดเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสหน้าชื่น
ตาบาน     ด้วยเหตุนี้พวกเพื่อนสับปะเหร่อด้วยกันจึงตั้ง    สมญาแกว่า      "ตารอดปอดแฉ่งหมายความว่า  พอเห็นปอดดี ๆ เข้าแล้วตารอดเป็นยิ้มแฉ่ง"  อาจมีผู้ส่งสัยว่าคำว่าปอดแฉ่งเป็นนามสกุลของตารอด  ข้อนี้  ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าไม่ใช่นามสกุลเพราะจินตกวีนิพนธ์บทนี้
มีมาก่อน รัชการที ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  และคนไทยเพิ่งจะมีนามสกุลกันขึ้นในรัชการที่ ๖
นี่เอง  และตั้งแต่การจดทะเบียนนามสกุลของคนไทยจนมาบัดนี้ ข้าพเจ้ากล้าพะนันว่า ไม่เคย
มีใครจดทะเบียนนามสกุลว่าปอดแฉ่ง   การที่ไม่มีชื่อ ปอดแฉ่ง  ในทะเบียนนามสกุลเป็นที่ส่อให้เห็นได้ชัดว่าปอดแฉ่ง      เป็นเพียงสมญาของตารอด ประการ   ๑    วงศ์วานว่านเครือของ
ตารอดหมดสาบศูนย์ไปเสียก่อนรัชการที่  ๖  ประการ ๑  ถ้ามีหลานเหลนลื้ออยู่มาจนราชการที่  ๖  เขาคงจะใช้นามสกุลของเขาว่า  ปอดแฉ่ง  เพื่อแสดงให้ปรากฏว่าเขาเป็นเชื้อแถวของตารอดปอดแฉ่งผู้มีชื่อเสียงมาแล้วในกรุงสยาม......

นี่ก็เป็นที่มาของท่อนแรกที่ว่า   "ตารอดปอดแฉ่ง"  ส่วนท่อนที่สองคือ "ผัวนางแมงดา"  นั้น  ท่านก็ได้ขยายความเป็นมาไว้อย่างละเอียดว่าทำอย่างไรตารอดจึงเอานาง
แมงดาสาวใหญ่มาเป็นเมียได้  หากแต่ขอไว้ต่อคราวหน้านะครับ เรื่องของตารอดปอดแฉ่งยังไม่จบครับ


                                    __________________________________


                                                                                                                               Chanpa




วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าผี



สืบเนื่องมาจาก  อคติพจน์  "เสรีชนคือคนที่ไม่มีหนี้สิน" เพื่อนคนหนึ่งของข้าพเจ้าเขาออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ของวันศุกร์เพื่อไปทำงานตามเวรตามกรรม
ของเขา    ครั้นแล้วเย็นวันเสาร์ก็ไม่กลับบ้าน    ไปนอนค้างที่บ้านเพื่อนอีกคนหนึ่ง    เย็น
วันอาทิตย์ก็มิได้กลับอีก   ได้นั่งกอดเข่าทอดถอนใจใหญ่บนหลังตุ่มน้ำหน้าบ้านข้าพเจ้า
มีอาการเบื่ออาหารจนกระทั้งมีผู้นำปลาดุกทอดกรอบผัดเผ็ดจานหนึ่งใส่ลูกพริกไทยอ่อนด้วย
และกุ้งอบอีกจานหนึ่งไปวางไว้บนฝาตุ่มน้ำอีกลูกหนึ่ง ๆ กับที่เขานั่งอยู่  จึงแข็งใจรับประทาน
ไปจนหมด  เพื่อน ๆ ที่มัวโอ้เอ้พากันด่าทอขรม


ใครก็ตามที่มีเพื่อนฝูงตั้งแต่คนหนึ่งขึ้นไป   มักจะถูกทางบ้านของเพื่อนคนนั้นติดต่อสอบถามความสงสัยต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะถามว่า   เพื่อนคนนั้นของเราได้มาสิงสู่อยู่ที่บ้าน
เราหรือหาไม่   ถ้าอยู่ขอให้ช่วยตามมาพูดสักหน่อย   หรือถ้ากำลังหลับสนิทมึนเมาครองสติไม่อยู่และยังไม่สร่างก็ขอให้บอกไปให้แจ้ง   จะได้ไปรับกลับบ้าน


เพื่อนบางคนอาจจะขอร้องเป็นการส่วนตัวว่า   ถ้าไม่มีใครมาถามหาหรือแม้แต่โทรศัพท์มาถามถึงก็ขอกรุณากราบฝ่าเท้าบอกว่า  ไม่ได้มาที่นี่  แม้ว่าวันนั้นจะเป็นวันพระธรรมดาหรือวันวิสาขบูชาหรือมาฆะบูชา  ซึ่งคนปกติธรรมดาทั่วไปพยายามที่จะถือศิล ๕ กันอย่างเคร่งครัด
ก็ตาม


เมื่อมีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น  ข้าพเจ้าก็รับสาย  ก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งถามมาอย่าง
เหี้ยม ๆ ว่า  "กร่อยไปที่่บ้านหรือเปล่าคะ....ฉันเป็นแม่ของเขา....แม่ตัวนะไม่ใช่แม่เลี้ยง  แม่ยก
อะไร ๆ ทั้งสิ้น.." "อ้า...ไม่....ไม่อยู่ครับคุณแม่....ไม่ได้พบปะเจอะเจอกันมาสองสามสัปดาห์แล้วครับ"  "ถ้ายังงั้นช่วยบอกมันด้วยนะว่า   เมียของมันเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ
ให้รีบไปดูใจด่วน....ถ้าไม่ไป  เป็นอันขาดแม่ขาดลูกขาดผัวขาดเมียกันนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป......."


ข้าพเจ้าพยายามขอร้องนายกร่อยเพื่อนของข้าพเจ้าให้ไปโรงพยาบาลซึ่งภริยาของมันถูกผ่าท้องตัดไส้ติ่งที่อักเสบออกมาทิ้ง  แต่มันก็เฉย ๆ และกระเดียดไปทางซึมกระทือเสียด้วย "เองไม่สงสารแฟนเองบ้างหรือ....คำว่าสุภาพบุรุษหมายความว่าอะไร  เคยมีบ้างไหมสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าความรับผิดชอบ....ขนาดเมียป่วยเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด  ไม่รู้ว่าจะลูกผีหรือลูกคนเอ็งยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน"

"ทุกคนฟังทางนี้ " มันยืน เผชิญหน้ากับเพื่อนอย่างองอาจกล้าหาญและสง่างามเหมือนสุวรรณหงษ์ก่อนถูกหอก  แล้วมันก็พูดต่อไปว่า   "มนุษย์เรานั้นอาจมีปอดสองอัน  มีหูสองหู
แต่ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายจะมีไส้ติ่งเพียงอันเดียวเท่านั้น  และข้าก็จำได้ว่า  เมียของข้า
ได้ตัดไส้ติ่งทิ้งไปตั้งแต่เขาอายุ ๑๕  หรือ ๑๖ ปี  อั๊วจำได้เพราะบ้านเราอยู่ใกล้กัน  และลือ
กันให้ลั่นไปหมด"   "แล้วอย่างไร" เพื่อนถามด้วยความกังขา "ในเมื่อเมียของข้ามีไส้ติ่ง
ประจำชีวิตเพียงอันเดียวเหมือนมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ไม่ว่าอลิซาเบธเทย์เลอร์  หรือ  นางงามชาวเงาะซาไกคู่รักเก่าของเอ็ง (ข้าพเจ้า) ก็ตาม  และถูกหมอตัดทิ้งไปแล้วกระนี้เอ็ง
จะให้ข้าเชื่ออีกหรือว่า  เขาถูกตัดไส้ติ่งเป็นครั้งที่ ๒"


"จริง..."เพื่อน ๆ ร้องกันเซ็งแซ่  แล้วมีบางคนกล่าวว่า "ถ้าเอ็งกลับบ้านในยามนี้  ไส้ติ่งของเอ็งนั่นแหละที่จะถูกตัดทิ้งถ้ายังไม่ได้ตัด...."



                                                      ____________________


เพื่อนอีกคนหนึ่ง....ประกาศถอนหมั้นกับคู่หมั้นของเขา เรื่องก็เงียบและเรียบร้อยเป็นปกติไม่มีสถานการณ์ใด ๆ ที่น่าวิตกกังวลและห่วงใย    อยู่มาเวลาสาย ๆ  ของวันหนึ่ง   มีโทรศัพท์มาถึงหมอนั่น  เมื่อเขาวางหูโทรศัพท์แล้วจึงแถลงชี้แจว่า
          "อีให้อั๊วไปรับแหวนหมั้นคืน....อั๊วพยายามอธิบายว่ายกให้  จะเอาไปบริจาคเป็นการกุศลที่ไหนก็ตามใจ  อีบอกว่าไม่ต้องการ  ขอให้อั๊วไปรับวันนี้และให้ไปเดี๋ยวนี้ด้วย....."

          "ความจริงก็น่าจะไปรับคืนมาตามสิทธ์....เพราะเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดการถอนหมั้นกันขึ้น    สาเหตุที่แท้จริงจำไม่ค่อยได้  มีเพื่อนเราสองคนเท่านั้นที่อ้างว่าจำได้..."

          "ช่างเถอะ" คนที่ถูกเรียกให้ไปรับแหวนหมั้นคืนตัดบทอย่างหัวเสีย "จะเป็นเพราะเหตุใดก็ลืม ๆ ไปเสีย"


การไม่นำเรื่องราวของเพื่อนในยามที่เขาจนมุมหรือสิ้นท่าหรือตกอยู่ในสภาพหมดรูปมาพูดถึงนั้น   เป็นจรรยาบรรณและมารยาทงามของของชาวสังคม   ผู้ที่ชอบจำได้และพูดถึงความระยำอัปรีย์ของเพื่อนฝูงนั้น  เป็นผู้ที่โลกไม่สรรเสริญ  บัณฑิตก็ติเตียน  ปราชณ์อาจจะถึงขนาดด่าทอเอาทีเดียว   มีผู้ออกความเห็นว่า  "ถ้าเอ็งไปรับแหวนหมั้นคืน....แหวนหมั้นนั้นจะใส่ปากเอ็งนั่นแหละเพราะเอ็งคงตายแน่....."
      "ก็อย่างนั้นแหละ  ถึงอย่างไรก็ไม่ไปแน่...."

