วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ไสยศาสตร์บางครั้งก็ต้องมีจรรยาบรรณ



                        ไสยศาสตร์บางครั้งก็ต้องมีจรรยาบรรณ

เมื่อข้าพเจ้ากำลังแตกเนื้อหนุ่ม  เป็นเวลาที่ประเทศไทยกำลังเร่งระดมปลุกใจคนไทยให้รักชาติด้วยวิธีการต่าง ๆ อย่างมากมาย  สามารถนำมาเขียนได้เป็นหนังสือเล่มใหญ่ได้เล่มหนึ่งทีเดียว และพร้อม ๆ กันนั้นเอง  ได้มีข่าวว่า  กรุพระที่วัดนั้นแตกบ้าง  หรือมีหลวงพ่อวัดโน้นอาคมขลัง  กำลังสร้างพระเครื่องรางและปลุกเสกเลขยันต์ผ้าประเจียดส่วนมากของขลังเหล่านี้ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างสมัยใหม่ว่า  วัตถุมงคล คงเรียกไปตามความเป็นจริง เช่น พระที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง สร้าง ก็เรียกว่า พระสมเด็จ เพราะท่านผู้สร้างพระนั้น  ท่านเป็นพระราชาคณะขั้นสมเด็จ จะเรียกเป็นอย่างอี่นกระไรได้


นอกจากนี้ก็ยังมีพระเครื่องรางอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงมากสำหรับสมัยนั้น เช่น พระสมเด็จวัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) ซึ่ง สมเด็จพระสังฆราช สุก ญาณสังวรณ์ ทรงสร้าง  สมเด็จพระสังฆราชองค์นี้มีคุณวิเศษเป็นเลิศในทางเมตตา  จนกระทั่งไก่ป่ายังเชื่อง  จึงมีอีกพระนามหนึ่งว่า  สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน คำว่า เถื่อน หมายถึง ป่าดงพงไพร มิได้หมายถึงไก่หนีภาษีแต่อย่างใด


ที่บ้านข้าพเจ้ามีพระเครื่องรางอยู่หลายองค์  แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักแต่พระของ  ท่านพระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปานวัดบางนมโค จังหวัดอยุุธยา) จำได้ว่าเนื้อองค์พระนั้นงามมากและองค์นั้นมีส่วนหนามาก  ที่ตรงฐานพระมีรูปไก่  และอื่น ๆ ด้วย  นอกจากนั้น ยังมีวัตถุสิ่งหนึ่ง  ซึ่งผู้ใหญ่บอกว่า  เป็น  พระธาตุ พระโมคัลลา มีลักษณะเหมือนไข่นกปรอด และมีรอยร้าวทั้งองค์ มีคำอธิบายว่า  พระโมคคัลลา  นี้ ท่านถูกโจรทุบจนกระดูกแหลกยังไม่มรณภาพ  และยังมีตะกรุดดอกหนึ่ง  มีขนาดใหญ่ ผู้ใหญ่บอกว่า  ให้ผูกไว้ที่เอวเวลาจะไป (ไปไหนก็ตาม) ให้รูดตะกรุดดอกนั้นมาไว้ข้างหน้า  เวลากลับให้รูดไว้ข้างหลัง


ใกล้บ้านข้าพเจ้ามีวัดที่สำคัญหลายวัด  วัดหนึ่ง  ชื่อวัดจันทาราม  หรือชาวบ้านเรียกว่า วัดกลาง  วัดนี้เคยรื้อวิหารและพบพระเครื่องรางเนื้อชินเป็นอันมาก  ทางวัดได้แจกจ่ายให้แก่ผู้ที่ไปขอจนหมด  ข้าพเจ้าได้ไว้สองสามองค์