                                           ____________________________


ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเทวทรรศน์....วันหนึ่งเกิดไม่ถูกกับบริษัทที่เขาทำงานอยู่อย่างรุ่นแรง  จนไม่มีท่านผู้หลักผู้ใหญ่คนใดสามารถประสานรอยร้าวนั้นให้กลับคืนดีกันได้อีกต่อไป  เขาจึงเดินออกจากที่ทำงานนั้นแล้วไม่หวนกลับไปอีกเลย  ทิ้งกรรไกรตัดเล็บยี่ห้อดี
กางเกงแพร  เสื้อคอกลม  และผ้าขนหนูอย่างดีไว้ในสำนักงาน


ต่อมา  ทางบ้านก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งขอให้ไปรับเงินที่ยังเหลืออยู่อันเป็นสิทธิของเขาที่พึงจะได้รับ  เขาบอกข้าพเจ้าว่านั่นเป็นกลอุบายของอีตาสมุห์บัญชีมหาโหด   ที่ต้องการ
ล่อเขาให้เข้าไปที่บริษัท   ถ้าไปก็มีหวังไม่ได้กลับออกมาอีกหรือได้ออกก็ตรงไปเข้าตารางเลย
          "ถ้าลำบากนักเช่นนั้นก็มิควรที่จะไป"  เพื่อน ๆ พากันออกความคิดเห็น


                                         _______________________________


ร้านขายกาแฟแห่งหนึ่ง...ได้นำกระดานดำมาติดไว้หน้าบ้านร้าน  ประกาศข้อความว่า.....

 "ท่าน..ที่รักและเคารพนับถือทั้งหลาย  การที่ท่านได้เป็นหนี้ค่ากาแฟข้าพเจ้าท่านละมากบ้างน้อยบ้างนั้น  บัดนี้  ข้าพเจ้าปลงตกแล้วท่านจะใช้ให้เมื่อไรก็เอาเถิด  ไม่ว่ากระไร  แต่ขอ
ให้ท่านไปอุดหนุนข้าพเจ้าตามเดิม   คำน้อยข้าพเจ้าก็จะไม่ปริปากทวงหนี้ให้ท่านได้รับความ
ชอกช้ำระกำหัวใจเป็นอันขาด   การที่เวลากินเชื่อพวกท่านมากินที่ร้่านข้าพเจ้า  พอเชื่อจนร้านข้าพเจ้าแทบจะหมดทุนแล้ว  พวกท่านพากันไปกินร้านอื่นด้วยเงินสด  แล้วไอ้ร้านนั้นมัน
ก็มาเยาะเย้ยข้าพเจ้าทุกวันจนข้าพเจ้าแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว  จึงขอให้บรรดาแฟน ๆ ทั้งหลายได้โปรดใช้ศรีษะแม่มือคิดดูเถิดว่าการณ์จักควรประการใด

                                                               ด้วยความชอกช้ำระกำใจที่สุด ๆ 
                                    
                                                                                 "เถ้าแก"


ใน....การประัชุมเพื่อหาข้อมูลอันถูกต้องว่า  ทำไมคนเราจึงมักจะชอบเชื่อสุราอาหารและกาแฟเขารับประทาน   และคนส่วนหนึ่งหลังจากเชื่อไปในจำนวนมากจนสังหรณ์ใจหรือมีสิ่งบอกเหตุว่าทางร้านจะไม่ยอมให้เชื่ออีกต่อไป  ก็พากันหลบหน้าหลบตาไปกินที่ร้านอื่นด้วยเงินสด  จนกว่าจะได้รับความไว้ว่างใจให้เชื่อได้อีก  ก็จะเชื่อไปเรื่อย ๆ  แล้วหลบลี้หนีหน้าต่อไป  เป็นวงเวียนที่ไม่รู้จักสิื้นไม่รู้จักจบ


ผลของการประชุมเพื่อเดาสวดหาเหตุผลหรือข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ไม่มีใครทราบว่าเพราะ
เหตุใด  และปรากฏว่าผู้ที่เข้าประชุมทุึกท่านล้วนแต่เคยเป็นหนี้ค่ากาแฟ  ค่าสุรา  และ
ค่าอาหารเล็ก ๆ น้อย  บางคนก็เป็นหนี้ค่าเรือข้ามฟาก  ค่ารถสามล้อในซอยบ้านของตนด้วย
เพื่อนอีกคนหนึ่งของข้าพเจ้า   ได้ไปเล่าให้จิตแพทย์ซึ่งเป็นเพื่อนฝูงกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยว่าเขาเป็นหนี้เจ๊คนหนึ่งที่ตลาด   ซึ่งพวกเราสมัยนั้นนับถือเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง  จน
กระทั่งแกถึงแก่กรรมโดยไม่ได้ชำระหนี้ก้อนนั้น  เขาเล่าว่าฝันถึงแกบ่อย ๆ  ปีหนึ่งตกสามหรือสี่ครั้ง  ในฝันก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเพราะแกก็อ้วนท้วนเปล่งปลั่งดียิ้มแย้มแจ่มใส  แต่พอเขาตกใจตื่นจะมีอาการเหงือท่วมตัวด้วยความกลัวผี   ทั้ง ๆ ที่เขากรวดน้ำอุทิศกุศลให้แกตลอดมาทุกคืนตั้งหลายสิบปีมาแล้ว


จิตแพทย์มองไปทางหน้าบ้าน  ซึ่งแฟนของเขากำลังยืนดูคนรับจ้างรับมีดอยู่  มีดทำครัว
เท่านั้นเอง แล้วพูดว่า

         "เรายิ่งกว่านายอีก...คือเราขโมยของเจ๊ด้วยซ้ำไป..."

         "ขโมย"  เขาตาเหลือก.... "ขโมยทั้ง ๆ ที่บ้านหมอก็มั่งมีออกอย่างนั้นนะหรือ....บ้าหรือว่าโกรธใคร"

          "เปล่า...หมอนั่นสั่นศรีษะในประวัติของตนเองอย่างอิดหนาระอาใจ  " ของที่เ้ราขโมยอะไรรู้ไหม.....ขี้ไต้ไงละ....ขี้ไต้สำหรับทำเชื้อไฟหุงข้าวน่ะแหละ  อันละสตางค์เดียวเท่านั้น...
ถ้าแม่เรารู้   เราไม่ได้เป็นหมอหรอก...เป็นผีไปนานแล้วเพราะแกคงตีตาย"


                                             __________________________________


ทุกครั้งที่ท่านทั้งหลายอ่านแจ้งความตามหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับคนหาย   ขอให้ท่านทั้ง
หลายได้โปรดแผ่ความเมตตาให้แก่ผูกที่ถูกแจ้งความว่า  เป็นคนหายนั้นด้วยแล้วกัน   เพราะ
ความจริงเขาอาจจะไม่ได้หายไปไหน  เพียงแต่หนีเจ้าหนี้เท่านั้น  และการลงแจ้งความ
"คนหาย"  ก็เพื่อรักษาหน้าหรือศักดิ์ศรีของคนที่ถูกลงแจ้งความตามตัว บางทีถ้าลงโจ๋งครึ่ม
เกินไป  หนังสือพิมพ์เขาก็ยอมลงให้เพราะเขาขี้เกียจถูกฟ้อง


มีตัวอย่างของการเขียนข้อความจะนำไปลงแจ้งความในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งดังนี้


                                                  ปรกาศคนหาย
          ด้วย....ปรากฏว่า   นายฮุดเอ่ง    ได้หายไปจากแผนกการเงิน    กองบัญชี
บริษัท  ไท  กอ   ก๊วย  จำกัด    เป็นเวลาหลายวันมาแล้ว    สงสัยว่าอาจจะได้รับอันตราย
หรือถูกล่อลวงไปในทางทุจริตเพราะเจ้าตัวเป็นคนเหลาซิดมาก  ซื่อที่สุด  ยากที่จะมีใคร
ซื่อเหมือนแกจริง ๆ ทางบริษัทรู้สึกอกไหม้ไส้ขมตรอมตรมใจมาก  ท่านผู้ใดรับอุปการะไว้
ขอให้เลี้ยงดูให้ดี   ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเบิกได้  โดยไม่ต้องนำใบเสร็จมาแสดง  เพียงแต่ทำ
รายการจ่ายมาให้ดูเท่านั้น    หรือพาไปชี้ที่อยู่ของเขาให้เรารู้จนได้ตัวแกมาแล้ว  ทาง
บริษัทจะสมนาคุณด้วยเงินสดทันทีสามหมื่นบาท (ในสมัยนั้นถือว่ามาก)  โดยไม่มีเงื่อนไข
ใด ๆ ทั้งสิ้น  เรามีเงินสดติดตัวเสมอไม่ว่าจะเป็นวันหยุดอะไรก็ตาม  และรับว่าจะรักษา
ความลับไว้มิให้แพร่งพรายถึงหูเขาเป็นอันขาด

                                                    "ลงชื่อ.......................สมุห์บัญชี

                                          ประทับตราประจำตำแหน่งมาเป็นสำคัญ"

                                    
        มี...ชายคนหนึ่งไปนั่งกินกาแฟในร้านเหงา ๆ  แห่งหนึ่ง  เขานั่งอยู่ในร้านนั้นเกือบ
หนึ่งชั่วโมง  เห็นเถ้าแก่เจ้าของร้านแกมองหน้าเขาหลายหน  จึงลุกขึ้นนำเงินสดค่ากาแฟ
ไปชำระ   แล้วถามว่าเถ้าแก่ดูโหงวเฮ้งเป็นหรือ  เห็นมองหน้าบ่อย ๆ
           เจ้าของร้านกาแฟตอบว่า   คนที่ลงแจ้งความในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ มากินกาแฟที่ร้านแกเป็นประจำทุกวัน  อีกไม่กี่นาทีก็จะมาแล้วบ้านแกอยู่ในตรอกหลังร้านนี่เอง ว่าแล้วแก
ก็ส่งหนังสือพิมพ์จีนให้ดู  ตรงที่มีแจ้งความอะไรไม่ทราบเพราะเป็นหนังสือจีน  แต่มีรูปเขา
ปรากฏหราอยู่