ต่อมา  ทางวัดราชคฤห์  หรือ  ที่ชาวบ้านเรียกว่า  วัดมอญ  ไปขุดเจดีย์องค์หนึ่ง  ซึ่งอยู่บนกำแพงแก้ววิหาร  ปรากฏว่า  มีพระโคนสมอจำนวนมาก  ขนาดเท่ากับสามนิ้ว มีปางต่าง ๆ ว่ากันว่าเป็นเจดีย์ที่บรรจุอังคารของ  ท่านพระยาพิชัยดาบหัก พระโคนสมอนี้
ขัาพเจ้าก็ได้ไว้หลายองค์เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ต่อมา ข้าพเจ้าก็ไปที่วัดอรุญราชวราราม เมื่อสัก ๒๐ ปีมานี้  มีพระภิกษุรูปหนึ่งให้พระโคนสมอเนื้อชินแก่ข้าพเจ้าองค์หนึ่ง  มีผู้เล่าว่า เป็นพระที่พบในโบสถ์เข้าใจว่าจะสร้างสมัยรัชการที่ ๓ พระบาทสสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว


สมัยนั้นพระสร้างใหม่หรือพระบวชใหม่ที่ดังมาก  ได้แก่พระวัดสามปลื้ม เพราะลือกันว่าทำด้วยกระดูกผีตายโหงป่น  เอาเข้าบ้านไม่ได้  ต้องไว้นอกบ้าน ลือกันมากนักหนา จนคนไม่อยากได้


ที่วัดราชคฤห์ (วัดมอญ) ตลาดพลู ได้มีพระภิกษุสงฆ์ มาลงกระหม่อมให้คนที่เลื่อมใสศรัทธาทั่วไป  และมีเสื้อยันต์แดงของหลวงพ่อจาด ไว้แจกด้วย มีหลวงพ่ออีกองค์หนึ่งที่มีคนเคารพนับถือมาก  คือ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ท่านเชี่ยวชาญวิชาไสยศาสตร์ชั้นสูง


มีของขลังอีกหลายอย่าง  ได้แก่ตะกรุดสาริกา  สำหรับทำให้ผู้หญิงหลงรัก  และคาถาผสมเนตร  คาถาเทพรัญจวน  ตลอดจนคาถาเสกน้ำให้ผู้หญิงดื่มแล้วรักเรา  คาถาบางบทเป็นเรื่องของนักผจญภัยหรือนักเลง  เป็นคาถาอยู่ยงคงกระพันชาตรี  แต่มีหลายประเภทประเภทที่หนึ่ง  อยู่ปืน คือ ปืนยิงไม่ออก  ประเภทหนึ่ง อยู่มีด คือ มีดฟันไม่เข้า ประเภทหนึ่ง อยู่ไม้ คือ  ไม้ตะพดตีไม่แตก  ซึ่งเป็นเรื่องชอบกล  แต่อยู่ปืน หรือปืนยิงไม่ออกข้าพเจ้าไม่เคยเห็น  เห็นแต่คาถาเสกใบพลูกินแล้ว  ใช้มีดโกนเฉือนก็ยังไม่เข้า  และท่านผู้หนึ่งได้ใช้เหล็กหมายแทงเนื้อของท่าน  ก็ไม่เข้าเหมือนกัน  แต่กระดานที่รองเนื้อท่อนแขนของท่านเป็นรอย  รุ่งขึ้นเห็นเนื้อที่ถูกแทงนั้นบวม


เรื่องคาถานี้แปลกมาก  เคยมีชายหนุ่มคนหนึ่ง  เขาหนังเหนียวแทงไม่เข้า  ถามเขาว่ามีของดีอะไร  เขาบอกว่าไม่มี  แต่มีคาถาบทหนึ่ง  ถามว่าบอกได้ไหม  เขาตอบว่าได้ ก็คือ
นะ มะ พะ ทะ เรานี่เอง แต่ท่องกลับไปกลับมา  เขาไม่ได้บอกว่ากลับอย่างไร  เช่นเดียวกับคาถา มหาละลวย  นั้น  ทราบกันว่า คือ นะ โม พุท ธา ยะ แต่กลับ  การที่จะกลับอย่างไรนั้น  ต้องมีครู - อาจารย์ถ่ายทอด