           "ไอ๊ย่า" เขาร้องเบา ๆ 

           "ไอ๊ย่า" เจ้าของร้านกาแฟร้องเบา ๆ  เหมือนกัน

           "ลีบ (รีบ) ปาย...." แกบอก " ปูเหลียวอีมาเจอกังจายุ่งกังหญ่าย"

           "ขอบใจนะเถ้าแก่"  เขาออกจากร้านนั้นไปโดยเร็ว

"มนุษย์ธรรมยังมี"  ชายอีกคนหนึ่งกล่าวเป็นภาษาแต้จิ๋ว เขา
เป็นคนไหหลำก็จริง  แต่มากินกาแฟที่ร้านแต้จิ๋วเป็นประจำ
เขากล่าวเสมอว่า "อั๊วไม่ถือผิว  ฮิฮิ...!!!! "


                        _______________________________


                                                                                                                          Chanpa


                 
       

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ผู้หญิงขี้ลืม



        เรื่องขี้ลืมนั้นมันมีด้วยกันทุกคน ไม่ว่าหญิงหรือชายลืมก็ทำให้เกิดปัญหา   อาจจะใหญ่หรือเล็ก  หรือเป็นเรื่องขำขันก็แล้วแต่กรณี  เด็กลืมแปรงฟัน  ลืมทำ
การบ้าน  พอโตขึ้นก็ลืมกลับบ้าน  บางคนไม่ลืมยังหลงเสียอีก  หลงไปบ้านเล็กบ้านน้อย
แทนที่จะกลับบ้านดันไปโผล่ที่อาบอบนวดอย่างนี้ก็มีบ่อย ๆ ลืมวันเกิดแฟน  ลืมวันครบรอบ
แต่งงาน  พอนึกได้จะไปแก้ตัวดันลืมเสียอีกว่าเรื่องอะไร


            ลืมแสนจะอายขายหน้าคือลืมรูดซิบ  แล้วสาว ๆ มาสะกิดบอก  ลืมหน้าด้านก็มีบ่อย ๆ
ทักทายสาวผิดคิดว่ารู้จักเธอมาก่อน  ลืมที่น่าเห็นใจของคนจนคือ "ลืมหนี้"  ลืมของคนรวย
"ลืมรับเงินเดือน"  ลืมที่น่าสงสารคงจะไม่มีอะไรเกิน "ลืมตัว"  พออายุมากเข้าก็ลืมลูกลืม
หลาน  ลืมผัวลืมเมีย  ผลที่สุดก็ลืมเป็นครั้งสุดท้าย "ลืมตื่น"


            ฤษฎีในการแพทย์เขาก็อธิบายเหมื่อนกันว่าทำไมคนเราจึงถึงลืม ? แต่ผมเองก็ลืม
ไปเสียแล้วว่าเขาอธิบายว่าอย่างไร  พอนึกได้จะไปค้นอ่านดูก็ลืมว่าเอาเก็บไว้ที่ตรงไหน ? ก็
เลยไม่รู้ว่าอะไรทำให้ลืม  เมื่อรู้สาเหตุมันก็แก้ยากครับ  เอาเถอะ......ผมสัญญาว่าถ้าไม่ลืมจะ
เขียนมาบอกไว้ตอนท้ายก่อนจะจบเรื่องผู้หญิงขี้ลืมนะครับ


             ราวนี้ผมจะเขียนถึงเรื่องลืมที่คนทั่ว ๆ ไปไม่ใคร่ได้ฟังยิ่งแฟนคุณหรือภรรยาคุณ
และก็ยิ่งไม่อยากให้คุณรู้  ไม่ใช่ว่าผมจะเขียนค่อนแคะผู้หญิง  แต่เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ
และคนอื่น ๆ ก็ควรจะรู้บ้าง

              มจะเขียนเรื่อง "ผู้หญิงขี้ลืม" เริ่มด้วยลืมเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน  คือลืมทานยาคุมกำเนิด  ยาเม็ดเล็กนิดเดียวเท่านั้นเอง  แต่ถ้าลืมมันก็อาจเป็นเรื่องใหญ่  ถ้านานไปหลาย
เดือนเข้า  ปัญหาก็อาจจะ "หนักหลายกิโลกรัม"


              ถ้าลืม.....ก็ไม่รู้
              ต้องระวังให้ดี
              แต่ถ้ารู้ว่าลืม  จะแก้ไขอย่างไร ?
              มีข้อแนะนำง่าย ๆ ดังนี้

              ๑.   ถ้าลืมแต่ยังอยู่ในวันเดียวกันก็ให้รีบทานเสียเลย
              ๒.   ถ้าลืมทานยาเมื่อวาน  วันนี้ให้ทาน ๒ เม็ด
              ๓.   ถ้าลืมทานยาไป ๒ วันแล้ว  วันนี้ทาน ๒ เม็ด, พรุ่งนี้ทาน ๒ เม็ด แล้ววันละเม็ด
                     ไปจนหมด
              ๔.   ถ้าลืม ๓ วันหรือมากกว่า ๓ วัน  ขอแนะนำง่าย ๆ ว่าให้ทิ้งยาแผงนั้น  แล้วเริ่ม
                     ทานยาแผงใหม่


               วันหนึ่งมีหญิงสาวท่าทางดี  เหนียมอาย  มาหาที่คลีนิก

"คุณหมอคะ  หนูใส่ผ้าอนามัยซับเลือดเข้าไปในช่องคลอด ( Tampon ) เมื่อวานเย็น  ตื่นเช้า
ขึ้นมาจะเอาออกก็หายไปเสียแล้ว"  เธอบอกด้วยความมันใจและตกใจ "คุณหมอช่วยหาให้หน่อยเถอะค่ะมันจะหายเข้าไปในท้องของหนูได้ไหม ?" เธอถามพร้อมทั้งยกมือขึ้นปิดปากด้วยความละอายและมีอาการกังวล


                มื่อผมตรวจอย่างถี่ถ้วนแล้ว  ก็ต้องบอกว่า  "ไม่มีหรอกครับคุณคงเอาออกไปแล้ว
หรือไม่ก็ไม่ได้ใส่เข้าไป  และก็จะหายเข้าไปในท้องไม่ได้ด้วย"  ผมบอกเธอด้วยความมั่นใจและปลอบใจเธอ  ลืมชนิดนี้ขอให้ชื่อว่า "ลืมขี้ตู่"  บางคนก็ลืมจริง ๆ  แหละครับ  บ่อยครั้งเหลือเกินที่ผมตรวจภายในคนไข้ ( Pelvic Exam ) พบว่ามีผ้าอานามัยซับเลือด ( Tampon ) 
อยู่ในช่องคลอด  บางรายลืมไว้เป็นเดือน  เมือเอาออกมาจากช่องคลอดกลิ่น......อย่าบอกใคร
เลยครับ  ต้องกลั้นหายใจกันหน้าเขียวหน้าเหลืองลืมแบบนี้เรียกว่า "ลืมซ่อนกลิ่น"


                ท่านหญิงบางคนก็ลืม (ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจ)  โยนผ้าอานามัยที่ใช้แล้วลงใน
โถส้วม  ขี้ลืมแบบนี้ทำให้เดือดร้อนกันทั้งบ้านหรือทั้งสำนักงานมามากนักแล้ว  ส้วมตันน้ำล้น
เหม็นหึ่ง  จะขอเรียกลืมชนิดนี้ว่า  "ลืมมักง่าย"  บางคนก็ลืม  ที่จริงไม่ลืมหรอก  คงจะใจลอยมากกว่า  มัวคิดถึงแฟน  คิดถึงพระเอกรูปหล่อ......แถมครวญเพลงไปด้วยก็เลยเผลอใส่ผ้า
อานามัยผิดข้างหรือกลับข้าง  นอกจากจะเสี่ยงต่อการเปิดไฟแดงแล้วกาวอันเหนียวหนับทางด้านหลังของผ้าอานามัย  ก็จะติดหนึบกับอะไรต่อมิอะไรในบริเวณนั้น...ไมอยากวาดภาพ.....
มันหวาดเสียวนะครับ  ลืมแบบนี้คงจะเรียกว่า "ลืมยุ่งเหยิง"


                ญิงสาวคนหนึ่งอายุอานามก็คงจะยี่สิบกว่า ๆ  เธอมาโรงพยาบาลที่ห้องฉุกเฉิน
ด้วยอาการปวดท้องและตกขาว  เมื่อตรวจภายในพบว่า  เธอตกขาวมาก  มีหนองกลิ่นคลุ้ง
ไปหมด  ปรากฏว่ามีอะไรอยู่ในช่องคลอดของเธอ  ผมจึงต้องใช้เครื่องมือดึงออกมา  คงจะไม่ลืมคนไข้รายนี้ไปจนตาย  เพราะสิ่งที่ผมดึงออกมานั้นเป็นถุงพลาสติก  รัดด้วยยางวงหลายตลบ  ห่อใหญ่พอควร   แม้ว่าจะเปื้อนเปรอะไปด้วยหนอง   แต่พอมองเห็นว่าภายในนั้นเป็น
สีเงินสีทอง  ผมชูห่อขึ้นให้เธอดู  ขณะที่เธอยังนอนอยู่


                "ต๊าย.......ตายแล้ว  ดิฉันลืมถึงขนาดนี้เชียวหรือ ? ดิฉันจะอธิบายให้ฟัง" เธอพูด
พร้อมกับลุกขึ้นนั่ง  แล้วก็แก้ห่อออกมาเป็น แหวน,  สายสร้อยเงิน,  สายสร้อยทอง,  มีค่ามากที่เดียว  "ของเหล่านี้"......เธอพูดเสียงสันเกือบจะเป็นร้องไห้  "ของเหล่านี้แม่ให้มาเป็นของเก่า  ดิฉันเอาใส่เข้าไปซ่อน  ไอ้ผัวขี้เหล้าติดยาของฉันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว  กลัวมันจะลักไปขาย  แล้วดิฉันก็ลืม  ลืมเสียสนิทที่เดียว   แหม ! ดิฉันอายจริง ๆ เธอกระซิบบอกผมก่อนที่จะลาจากไป  พร้อมกับห่อเงินห่อทองของเธอ  ลืมแบบนี้ เรียกว่า "ลืมสมบัติ"


                  ญิงสูงอายุมาตรวจภายใน  และตรวจมะเร็งปากมดลูก  เพราัะ ไม่ได้ตรวจมานานนมเน  ลูกหลานบังคับให้มา  เมื่อตรวจก็พบว่า  ที่ปากมดลูกมีสายพลาสติกห้อยอยู่  ดู
เหมือนสายห่วงคุมกำเนิด   เนื่องจากคนไข้มีอายุมากและหมดประจำเดือนมาหลายปีแล้วคงจะไม่ต้องใช้ห่วงคุมกำเนิดอีกต่อไป


                   "ป้ามีห่วงคุมกำเนิดอยู่รู้หรือเปล่า ? "  "ว้าย.....ตาเถรช่วย....จริง ๆ หรือคุณหมอ ?" คุณป้าร้องอย่างตกใจ


                   "หมออนามัย (Health  Department) เขาใส่ให้ตั้งแต่คลอดลูกสาวคนเล็ก  เดี๋ยว
นี้อีหนูมันเรียน ม. ๔   (High  School)  อายุก็  ๑๖ ปีแล้วค่ะ  สามีก็เสียชีวิตมาตั้ง ๑๐ ปี  
คุมกำเินิดเปล่า ๆ มาเป็นเวลา ๑๐ ปีไม่น่าลืมเลย"แล้วป้าก็บนต่อ "แหมเจ็บใจ ! "


                   "เจ็บใจอะไรป้า" ผมถามให้หายข้องใจ


                   "เจ็บใจที่ลืมน่ะหมอ"


                   "ผมดึงออกนะป้า" ผมชูห่วงที่ดึงออกมาด้วยเครื่องมือให้ป้าดูก็ห่วงคุมกำเนิด
จริง ๆ แหละครับ
                    
    
                    "ไอ้ห่วงนี่มันอยู่ในอิฉันมาตั้ง  ๑๖ ปี  เชียวหรือนี่ หายห่วงไปที" คุณป้าบ่นถอนใจขณะลงจากเตียงคนไข้  


                    ลืมอย่างนี้คงจะเรียกว่า "ลืมห่วง" ลืมที่ยาวนานเป็นประวัติการณื


ทสรุป


การใช้ห่วงคุมกำเนิด
หลักการของการใช้ห่วงคุมกำเนิดก็คือ การใส่วัสดุบางอย่างเข้าไปในโพรงมดลูกเพื่อขัดขวางการเจริญของเยื่อบุโพรงมดลูก  รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมที่ขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อนที่ปฏิสนธิแล้วไม้ให้เจริญต่อเป็นทารกได้  ห่วงคุมกำเนิดมีลักษณะหลายแบบ ตั้งแต่เป็นรูปตัว T (Couper -T)  รูปเส้นขดไปมา เป็นต้น
 

ข้อดีของการใส่ห่วงคุมกำเนิดก็คือ  เมื่อใส่แล้วมีอายุการใช้งานนาน 3-8 ปี  ไม่มีการลืมแบบยากินคุมกำเนิด แต่มีข้อเสียคืออาจหลุดหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ  ทำให้ประสิทธิผลในการคุมกำเนิดลดลง นอกจากนี้  การใส่ห่วงคุมกำเนิดไม่ได้เป็นหลักประกันที่แน่นอนว่าจะไม่ตั้งครรภ์ เพราะพบอยู่เสมอๆ ว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ห่วงคุมกำเนิดยังอยู่ในที่เดิมของมัน

อาการข้างเคียงอย่างอื่นที่เกิดขึ้นได้เช่น  ประจำเดือนมามากขึ้นปวดท้องน้อย  และอาจจะเกิดการทะลุของโพรงมดลูกได้  แต่โอกาสเกิดแค่ 1 : 1,000 และขึ้นกับประสบการณ์การใส่ของแพทย์

ข้อเสียอีกข้อหนึ่งของวิธีการคุมกำเนิดแบบนี้ก็คือจะต้องให้แพทย์เป็นผู้ใส่และถอดห่วงคุมกำเนิดให้  เนื่องจากไม่สามารถใส่เองได้การใส่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ จึงเป็นข้อยุ่งยากอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ห่วงคุมกำเนิดไม่เป็นวิธีที่นิยมเท่าการใช้ยาคุมกำเนิดแบบกิน  นอกเหนือไปกว่านั้น ห่วงคุมกำเนิดยังอาจไปก่อให้เกิดการอักเสบและระคายเคืองของโพรงมดลูกได้  ดังนั้นในทางธรรมชาติบำบัดจึงไม่สนับสนุนให้ใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบนี้นัก


                 

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คบชู้ สูชาย




แม้ราชอาณาจักรสวาซิแลนด์จะเป็นประเทศเล็ก ๆ ตอนใต้ของทวีปแอฟริกา  แต่
ราชอาณาจักรแห่งนี้เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลกจากพระนามของ สมเด็จพระราชาธิบดีเอ็มสวาติที่ 3 ผู้สร้างวีรกรรมระบือลือลั่นด้วยการรับหญิงสาว ชาวสวาซิแลนด์มาเป็นพระมเหสีนับจนกระทั่งถึงปัจจุบัน 13 คน และจำนวนนี้ท่านก็ยังไม่นิ่ง  เพราะยังทรงตั้งหน้าตั้งตา
เสาะแสวงหาผู้หญิงมาเป็นพระมเหสีตลอดเวลา


จำนวนพระมเหสีที่มีตัวเลขสองหลักทำให้มีเสียงนินทา  สมเด็จพระราชาธิบดีเอ็มสวาติที่ 3
จะทรงบริหารเวลาอย่างไรกับพระมเหสีเหล่านี้  และจะทรงดูแลให้พวกเธอมีความสุขได้ครบถ้วนทุกคนล่ะหรือ  ข้อกังขานี้ไม่มีคำตอบ  จวบจนกระทั่งต้นเดือนสิงหาที่ผ่านมา  เกิดเรื่องงามหน้าขึ้นด้วยฝีมือของ  เจ้าหญิงโนทันโด ดูเบ    พระมเหษีลำดับที่ 12  อดีต   มิสทีน  สวาซิแลนด์  พระชนม์ 22 ชันษา


ม้จะทรงเป็นพระมเหสีอันดับที่ 12 แต่เจ้าหญิงโนทันโด  ดูเบ  ทรงเป็นที่โปรดปรานของ  สมเด็จพระราชาธิบดีเอ็มสวาติที่ 3  มากว่าพระมเหสีทุกพระองค์  ประจักษ์พยานที่ยืนยันในเรื่องนี้ดูได้จากครั้งที่ รัฐบาลไทย กราบบังคมทูลองค์พระประมุขของราชอาณาจักรต่าง ๆ ทั่วโลกให้เสด็จมาร่วมงานพระราชพิธีและงานเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทย   สมเด็จพระราชาธิบดีเอ็มสวาติที่ 3 โปรดเกล้าฯให้เจ้าหญิง โนทันโด ดูเบ ตามเสด็จ


ต่หลังจากนั้น เจ้าหญิงโนทันโด  ดูเบ ทรงเริ่ม Cans fall (ตกกระป๋อง" อันนี้ผมพูดเอง") ไม่เป็นที่โปรดปรานของ สมเด็จพระราชาธิบดีเอ็มสวาติที่ 3 อีกต่อไป  ด้วยพระชนม์ที่น้อยนิด
แม้จะทรงมีพระโอรสพระธิดา 2 องค์ แต่เจ้าหญิงองค์นี้ยังทรงสาวมากเกินกว่าที่จะย่อมรับได้
ว่าพระองค์ทรงถูกทอดทิ้งจากพระสวามี  เมื่อพระสวามีไม่สนพระทัยพระองค์อีกต่อไป 
เจ้าหญิงโนทันโด  ดูเบ  จึงทรงหันไปหาชายอื่นแทน


ารกระทำดังกล่าวไม่อาจจะเล็ดรอดหูตาของชาวสวาซิแลนด์ไปได้  มีเสียงซุบซิบนินทาถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสมของเจ้าหญิง โนทันโดดังกระหึ่ม ไม่มีการระบุชื่อของชายชู้ทั้ง ๆ ที่แหล่งข่าวยืนยันว่า  " คนรู้กันทั่วว่าเขาเป็นใคร " เจ้าหญิงโนทันโด  ดูเบ ทรงคบชู้สู่ชายอยู่นานหลายเดือนและทรงเลือกเวลาที่พระสวามีไม่ได้ประทับอยู่ที่กรุงอัมบาบาเนเมืองหลวงของประเทศ  หรือเสด็จไปต่างประเทศ  เจ้าหญิงจะทรงปลอมพระองค์ออกจากพระตำหนัก
ที่ประทับด้วยการเปลี่ยนฉลองพระองค์ เป็นฉลองพระองค์ทหารก่อนที่จะ เสด็จออกไปนอกพระราชวังโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น


ถานที่ที่เจ้าหญิงโนทันโด  ดูเบ  ทรงนัดพบกับชายชู้ของพระองค์คือโรงแรมรอยัล  วิลล่า
โรงแรมที่ตั้งอยู่ห่างจากพระราชวังโลซิทาที่ประทับไปประมาณ 10 กิโลเมตร  และทรงลักลอบพบกับชู้อยู่เช่นนี้โดยไม่รู้พระองค์เลยสักนิดว่า  ทรงกำลังถูกหน่วยข่าวกรองของ
กองทัพจับตาการเคลื่อนไหวของพระองค์อยู่ตลอดเวลา


ชคดีที่เจ้าหญิงโนทันโด  ดูเบ  และชายชู้ไม่เคยถูกจับได้คาหนังคาเขาเลยสักที  จนเจ้าหญิงทรงเกิดความย่ามใจ  การระมัดระวังพระองค์ก็ค่อย ๆ หย่อนลงไปเรื่อย ๆ และความลับ
ที่อุตส่าห์เก็บงำมานานหลายเดือนก็แดงโร่ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาในช่วงที่
 สมเด็จพระราชาธิบดีเอ็มสวาติที่ 3  เสด็จพระราชดำเนินไปกระชับสัมพันธไมตรีกับไต้หวัน