มีอนุสาสนาจารย์ท่านหนึ่ง  เป็นนายทหารยศสูง  เคยเล่าให้ฟังว่า  เมื่อท่านเป็นสามเณร ท่านชอบเล่นไสยศาสตร์  วันหนึ่ง อาจารย์ (สมภาร) ของท่านไปธุระ  กลับมาเข้ากุฏิไม่ได้ เพราะลืมลูกกุญแจได้พูดกับท่านว่า  "เณร เขาว่าขลังหรือ  ช่วยเสดาะประแจหน่อยเถิด" (คำว่าประแจก็คือ  กุญแจนั่นเอง  แต่สมัยก่อนเรียกเพี้ยนไป เป็นประแจ  อย่าง
ตลาลประแจจีน  เป็นต้น  ถ้าใครไป  บอกว่าจะไปตลาดกุญแจจีนก็คงจะนึกกันนานหน่อย)


ท่าน (อนุสาสนาจารย์ทหารผู้นั้น) จึงไปนั่งภาวนาคาถาเสดาะ ครู่หนึ่งประแจก็หลุดออก ได้กราบเรียนถามท่านว่า  กุญแจแบบไหน  ท่านบอกว่ากุญแจจีน  เรียนถามว่า  แล้วอาจารย์ของท่านว่าอย่างไรบ้าง  ท่านบอกว่า  อาจารย์ก็ทำกุญแจนั้นชักเข้า ๆ ออก ๆ  แล้วบอกว่าก็ชอบกล 


ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนท่านว่า  เมื่อยังเด็ก ๆ มีผู้สอนคาถาเสดาะให้บทหนึ่ง เป็นคาถา ๓ คำ  ท่านบอกว่าถูกแล้ว  แต่ต้องกลับให้เป็นจึงจะได้ผล  คาถาบทนั้น คือ อะ ระ หัง 


ครั้งหนึ่ง  พระภิกษุผู้ใหญ่รูปหนึ่ง  เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม  เพิ่งมรณภาพไปเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง  ให้พระแก่ข้าพเจ้าองค์หนึ่ง  มีจารึกว่า   พุ  ธะ  สัง  มังคลัง  โลเก  และท่านแนะวิธีการใช้คาถาบทนั้นให้สัมฤทธิ์ผล  แต่ท่านได้เล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้าจำได้เพียงบางตอนคือ


มีหมาจิ้งจอกตัวหนึ่ง  ตั้งตัวเป็นเจ้าของบรรดาสัตว์ป่าทั้งปวง  วันหนึ่ง ได้ยกกองทัพสัตว์ป่าไปล้อมเมืองไว้  และยื่นคำขาดจะเป็นเจ้าเมือง  ให้ราษฎรในเมื่องนั้นยอมแพ้  หมาจิ้งจอกนั้นจะตั้งตัวเองเป็นเจ้าแก่มนุษย์ทั้งหลายในเมืองนั้น  ถ้ามนุษย์ในเมืองไม่ยอมแพ้โดยดี  หมาจิ้งจอกจะสั่งให้ราชสีห์ และช้างตลอดจนสัตว์ทั้งหลายนั้นร้องพร้อม ๆ กัน ชาวเมืองจะต้องแก้วหูแตกตายหมด  มนุษย์จึงแนะนำกันให้เอาดินอุดหูให้แน่น  และเตรียมมีดเตรียมเกลือไว้มากมาย  ครั้นถึงวันกำหนดยื่นคำขาดแล้วมนุษย์ก็ยังไม่เปิดประตูเมืองออกไปอ่อนน้อม  หมาจิ้งจอกจึงมีความโกรธ  จึงสั่งให้สัตว์ทั้งหลายอันเป็นบริวารเปล่งเสียงออกมาพร้อม ๆ กััน  และหมาจิ้งจอกก็หูแตกตาย ส่วนสัตว์ทั้งหลายก็ล้มตายอยู่มากมาย  ที่ไม่ตายก็หนีเตลิดเปิดเปิงไป  ชาวเมืองจึงออกมาแลเนื้อสัตว์ที่กินได้ไปทำเนื้อเค็มไว้กิน