หมือนทุกครั้งที่พระสวามีไม่ประทับอยู่ในประเทศ  เจ้าหญิงโนทันโด  ดูเบ  ทรงแอบนัดกับชายชู้ของพระองค์ทันทีโดยเลือกโรงแรมรอยัล  วิลล่า  เป็นที่นัดพบกันเช่นเคยและกำหนดเอาไว้ว่าจะนัดเจอกันในวันอังคารที่ 27 กรกฎาคม  ตามคำบอกเล่าของแหล่งข่าวในวังได้เปิดเผยว่า " เหมือนทุกครั้งที่เจ้าหญิงโนทันโด  ดูเบ  เสด็จออกไปพบชายชู้ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นฉลองพระองค์ทหารและสามารถเสด็จผ่านทหารวังที่รักษาการณ์อยู่ที่ประตูพระราชวังเหล่านั้นมิได้ผิดสังเกตแต่อย่างไร  เมื่อเสด็จพระดำเนินพ้นเขตพระราชวัง  ได้มีรถยนต์คันหนึ่งจอดซุ่่มรออยู่  เจ้าหญิงเสด็จขึ้นรถยนต์คันนี้ซึ่งวิงมุ่งหน้าตรงไปยังโรงแรม
รอยัล  วิลล่า "


จ้าหญิงโนทันโด  ดูเบ ทรงคิดว่าการกระทำของพระองค์คงจะไม่มีผู้ใดรู้เห็นเหมือนทุกครั้งโดยทรงไม่รู้เลยสักนิดเดียวว่าคราวนี้หน่วยข่าวกรองของกองทัพได้วางแผนจับชู้ให้ได้
คาหนังคาเขา ในช่วงเวลาที่เจ้าหญิงอยู่กับชายชู้สองต่อสองภายในห้องพักของโรงแรมนั่นเอง  นายทหารของหน่วยข่าวกรองได้บุกเข้าไปในห้องพักและพบว่าเจ้าหญิงอยู่บนเตียงนอน  ส่วนชายชู้ไหวตัวทันรีบหลบไปอยู่ใต้เตียง  แต่เขาไม่อาจจะหนีไปไหน  ท้ายที่สุดก็ต้อง
โผล่หน้าออกมา


ทันทีที่เห็นหน้าของชายที่แอบมาตีท้ายครัว  เหล่าทหารถึงกับช็อกเพราะชายคนนั้นก็คือ
เอ็นดูมิโช  แมบบา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมนั่นเอง และที่น่าเจ็บปวดใจมากไปกว่า
นั้น  เขาคนนี้เป็นพระสหายกับสมเด็จพระราชาธิบดีเอ็มสวาติที่ 3 มาตั้งแต่เด็ก  จึงเป็นเรื่องที่
คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้


ายทหารผู้ปฏิบัติการจับชู้  ได้นำตัวของรัฐมนตรีส่งให้กับสถานีตำรวจซึงสอบปากคำของเขาก่อนจะส่งตัวเข้าคุกด้วยความผิดโทษฐาน "ไปอยู่บ้านของชายอื่น" ซึ่งมีโทษรุนแรง
ถึงขั้นประหารชีวิตเลยทีเดียว  ส่วนเจ้าหญิงโนทันโด  ดูเบ เองไม่อาจจะหนีความผิดไปได้ มีการนำตัวของเจ้าหญิงไปกักบริเวณอยู่ที่พระราชวังของสมเด็จพระราชนนีผู้ทรงปฏิบัติหน้าที่
เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะที่สมเด็จพระราชาธิบดีเอ็มสวาติที่ 3 เสด็จฯไปปฏิบัติ
พระกรณี่ยกิจต่างแดน


ข่าวนี้ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด  เพราะสื่อของราชอาณาจักรสวาซิแลนด์ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเสนอข่าวของราชวงศ์อย่างเด็ดขาด  แต่ข่าวสุดฉาวโฉ่ไม่อาจจะรอดพ้นเงื้อมมือของ
สื่อต่างประเทศไปได้  สือของประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ประเดิมเสนอข่าวลักลอบเป็นชู้
ระหว่างเจ้าหญิงโนทันโด ดูเบ กับ เอ็นดูมีโช  แมบบา  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอย่าง
เอิกเกริก


มื่อมีผู้เริ่มย่อมมีผู้ตาม  ในไม่ช้าสื่อในประเทศเพื่อนบ้านรอบข้างราชอาณาจักรสวาซิแลนด์
พร้อมใจกัน  เสนอข่าวนี้  ชนิดเจาะลึก กันที่เดียวมีการสัมภาษณ์พระสหาย ของเจ้าหญิง
โนทันโด  ดูเบ ผู้อ้างว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ
"เจ้าหญิงทรงไม่มีความสุขที่พระองค์ตกเป็นเหยื่อข่าวลือที่นำความเสื่อมเสียมาสู่พระองค์มาก และทรงมิได้ถูกกักบริเวณให้ประทับอยู่ในพระราชวังของสมเด็จพระราชชนนี  แต่อย่างไร "


ต่ไม่ว่าจะทรงเพียรปฏิเสธสักเพียงใด  ความจริงก็ย่อมเป็นความจริงวันยังค่ำ  มีข่าวว่า
เอ็นดูมีโซ  แมบบา ถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและ
ติดคุกรอการพิพากษาโทษ  ส่วนชะตากรรมของเจ้าหญิงโนทันโด  ดูเบ แม้จะยังไม่แจ่มชัดว่าจะถูกลงโทษสถานใด  เชื่อกันว่าจะทรงถูกขับออกนอกประเทศและจะต้องประทับอยู่ต่างแดน
จนชั่วชีวิต


ส่วนสมเด็จพระราชาธิบดีเอ็มสวาติที่ 3  อาจจะทรงเสียความรู้สึกบ้าง แต่ไม่ช้าก็คงจะทรงลืมได้หมด    เพราะทรงกำลังเตรียมรับสาวสวาซิแลนด์  เป็นพระมเหษีองค์ใหม่    เจ้าหญิง 
โนทันโด  ดูเบ  อาจจะเป็นอดีตที่ไม่มีคุณค่าควรให้พระองค์จดจำ เลยแม้แต่นิดเดียว

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เสือคลี่



ในวงการยุทธจักรนักเลงเป็นเจ้าพ่อบนเขาศูนย์ ถ้าเอ่ย ถึงเสือคลี่หรือเจ้าพ่อคลีหรือแล้วละก้อ  ทุกคนต้องร้อง  "อ๋อ" ต่างรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี  เพราะเสือคลี่จัดเป็นเจ้าพ่อชั้นแนวหน้าคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์ + พรแสวง ยิงปืนแม่นราวจับว่าง หมายความว่าจะยิงตรงไหนก็ได้ถูกทุกตำแหน่ง นัดเดียวไม่มีการซ้ำนัด  ใคร ๆ ที่ว่าแน่ ๆ พี่แกเป่าดับดิ้นสิ้นเป็นผีมาเสียมากต่อมาก


สือคลี่นี้เป็นคนท้องถิ่นอำเภอฉวาง  รูปร่างสันทัด  อายุราวสี่สิบกว่า  สมัยหนุ่ม ๆ แกเคยเป็นตำรวจ แต่อยู่ได้ไม่นานแค่สองสามปีก็เกิดไปมีเรื่องกับผู้บังคับบัญชาถึงขั้นท้าตีท้าต่อย  ถ้าเป็นสมัยนี้ยิงกันตายบนโรงพักไปแล้ว (แบบเกิดที่สุโขทัยเมื่อไม่นานมานี้ "ผมจำได้ว่าเกิดที่สุโขทัยสามครั้งตำรวจยิงตำรวจ" ) ในที่สุดเสือคลี่ต้องลาออกจากราชการ  แล้วมาทำสวนยางเจริญรอยตามลุงกับซึ่งเป็๋นพ่อระหว่างที่ทำสวนยางอยู่นี้  เสือคลี่ก็ประพฤติตนเป็นมือปืนรับจ้างยิงหัวคนไปด้วย  จนชื่อเสียงค่อย ๆ เลื่องลือเป็นที่เกรงขา้มของคนทั่วไปโดยเฉพาะในตลาดฉวางเสือคลี่ยิงมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบศพ  ทุกศพล้วนนัดเดียวเข้าหัวตายคาที่  และไม่เคยมีประวัติว่าเสือคลี่ต้องยิงศพไหนถึงสองนัด  


สือคลี่บุกยิงเถ้าแกชื่อชะวักตายคาที่หน้าโรงพักตอนกลางวันแสก ๆ แล้ววิ่งหลบหนีไปทางหลังโรงเรียนท่ามกลางสายตาของผู้คนที่สัญจรไปมามากมาย  คดีนี้ผู้กองสมัยนั้นโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง  ถึงประกาศก้องต้องตามล่าเสือคลี่มาเข้าคุกให้ได้  ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย  เพราะถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์และหยามหน้ากันเกินไป   และผู้กองคนนั้นก็สามารถจับเสือคลี่มาดำเนินคดีตามกฏหมายจนได้  ท่านทำสำนวนส่งฟ้องศาลเอง  ในสำนวนฟ้องขอให้ศาลลงโทษเสือคลี่ถึงขั้นประหารชีวิต  ครั้งนั้นเรื่องนี้เป็นที่โจษจันเซ็งแซ่ของชาวบ้านทั่วทั้งตลาด  ทุกคนต่างออกความเห็นเชื่อมั่นว่า  ไม่ว่าเสือคลีจะถูกศาลตัดสินประหารชีวิตหรือไม่ก็ตาม  อย่างน้อย ๆ แกต้องถูกจำคุกจนแก่ตายเป็นแน่  เพราะนอกจากคดีนี้แล้ว  เสือคลี่ยังมีคดีฆ่าตายอีกห้าคดีที่ยังหลบหนีหมายจับอยู่  แต่แล้วทุกอย่างกลับพลิกความคาดหมาย  เสือคลี่ติดคุกไม่กี่เดือน  แกสู้คดีจนหลุดหมด  เพราะศาลยกฟ้องเนื่องจากขาดพยานหลักฐาน  นี่แหละสภาพสังคมและกฏหมายบ้านเมืองของไทย  ที่ทุกคนต่างคิดแต่จะเอาตัวรอดโดยไม่
คำนึงถึงส่วนรวม   มือปืนจึงหากินได้สบายไม่มีวันหมดสิ้น


สือคลี่รับจ้างยิงหัวคนมาแล้วหลายสิบศพ  ก็ไม่เคยเห็นต้องติดคุกติดตรางสักที  มีแต่จะเสริมสร้างบารมีแกให้แกร่งกล้าเป็นที่เกรงขามของคนมากขึ้นเท่านั้น  เสือคลี่ยิงทุกคนไม่เลือกหน้าไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร  ขอเพะียงให้เอาเงินมาจ้างเถอาะ


มีอยู่คดีหนึ่งที่เล่าลือกันทั่วทั้งตลาดฉวาง  เป็นเรื่องระหว่างลุงนำกับเสือคลี่  ลุงนำนั้นใคร ๆ 
ก็รู้ว่าแกเป็นคนหัวหมอหัวความ  เพราะมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลกับคนโน้นคนนี้ไม่เว้นแต่ละวัน 
บ้านลุงนำกับบ้านเสือคลี่อยู่ใกล้ ๆ กัน ทั้งสองต่างรักใคร่นับถือเหมือนญาติสนิทและไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองประการใด  คืนนั้นไฟฟ้าดับที่ร้านกาแฟลุงนำกับเสือคลี่นั่งจิบกาแฟกันอยู่ในร้าน  คุยกันสักพักทั้งสองจึงชวนกันกลับบ้านซึ่งอยู่หลังวัดปากทอน  ก่อนจะกลับลุงนำยังแวะซื้อเทียนเล่มหนึ่งแล้วหันมาบอกเสือคลี่


"มืด ๆ ยังงี้เดินดี ๆ นะไอ้หลานคลี่"  ว่าแล้วลุงนำก็จุดเทียนส่องไฟนำทางโดยมีเสือคลี่เดินตามหลัง  และแล้วคืนนั้นลุงนำก็ถูกเสือคลี่ยิงตาย (ทำให้ผมนึกถึงเรือง"มือปืน"ที่ผมเคยดู)
ตรงสะพานปากทางเข้าวัด  รุ่งเช้ามีคนมามุงดูศพลุงนำกันเต็ม  ส่วนเสือคลี่ไม่รู้แกล่องหนหายตัวไปไหนแล้ว   งานนี้ไม่มีใครโทษเสือคลี่  เพราะรู้ ๆ กันอยู่ว่านี่คืออาชีพของแก มีแต่คนเขาตำหนิผู้ตายว่าโง่ "เดินนำหน้าใครไม่เดิน  ไปเดินนำหน้าเสือคลี่ ! "


สือคลี่เป็นนักเลงปืนที่ฉลาด  แกจะไม่เสี่ยงสู้คนต่อหน้ามีแต่จะแอบลักยิงหัวเพื่อนลับหลังอย่างเดียว  อีกทั้งไหวพริบปฏิภาณการระวังตัวก็ดีเยียม  แกไม่ยอมดูหนังดูดนตรีั  ไม่กินเหล้านอกบ้าน  ไปไหนมาไหนไม่หยุดแวะคุยกับใครเกินห้านาทีเพราะกลัวเป็นเป้าสายตาถ้าเหตุการณ์ไหนเสียงอันตรายต่อชีวิตมากเกินไป (เห็นไหมครับแม้แต่มือปืนก็มีระเบียบวินัยเคร่งครัดเพราะถ้าพลาดก็หมายถึงชีวิตตัวเองเหมือนกัน) แก่จะไม่ยุ่งด้วย  อย่างเช่น เมื่อครั้ง
หลุมโกช็อกกับหลุมลุงกีด  กำลังถูกแร่มาก  ซึ่งจัดเป็นยุคมิคสัญญีมากที่สุดบนเขาศูนย์เพราะมีนักเลงหลายก๊กหลายเหล่าจากทั่วสารทิศ  ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบรวมทั้งพวก ผ.ก.ค. ต่างพาสมัครพรรคพวกขึ้นมาอุกปล้นชิงแร่สองหลุมนี้ฆ่ากันตายทุกวัน  บางวันถล่มกันด้วยอาวุธร้ายนานาชนิดจนตายเกลื่อนหลุมมากกว่ายี่สิบศพก็ยังเคยมี  ครั้งนั้นเป็นยุคของนักเลงจากอำเภอชะอวดที่รวมตัวกันเหนียวแน่นขึ้นมาครองเขาศูนย์


ที่ดัง ๆ ก็มีอยู่ด้วยกันสองคนคือ ไอ้จบหน้าบากกับไอ้ลูกหมี  ขณะนั้นเสือคลี่ก็นับว่าดังสุดกู่แล้วก็ยังไมกล้าขึ้นเขาศูนย์  มิใช่แกจะด้อยฝีมือ  นั่นแสดงถึงเสือคลี่เป็นคนไม่ประมาทนั่นเอง
ไม่งั้นแกอาจถูกยิงตายตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่แน่  ส่วนนักเลงท้องถิ่นเห็นมีแต่เสือเชื่องซึ่งเป็นโจร
ลักวัวลักควายชื่อดัง  ที่ขึ้นไปอุกปล้นชิงแร่กับเขาด้วย  แต่แก่สู้อยู่ได้สักพักหนึ่ง  ก็เดินลงจากเขาศูนย์เสียเฉย ๆ เห็นเสือเชื่องเปรย ๆ ให้คนโน้นคนนี้ฟังอย่างผู้แพ้ "เราขี้คร้านยุ่งกับมัน  ไอ้สองตัวนี้เถือนแรง" ไอ้สองตัวนี้หมายถึงไอ้จบหน้าบากกับไอ้ลูกหมีนั่นเอง  ทั้งที่เสือเชื่องเองก็นับว่าเถื่อนไม่เบาอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน


รั้นหมดยุคหลุมโกช็อคกับหลุมลุงกีดซึ่งได้แร่มากแล้ว  และนักเลงจากชะอวดเกิดหักหลังฆ่ากันเองจนตายหมดเช่นกัน  เหตุการณ์ทั่ว ๆ ไปบนเขาศูนย์ก็กลับคืนสู่สภาพปกติอีกครั้งหนึ่ง  จะมีบ้างเพียงคดีฆ่ากันตายธรรมดาเท่านั้น  อาจเป็นเพราะว่าไม่มีหลุมไหนถูกแร่มากจนน่าอุกน่าปล้นยังกับสองหลุมนี้ก็เป็นได้  นั่นแหละจึงเป็นยุคของนักเลงในท้องถิ่นที่ผลัดกันขึ้นเป็นเจ้าพ่อเขาศูนย์อย่างแท้จริง  ช่วงนั้นแม่ละม้ายซึ่งเป็นญาติห่าง ๆ กับเสือคลี่เกิดถูกหลุมแร่พอดี  แม่ละม้ายเป็นคนชวนเสือคลี่ขึ้นเขาศูนย์เป็นครั้งแรก   เสือคลี่เป็นนายหัวหลุม 
แม่ละม้ายไม่ถึงเดือนแม่ละม้ายก็ถูกยิงตาย  ในที่สุดหลุมแม่ละม้ายก็ตกเป็นของเสือคลี่  และเสือคลี่คงได้เงินจากหลุมนี้ไม่น้อยหลายล้านอยู่เหมือนกัน


นื่องจากเสือคลี่มีเงินล้านบวกกับความเป็นมือปืนชื่อดัง  เลยทำให้แกเป็นเจ้าพ่อในตลาดฉวางโดยอัตโนมัติ  แต่มิใช่เจ้าพ่อเขาศูนย์  เพราะช่วงที่มีเงินล้านอยู่นี้เสือคลีมิค่อยได้ขึ้นเขาศูนย์ แกมัววุ่นวายกับเรื่องวัวชน  งานสังคมตลอดจนสละเงินบำรุงวัดวาอาราม  นอกจากนี้เสือคลี่ยังสร้างฐานะของตัวเองให้มั่นคงขึ้น  ด้วยการชื่อรถกระบะสองคัน  สร้างบ้านไม้สองชั้นสองหลัง  หลังหนึ่งแกอยู่เองอีกหลังหนึ่เปิดเป็นร้านตัดผม  ส่วนหลังบ้านซึ่งอยู่ติดกับตลาดสดเสือคลี่ยังสร้างห้องแถวเล็ก ๆ  ห้าหกห้องให้คนเขาเช่า


สือคลี่เป็นนักบริจาคช่วยเหลือการกุศลชื่อดังคนหนึ่ง  แกชอบบริจาคเงินช่วยเหลือทางราชการครั้งละเป็นหมื่นเป็นแสน  หมู่นี้จึงเห็นเสือคลี่แต่งตัวเรียบร้อย  บางครั้งก็ใส่สูทผูก
เน็กไทออกงานเจ้านายในจังหวัดบ่อย ๆ ทุกครั้งเสือคลี่จะขนลูกน้องมือปืนคุ้มกันเต็มสองคันรถ  ตบท้ายด้วยการเลี้ยงดูปูเสื่อลูกน้องอย่างดี  กินกันเพียบสมกับการเป็นเจ้าพ่อจริง ๆ 


พราะเหตุเสือคลี่เป็นนักบริจาคใจใหญ่นี่เอง  ฝาบ้านแกจึงแขวนเต็มไปด้วยประกาศนียบัตรหลายใบจากหลายกรมหลายกระทรวง   ทุกใบล้วนแต่เขียนสรรเสริญอวยพรเสือคลี่เป็นทำนองเดียวกัน  " ขอมอบประกาศนียบัตรใบนี้เพื่อแสดงว่า  คุณคลี่เป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือทางราชการและประเทศชาติด้วยดีเสมอมา  ขออวยพรให้จงมี อายุ  วรรณ  สุขะ
พละ  เทอญ "