ท่านเล่าเรื่องนี้พร้อมกับให้พระเครื่องรางแก่ขัาพเจัา  แต่ข้าพเจ้าก็นึกไม่ออกว่าท่านหมายความว่าจะเตือนสติข้าพเจ้าว่ากระไรบ้าง


เมื่อยังเด็ก  มีชายคนหนึ่ง  แกอยู่คนเดียวบนเรือนกลางสวน รับประทานแต่ผลฝรั่งเป็นอาหาร  บางทีก็มีคนรองน้ำตาลสดไปให้แก  บางทีก็นำส้มสูลูกไม้อื่น ๆ ไปให้ด้วย  สวนนั้นเป็นของแกแต่รกมาก  เพราะแกทิ้งไว้ไม่ได้ทำเอง  และไม่ให้ใครถือ (ถือสวนหมายความว่าเช่าสวน) แกบอกว่า  ต้นกล้วยนั้นทำให้ตายได้โดยไม่ต้องตัด  แล้วแกก็ยกกระถางธูปหน้าที่บูชาพระมาตั้งที่ขอบหน้าต่าง  เอาก้านธูปออก  เหลือแต่ขี้ธูปทั้งสิ้น แกบอกให้คอยดูพอลมพัดไปทางต้นกล้วย  แกก็เป่าขี้ธูปนั้น  ข้าพเจ้าได้เห็นด้วยตาว่า  ขี้ธูปเข้าไปในลำต้นกล้วยจริง ๆ รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง  กล้วยต้นนั้นก็มีลักษณะสีแดง ๆ แล้วเน่าและตาย


แกบอกว่า  ถ้าเป่าไปทางบ้านคนซึ่งไม่อยู่ห่างกันมากนัก  สักราว ๆ หนึ่งเสาไฟฟ้า คนในบ้านจะป่วยนานเป็นเดือน ๆ มีคนเขาทดลองแล้วเป็นความจริง  คือมีบังกะโลชายทะเลสองหลังตั้งอยู่ไมห่างกันนัก  หลังที่อยู่ห่างจากทะเล  มีชายคนหนึ่งท่าทางพิลึกมาพักอยู่ และทำกิริยาแอบมองชายคนที่อยู่บังกะโลหลังที่อยู่ติดทะเล  วันหนึ่งเวลาบ่าย ๆ  ชายคนนั้นขึ้นบังกะโลไปแล้ว  ชายคนที่อยู่ริมทะเลก็ภาวนาคาถาเป่าขี้ธูปไปที่ชายคนนั้น  ชายคนนั้นก็ป่วยอยู่เดือนเศษโดยไมทราบว่าเป็นอะไร


เคยเห็นชายคนหนึ่ง  แกกำลังใช้ดินสอชนิด ๔ บี (บีบีบีบี) ซึ่งเส้นดำมาก  วาดรูปลงบนแผ่นกระดาษ  เป็นรูปหน้าคนด้านข้าง  แต่ศรีษะนั้นเปิด  ไม่มีผม  แต่ไม่ใช่หัวล้าน  เปิดกระโหลกศรีษะ เห็นมันสมอง  มีหมาตัวหนึ่งทำถ้ากินมันสมองนั้น  ถามว่าเล่นอะไร เขาบอกว่าทำ  "หมากินความคิด"  เขาได้อธิบายสรรพคุณให้ฟังหลายอย่าง ต่อมาอีกหลายสิบปี  จึงทราบว่าวิชานี้มีจริง  แต่เขาช่วยเหลือผู้ที่ถูกกล่าวให้พ้นจากความผิด