สือคลี่มิใช่เป็นมือปืนจอมขี้ขลาดดังที่คนเขาร่ำลือ  อันที่จริงถึงต่อหน้าแกก็ไม่เคยขี้ขลาด
ครั้งหนึ่งในบริเวณโรงพักฉวากมีงานเลี้ยงสังสรรค์   ระหว่างข้าราชการตำรวจกับพ่อค้าประชาชน  งานนี้จัดขึ้นเนื่องในวันอะไรหรือวัตถุประสงค์อะไรผมก็จำไม่ได้  แต่ที่จำได้แน่ ๆ งานนี้เสือคลี่เป็นเจ้าภาพฝ่ายปัจจัย  เสือคลี่นั่งร่วมโต๊ะกับผู้บังคับกอง  ซึ่งเป็นคนละผู้กองกับคนแรกที่จับแกเข้าคุกนะครับ  ส่วนผมนั่งโต๊ะถัดไป  งานนี้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยเป็นกันเอง  บนเวทีมีการกล่าวปราศรัยร้องเพลงกับฟ้อนรำ  ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานเฮฮาอยู่นั้น  เหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็บังเกิดขึ้นจนได้  เมื่อมีนายร้อยตำรวจตรีหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งจบมาใหม่ ๆ จะชื่อนามสกุลอะไรก็อย่าไปทราบเลย  เพราะปัจจุบันนี้ท่านก็เป็นถึงนายพันมือปราบของกรมตำรวจไปแล้ว ( เรื่องนี้กลับมารีเมคใหม่นะครับถ้าจริงแล้วท่านคงเกษียณหรือเสียชีวิตไปแล้วก็ไม่ทราบได้)       ผู้หมวดคนนี้ไม่ทราบว่ากินเหล้าเมามาจากโต๊ะไหน   
เห็นเดินเซ ๆ คู่กันมากับพลตำรวจคนหนึ่งมายืนหยุดตรงโต๊ะที่เสือคลี่นั่งอยู่


ล้วผู้หมวดคนนี้ก็ถามพลตำรวจที่มาด้วยกันด้วยท่าท่างเครียด ๆ พร้อมชี้มาที่เสือคลี่
" คนนี้หรือเสือคลี่มือปืนผู้ยิ่งใหญ่"   เสือคลี่เหลียวขวับไปมอง  พร้อมตอบสวนทันควันด้วยท่าทางไม่แพ้กัน  "ใหญ่ไม่ใหญ่มึงอยากจะลองกับกูก็ได้" ว่าแล้วเสือคลี่ก็ผลุนผลันลุกขึ้นจะเดินเข้าไปหา ดีแต่ว่าโต๊ะนั้นมีนายตำรวจหลายคนคอยห้ามไว้  โดยเฉพาะผู้กองถึงกับเดินมาห้ามปรามเสือคลี่เป็นเชิงขอร้อง  " อย่าไปถือสาเลย  เด็กเพิ่งจบมาใหม่ ๆ ยังไม่ประสีประสาอะไร " ถึงกระนั้นกว่าจะเอาเสือคลี่สงบสติอารมณ์ลงได้ก็เล่นเอาวุ่นวายหมดทั้งงาน


สือคลี่เป็นเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่สุดขอบฟ้าได้สักปีกว่าก็หมดเงิน  เพราะแกไม่มีรายได้ทางไหน
พื้นฐานการค้าขายก็ไม่มี  อีกทั้งสิ่งของผิดกฏหมายอย่างเช่น  บ่อนการพนัน  ไม้เถือน
เฮโรอีนแก่ก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยว  ร้านตัดผมก็มีลูกค้าหยอมแหยมเพราะใคร ๆ ก็กลัวโดนลูกหลง
ห้องแถวเล็ก ๆ ก็มีคนเช่าแค่ห้องสองห้องเพราะไม่มีใครอยากเอาตัวเองไปผูกพันกับเสือคลี่ส่วนบ้านแกเองก็มีแต่พวกมือปืน  นักเลงขี้เหล้าที่มากินเหล้าเมาเช้าเมาเย็น  เพียงให้เสือคลี่
หมดเงินไปวัน ๆ เท่านั้นเอง  และสิ่งที่ทำให้เสือคลี่หมดเงินมากที่สุดเห็นจะเป็นวัวชน  แกซื้อ
วัวชนราคาแพงมาเลี้ยงไว้สี่ห้าตัว  ทุกตัวล้วนแต่ถูกนักเลงวัวต่างถิ่น  ค่อยนำวัวที่ดีฝีชนเหนือกว่ามาแอบซุมชนกับของแก  เพราะรู้นิสัยดีว่าเรื่องวัวชนแล้วเสือคลี่จะใจถึงมากกว่าใคร ๆ 
หรือพูดง่าย ๆ  คนอย่างเสือคลี่จัดอยู่ในประเภทถึงวัวจะสู้ไม่ได้  แต่เจ้าของวัวสู้ได้ว่างั้นเถอาะ
ช่วงที่แกเป็นเจ้าพ่ออยู่นี้นักเลงวัวชนในตลาดฉวางต่างรวยไปตาม ๆ กัน  เพราะถ้าวัวของ
เสือคลี่ชนกับของใครก็ให้เล่นวัวของคนนั้นเป็นทีเด็ด  และวัวของเสือคลี่ก็แพ้หมดทุกตัว ผม
คิดว่าช่วงปีกว่า ๆ นี้แกเสียวัวชนรวม ๆ กันคงไม่น้อยกว่าล้านบาท


รั้งเมื่อเสือคลี่่ขายวัวชนหมดคอกแล้ว  แกไม่ค่อยฟู่ฟ่าและสุงสิงกับใคร  จะซุกตัวเงียบอยู่แต่ในบ้าน  วันหนึ่งแกพาสีหน้าซีด ๆ เซียว ๆ ไปนั่งคุยกับโกเก้าเจ้าของร้่าตัดผ้าชายภูษา
ซึ่งผมเองก็นั่งฟังอยู่ด้วย  ตอนหนึ่งแกรำพันเป็นเชิงน้อยเนื้อต่ำใจให้เจ้าของร้านฟัง
"คนแบบกูทำดีไม่เคยได้ดี  ต่อไปนี้ใครมีเรื่องเดือดร้อนอะไรไม่ต้องมาหากู  กูจะไม่ช่วยเหลือใครสักคน  คนบ้านเรามีแต่พวกหมาแฉ  คอยหลอกต้มหลอกแด(ก) กูทั้งเพ" 


ลังจากวันนั้นเสือคลี่ก็แต่งตัวปอน ๆ ขึ้นเขาศูนย์อย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง  รถกระบะสองคันก็ดัดแปลงเป็นรถโดยสาร  รับส่งคนจากตลาดขึ้นศูนย์  ทุกเช้าเสือคลี่จะโหนท้ายรถของแกขึ้นเขาศูนย์ทุกวัน  บางคราวแกก็ทำตัวเป็นเด็กรถไปเสียเลย  ด้วยการตะโกนเรียกหาผู้โดยสารกับช่วยยกของขึ้นยกของลง  การขึ้นเขาศูนย์ในช่วงนี้เสือคลี่ยังไม่จัดว่าเป็นเจ้าพ่อ  จัดแค่เป็นมือปืนชื่อดังเที่ยวมาหาซื้อขี้ดินตามหลุมถูก ๆ แร่ซึงมีอยู่ราวสองสามหลุม  และการ
ซื้อขี้ดินของเสือคลี่ก็มิต้องแหกปากแย่งกันซื้อเหมือนเช่นคนอื่น ๆ  เพียงแค่เอ่ยปากเจ้าของหลุมก็ควักเงินให้แล้วครั้งละพันครึ่งพันแล้วแต่จะว่ากัน


วันหนึ่ง ๆ แกคงมีรายได้ไม่น้อยกว่ากว่าพันสองพันบาท  แต่รายได้แค่นี้ถ้าเปรียบเทียบกับรายจ่ายที่แกมีลูกน้องหลายคนเดินตามหลัง ก็ไม่น่าจัดว่าเป็นผู้รายได้ดีแต่อย่างได จัดเพียงว่าแกหากินบนเขาศุนย์ไปวัน ๆ เท่านั้น  ในระหว่างที่แกหากินไปวัน ๆ นี่เอง  วันหนึ่งเสือคลี่
ก็มีโอกาสแสดงฝีมือยิงปืนแม่นให้ผมเห็นจนน่าทึ่งตราบเท่าทุกวันนี้


วันนั้นเวลาบ่าย  ที่บริษัทเหมืองแร่เขาศูนย์ของ   นายอุดม  เย็นฤดี  ซึ่งมีอดีตนายอำเภอคนดัง ร.ต.ท.  ระบิล  นานากุล  เป็นผู้จัดการบริษัทนี้ตั้งอยู่ริมคลองหัวตลาดฉวาง  วันนั้นบังเอิญ
ผมมีธุระไปที่บริษัท   เมื่อไปถึงตรงข้างหลังบริษัทซึ่งติดกับทุ่งนาโล่งกว้างไกล  มีหลายคน
กำลังประลองยิงปืนกันอย่างครื้นเครง  คนดัง ๆ เท่าที่จำได้มี นายอำเภอ  ระบิล เสือพลและผู้หมวดคนเดิมซึ่งแต่งเครื่องแบบเต็มยศเพิ่งติดสองดาว  นอกจากนี้ยังมีลูกสาวนายอำเภอระบิลกับเพื่อนสาวชาวบางกอกอีกสามสี่คน  สนามยิงปืนชั่วคราวแห่งนี้อยู่หลังจอมปลวกวาง
ขวดแม่โขงกลมหกใบเรียงห่างพอเหมาะอยู่บนโต๊ะ  ระยะที่ยิงห่างประมาณสิบวา  การยิงปืน
ก็สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันคนละหกนัด   ยิงกันครบแล้วทุกคน  ผลสรุปคุณผู้หมวดยิงปืนแม่นมากที่สุด  ถึงอย่างไรก็ยิงผิดมากกว่ายิงถูก  แต่เพราะเป็นผู้หมวดหนุ่มกับยิงปืนแม่นกว่าทุกคน  จึงทำให้คุณผู้หมวดดูเด่นเป็นสง่าน่านิยม   มีหลายคนอยากพูดจากับคุณผู้ถึงหลักวิธียิงปืน  คุณผู้หมวดก็ใจดีแนะนำสอนให้ทุกคนด้วยเสียงดังฟังชัด  เท่าที่จำได้ก็มี  ยืนตัวตรง ๆ 
เหยียดแขนตรง   อย่าหลับตา    อย่ากลัวเสียงปืน   และอะไรอีกหลายคำ  ซึ่งผมคิดว่าน่าจะถูกต้องตามหลักวิธียิงปืนนั่นแหละครับ