เขาว่ากันว่า  สมัยนี้  คาถาอาคมเสื่อมลงไปมากจนแทบจะไม่ขลังเสียแล้ว  คนที่จะเกี้ยวผู้หญิง  ไม่ต้องใช้คาถา  ไม่ต้องตะกรุดสาริกา  และไม่ต้องใช้ผ้ายันต์  ใช้แต่ธนบัตรก็เป็นเสน่ห์มหานิยมถมไป เผลอ ๆ ฝ่ายหญิงเองกำเป็นฝ่ายที่ต้องกระทำำต่อฝ่ายชายก็มาก
คาถาอาคมก็ค่อย ๆ หายไปเอง


ในการเล่นเครื่องรางของขลังนั้น  โบราณมีข้อห้ามมาก  เช่น ห้ามกิน ฟัก แฟง แตง น้ำเต้า  มีคำอธิบาย  แต่ไม่ขออธิบาย มะเฟืองก็ดูเหมือนจะห้ามด้วย  ห้ามลอดไม้ค้ำเรือน ห้ามถ่มหรือบ้วนน้ำลายลงไปที่อุจจาระ และที่สำคัญ  ก็คือ ห้ามด่าแม่  การห้ามด่าแม่นี้  ไม่ได้หมายความว่าห้ามด่าว่ามารดาของตน  แต่ห้ามใช้คำหยาบคายด่าคนอื่น ด้วยคำสองคำ สองพยางค์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี  ใครด่าคนด้วยคำสองคำนี้ คาถาเสื่อมหมดใช้ไม่ได้  คนที่มีของขลังแล้วไม่ศักดิ์สิทธิ์  เพราะไม่รักษาตัวให้เหมาะสม  อีกประการหนึ่ง  การมุดเข้าไปใต้ถุนเรือนหรือใต้ถุนร้านเตี้ย ๆ  อาคมก็เสื่อม


เมื่อยังเด็ก ๆ มีท่านคนหนึ่งถามว่า เชื่อไหมว่า เราจะเสกดอกจำปาให้เป็นให้เป็นแมลงภูก็ได้  ตอบว่า  ไม่เชื่อ  ท่านจึงเอาดอกจำปาที่มีอยู่แล้ว  และซึ่งยังสด ๆ อยู่ ใส่ลงในบาตร  แล้วเปิดฝาบาตรนั่งหลับตาบริกรรมอยู่ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้นเอง  ท่านก็บอกว่า เป็นแล้ว...เป็นแล้ว  ข้าพเจ้าบอกว่าขอให้เปิดฝาบาตร  ท่านบอกว่าเปิดไม่ได้ เพราะเดี๋ยวบินไปต่อยถูกใครเข้า เขาจะมาหลงรักเราแล้วแก้ยาก  แต่ได้ให้ก้มลงเอาหูแนบกับบาตร  ก็ได้ยินเสียงแมลงภู่หรือผึงตัวโต ๆ ดังอยู่ข้างในเป็นเสียงหึ่ง ๆ สักครู่หนึ่งก็เงียบ  พอเปิดฝาบาตร ก็เป็นดอกจำปาอย่างเก่า  ถ้าเป็นสมัียนี้คงเข้าใจว่าท่านเอาเทปซ่อนไว้ในบาตร


ผู้ที่จะมีโอกาสได้รำ่เรียนวิชาไสยศาสตร์ที่สำคัญนั้น  จะต้องมีสัจจะข้อใดข้อหนึ่งเป็นการแน่วแน่ และซื่อตรงต่อสัจจะข้อนั้นอย่างไม่มีวันแปรปรวน เช่น การเสกเป่าอะไรให้กินแล้วเหนียวยิงฟันไม่เข้านั้น  ให้ทำได้เฉพาะเวลาอันหนึ่ง  เท่านั้น คือชั่วหนึ่งวันหรือชั่วอาทิตย์ขึ้นวันหนึ่งไปถึงรุ่งอีกวันหนึ่ง  เป็นอันหมดฤทธิ์ ต้องทำใหม่  บางคนก็ทำได้เพียง ชั่วเบา หมายความว่าเมื่อปัสสาวะแล้วก็หมดฤทธิ์ โดยมากเป็นพวกว่าน  สมัยก่อนบางคนสักตามตัวเป็นสัตว์ต่าง ๆ แต่ข้าพเจ้าเคยเห็นท่านผู้หนึ่งสักไว้ที่โคนขา  เป็นรูปสิงห์สาราสัตว์  ส่วนมากคงเป็นสิงห์แต่มีหลายตัว  เป็นรูป ๔ เหลี่ยมผืนผ้าเป็นแบบยันต์ เขาว่าท่านหนังเหนียวขนาดมีดโกนเฉือนไม่เข้าเหมือนกัน แต่อันนี้ไม่เคยเห็นเอง เพื่อนเล่าให้ฟัง  ครั้นไปถามท่านก็ไม่บอก


ในนิยายเรื่องขุนช้างขุนแผน  ปรากฏว่าเต็มไปด้วยวิชาไสยศาสตร์  ขุนแผนเรียนรู้ตั้งแต่เป็นเณรแก้ว  และในการเรียนกับอาจารย์องค์หนึ่ง คือ ท่าน สมภาร มี วัดป่าเลไลย์ ท่านองค์นี้เป็นเพื่อนกับท่าน ขุนไกร พ่อของพลายแก้วหรือเณรแก้ว  ท่านได้สอนคาถาให้มาก  แต่ท่านพิจารณานิสัยเณรแก้วแล้วเห็นว่า  ออกจะหนักไปในทางเจ้าชู้  ท่านจึงสอนว่า  แม้ว่าจะเรียนวิชาการทหารแต่ก็เรียนเรื่องผู้หญิง  ด้วย ดังนี้


อยู่ยงคงกระพันล่องหน

ภาพยนตร์ผูกใช้ให้ต่อสู้ (ผูกหุ่น)

รักทั้งเรียนเสกเป่าเป็นเจ้าชู้

ผูกจิตผู้หญิงอยู่ไม่เสื่อมคลาย

ท่านขรัวหัวร่อว่าออแก้ว

เรื่องเจ้าชู้รู้แล้วต้องมั่นหมาย

เมียของเขาเจ้าอย่าได้ทำร้าย

สาวแก่แม่ม่ายเอาเถิดวา ฯลฯ


วิชาเสน่ห์ผูกจิตใจผู้หญิงนั้น  ถ้าเรียนให้ได้ผล ต้องไม่ทำชู้กับเมียคนอื่น จึงจะไม่เสื่อม ส่วนผู้หญิงสาว ผู้หญิงแก่ หรือผู้หญิงสาวแก่ ตลอดจนแม่ม่ายท่านมิได้ห้าม




                         Sampan ________________________________ Chanpa
 

 





วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แผนปฏิบัติการโหด " กัดมันดู "



                       แผนปฏิบัติการโหด  " กัดมันดู "


ณ   ริมขอบเหวเชิงภูเขาลูกหนึ่ง  ชายหนุ่มกับหญิงสาวนั่งอยู่ด้วยกัน  ขณะนั้นจะว่าเป็นเวลาเป็นเวลาไหนไม่ค่อยแน่  เพราะคนทั้งสองไม่ได้ผูกนาฬิกาข้อมือไปด้วย  แต่เขาทั้งสองก็คงจะคิดถึงเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  หรือบางทีก็ไม่คิดเสียเลยทีเดียว  เพราะเวลาย่อมไม่มีความหมายสำหรับหนุ่มสาวที่เพิ่งรักกันใหม่ ๆ  ซึ่งถ้าใครจะพยายามไปอธิบายว่า  โลกหมุนได้ก็คงไม่ฟังเสียงหรือจะไปบอกว่า  คนเรานั้นความรักจะมีความสำคัญอยู่ได้ไม่กี่วันหรอก  หลังจากแต่งงานกันแล้วไม่นาน  แทนที่สามีจะถามภริยาว่าเธอจ๋่ารักฉันไหม  เขากลับตะคอกว่า  นี่หล่อนเลิกพูดเรื่องเงินเดือนของฉันเสียทีได้ไหม