ณะที่คุณผู้หมวดกำลังอวดสาว ๆ เอ๊ย.. !!!!!  กำลังแนะนำสอนวิธียิงปืนให้พวกเรา  ด้วยท่าทางทะมัดทะแมงองอาจสมชายชาตรีอยู่นั้น  พลัน !! ต้องบังเอิญมีนักเลงฝีมือเหนือกว่ามาลบเหลี่ยมความแม่นปืนลงอย่างสิ้นเชิง  นักเลงผู้นั้นก็คือ เสือคลี่  เวลานั้นเสือคลี่ไม่ทราบว่ามาจากไหน   แกแต่งตัวมอซอ   นุ่งกางเกงผ้าร้อยเปอร์เซ็น   พับครึ่งแข็ง   เท้าไม่ใส่เกือก  
สวมเสื้อเชิ้ตสกปรกดำ ๆ แถมกระดุมยังขาดไปสองเม็ด  บนบ่าคล้องห่อสะพาย  กระโดดจากท้ายรถดัมพ์ซึ่งบรรทุกดินมาเต็มเมื่อรถจอดสนิทอยู่ตรงหน้า   เสือคลี่ปัดเสื้อปัดกางเกงพอให้ขี้ดินหลุด  แล้วเดินดุ่ม ๆ เข้าไปยกมือไหว้นายอำเภอระบิลตามมารยาท  เสือคลี่นั่งดูเขาซ้อม
ยิงปืนอยู่พักหนึ่ง  แกก็ลุกขึ้นเดินไปยกมือไหว้นายอำเภอระบิลอีกครั้งเป็นการร่ำลา  เสือคลี่
เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกนายอำเภอระบิลเรียกกลับ  มาอีก


"นายคลี่ นายคลี่กลับมาก่อน  จะรีบไปไหน ๆ มาลองยิงปืนให้ดูสักตั้งซิ"อันความจริงเสือคลี่
มิใช่เป็นคนขี้โม้ขี้คุยถ้ามิใช่นายอำเภอ ระบิลขอร้องผมขอรับรองเสือคลี่ไม่อวดฝีมือเด็ดขาด
ด้วยความเกรงใจเสือคลี่เดินไปหยุดอยู่ตรงเส้น  แล้วชักปืน ๑๑ ม.ม.จากเอว โดยไม่ต้องเล็ง
ไม่ต้องยืนตัวตรง  และไม่ต้องเหยียดแขนตรง   แกเหนี่ยวไกทันที  เสียงปืนที่ดัง ปัง ! ปัง ! หกนัดทำให้ขวดแม่โขงแตกเสียงดัง  เพ้ง  !  ทั้งหกใบตามแรงปืนท่ามกลางสายตาของทุกคนต่างตะลึงนึกไม่ถึงว่าเสือคลี่จะแม่นปืนถึงขนาดนี้


สือคลี่ปลดแมกกาซีนออกใส่กระเป๋ากางเกง  กระชากลูกเลื่อน  ดีดปลอกกระสุนที่คาลำกล้องกระเด่นออกมา  แกตามตะครุบใส่กระเป๋าเสื้อ  เป่าปากกระบอกปืนหน่อยหนึ่งแล้วเก็บปืนยัดเข้าเอวหิ้วห่อผ้าคล้องไหล่จากไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ฝ่ายคุณผู้หมวดก็เหมือนกัน   คือเก็บปืนเข้าซองข้างเอว  แล้วเดินออกจากที่ยิงปืน แต่ไปคนละทางกับเสือคลี่






                  _____________________________________





                            













                                                                                                                         Chanpa


วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไซฟ่อน



  กลายเป็นประเด่นที่ถูกล่าวถึงพอสมควร  เมื่อภาคีเครือขายต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งชาติ (ภตช.) ออกมาเปิดเผยว่า  มีข้อมูลจากฮ่องกงว่า มีนักการเมืองไทย 
"ไซฟ่อน"เงินจำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีการดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงน้ำท่วม

  คำว่า "ไซฟ่อน" ( syphon ) เป็นคำใช้ทับศัพท์  ที่มีความเข้าใจกันในแวดวงการเงินคำ ๆ นี้
ตามความหมายของนักบัญชี สถาบัญภาภัทร-ธุรกิจบัณฑิตย์ หมายถึง "การยักย้ายถ่ายเทผลประโยชน์ของบริษัทไปเป็นของส่วนตัว  สามารถกระทำผ่านช่องทำธุรกิจปกติ เช่น  ธุรกิจ
ซื่อขายสินค้าหรือสินทรัพย์   การกู้หรือการให้กู้ยืมเงิน  และการค้ำประกัน  ซึ่งเป็นการกระทำระหว่างบริษัทจดทะเบียนของผู้ถือหุ้นรายใหญ่  ผู้บริหาร   หรือกิจการส่วนตัวของคนเหล่านี้"

  ส่วนข้อสังเกตพฤติกรรมการไซฟ่อนเงิน  จะมี 2 แบบหลัก ๆ คือ  1. การที่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง
ทำการซื้อสินค้าหรือสินทรัพย์ในราคาที่สูงกว่าหรือตำกว่าความเป็นจริงโดยเฉพาะซื้อกับบริษัทในเครือหรือบริษัทร่วมที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวผู้บริหาร  เจ้าของ  หรือผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้น และ  2. การที่บริษัทจดทะเบียนอนุมัติเงินกู้หรือลดหนี้สิน  หรือการอนุมัติเงินลงทุน
อย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่มีความชัดเจนว่าจะกู้เงินหรือลงทุนในเรื่องใด  โดยเฉพาะในกรณีที่บริษัทนั้น ๆ  ยังอยู่ในระหว่างการฟื้นฟูกิจการ

  โดยสรุป  ไซฟ่อนคือ  การยักย้ายถ่ายเงิน   ซึ่งมีความหมายต่างจากฟอกเงิน  ที่หมายถึงการกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มา  แหล่งที่ตั้ง
การจำหน่าย  การโอน  การได้สิทธิใด ๆ ของเงินนั้น....!!!!!!!







                             __________________________________________________





                                                                                                                          Chanpa

ผ้าขะม้าพาเหรด



               ใครแต่ง บ่  ฮู้  บ่  หัน จ๊าว แต่เป็นลำนำคำกลอนแจกกันอ่านในหมู่ข้าราชการบำนาญ  เข้าใจว่าเป็นผู้ว่าราชการคนหนึ่งเห็นว่า เฉียดวรรณกรรมมาก   แต่อย่าไปสนใจเดาเลยครับ อ่านแล้วหายเครียดก็พอแล้ว


              ผ้าขะม้า  ไทยนี้   มีประโยชน์                  ชื่ออุโฆษ  แพร่หลาย  กระจ่ายทั่ว

ใช้คาดพุง   นุ่งอาบน้ำ   ทำสวนครัว                      ใช้เช็ดตัว   หัวหู  และปูนอน

            เช็ดถ้วยชาม  ช้อนส้อม แทนหมอนหนุน    ใช้ปัดฝุ่น   หยากไย่   ไม่ต้องสอน

ใช้ห่อของ   แทนย่าม   ก็งามงอน                          ถ้าแดดร้อน   คลุมผม   ต่างร่มบัง

             อากาศเย็น   หนาวลม   ห่มแก้ขัด             แทนเชือกรัด  ข้าวของ  ต้องสมหวัง

เข้าวัดวา   หาพระ   ดีจริงจัง                                 ไม่น่าชัง   แสนสุภาพ   กราบโสภณ

             ลูกร้องไห้   โยเย   ทำเปลผูก                    แล้วกล่อมลูก   หลับได้   ดังถวิล

ใช้โพกหัว   ปิดหน้า   ออกหากิน                            พวกไพริน   นอบนบ   สยบกาย

             ครั้งโบราณ   ผู้หญิง   ออกสู้ศึก                เขาต้องศึก   ตะเบงมาน   ออกขานไข

แล้วแกว่งดาบ   ปุบปับ   ด้วยฉับไว                         ทั้งเอี้ยวกาย   หลีกหลบ   เมื่อรบกัน

             ใช้คล้องคอ   คล้องไหล่  เมื่อไปไปเที่ยว    เวลาเกี้ยว   สตรี   ดีเหมือนฝัน

ใช้ประโยชน์   ได้ทุกท่า   สาระพัน                         อย่างงงัน   ไว้ชิดกาย   สบายอุรา

             แม้อกหัก  อยากตาย  ให้มีชื่อ                   ผูกกับขื่อ  ชายหนึ่ง  ให้แน่นหนา 

อีกชายหนึ่ง   ผูกกับคอ   จะมรณา                        อย่าสงกา   ไปเมื่องผี   ดีทันใจ

            ใช้พันมือ   ต่อยม่วย   ได้สวยนัก               ไม่อาจจัก   หานวม   มาสวมใด้

ทั้งเตะต่อย  เข่าศอก   ตอกถึงใจ                           กีฬาไทย   ชนิดนี้  นิยมกัน

             ครา  ตำรวจ  กวดจับ   ขับผู้ร้าย               ต่างวิ่งไล่   วกวน   อลหม่าน

ต่างหัวซุก   หัวซุน   วิ่งชนกัน                               จับได้พลัน   มัดไพล่หลัง   ลงนั่งซึม

             ถึงคราตรุษ  สงกรานต์  ออกลานบ้าน       เสียงกลองลั่น   เป็นจังหวะ   ดังกระหึ่ม

พวกชาวบ้าน  ทั่วไป  ไม่นั่งซึม                              ต่างก็ลืม  ความทุกข์  สนุกกัน

              ต่างล้อมวง  เป็นมอญ  เล่นซ่อนหา          ผ้าขะม้า  พันซ่อนซุก  สนุกสนาน

ใครพลาดท่า  ถูกตี  ตะลีตะลาน                             วิ่งซมซาน  วิ่งหนี้  กลับที่ตน

              ครั้งโบราณ  คนคิด  ประดิษฐ์เล่น             เอาม้วนเป็น  ลูกกลม  ดูน่าสน

แบ่งข้างผลัด  กันรับ  ไม่นับคน                              แล้วปาโดน  ฝ่ายตรงข้าม  ตามตั้งใจ




             ประโยชน์ของ  ผ้าขะม้า  มีหลายอย่าง    พวกเราต่าง  ก็รู้   ไม่สงสัย

เป็นเครื่องหมายประจำชาติ  ของชาวไทย             อยู่ต่อไป  ชั่วนิจ  นิรันดร

           ผ้าขะม้า พาเรด จะขอลา      ไว้คราวหน้า ค่อยพบ สโมสร

จำจากไป  ดวงใจ  ให้อาวรณ์       แต่ต้องจร  สู่เคหา  ขอลา เอย

                                  _______________




                                                                                                                            























                                                                                                                              Chanpa