"เจติยา..."  ชายหนุ่มขานชื่อหญิงสาวเบา ๆ  แต่ก็คงจได้ยินไปถึงริมแม่น้ำพรหมบุตร เพราะที่ืนั่นเงียบเหลือเกิน


"ขา..." หญิงสาวขานรับ  "คุณเรียกดิฉันทำไมหรือคะ.....รามเกียรติ์"

ชายหนุ่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงกล้าพูดออกมาว่า


"หัวหน้าของผมกำลังคิดจะส่งผมเดินทางไปดินแดนแห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเพื่อเป็นภารกิจลับอย่างหนึ่ง"


"ดินแดนอะไรคะ  รามเกียรติ์....ไกลจากที่นี่เพียงไร...และพวกเขามีความเป็นอยู่กันอย่างไร...เลี้ยงวัวกันหรือไม่"


รามเกียรติ์ "โถ  เจติา...ช่างถามได้  คนที่นั่นอาจจะเลี้ยงวัว  แต่เลี้ยงไว้กินเป็นส่วนมาก  พวกเขากินทุกอย่างแม้แต่พญานาค....ถ้าหากว่าเขาสามารถจับมาได้  แต่เมื่อยังจับไม่ได้พวกเขาก็กินงูไปพลาง ๆ "


"ประเทศอะไรกันนะคะช่างมหัศจรรย์เสียจริง ๆ "  นางสาวเจติยารำพึงเบา ๆ เหมือนลมกระทบปุยเมฆที่เกลื่อนไปทั้งท้องฟ้าสีครามลงผ้า


"ประเทศไทย...ดินแดนของรอยยิ้ม"  รามเกียรติ์พยายามอธิบาย

"คนไทยยิ้มง่ายหรือคะ  รามเกียรติ์" หล่อนฉะอ้อนถาม

"อ๋อง่าย...ง่ายที่สุด....พวกเขาอารมณ์ดีมาก ๆ ประเทศของเขาไม่มีภูเขาไฟระเบิด ไม่มีแผ่นดินไหว ถึงไหวบ้างพวกเขาก็ไม่รู้สึก  ไม่มีโรคระบาด มีแต่สามสิบบาทรักษาทุกโรค ไม่มีใครอดตายมีแต่กินจนตาย  ถ้าคุณไปที่ธนาคารเพื่อขอแลกเงินหรือเบิกเงิน...แล้วพนักงานเขาขานชื่อคุณว่า คุณเจดีย์....คนเหล่านั้นจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตาม ๆ กันเพราะเห็นว่าชื่อของคุณเป็นชื่อที่น่าขบขันสำหรับพวกเขา....แต่ถ้าผมถูกเรียกชื่อดัง ๆ ว่า  มิสเตอร์รามเกียรติ์....คนอย่างน้อยสองสามคนจะปล่อยก๊ากออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย   และเงียบหายไปเหมือนตอนที่หัวเราะออกมานั่นแหละ..."



"เขาขันแม้แต่ชื่ออันเกรียงไกรอย่างคุณหรือคะ....รามเกียรติ์" หล่อนถาม

"เขาเพียงแต่มีอารมณ์รื่นเริงเท่านั้น....เป็นชนชาติที่บริสุทธิ์ที่สุด  สะอาด  อนามัยดี  พวกเขาพร้อมที่จะติดโรคเอดส์  และเป็นโรคเอดส์อย่างเต็มที่  อันที่จริงจะว่าเขาเป็นกันอยู่แล้วก็ยังได้  แต่ถ้าฉันเกิดไปติดโรคเอดส์ที่านั่น  ฉันจะไม่มีวันกล้ากลับมาหาเธอเป็นอันขาด  เจติยา....."  


"แต่ฉันก็รักเธอและพร้อมที่จะแต่งงานกับเธอ  ไม่ว่าเธอจะัเป็นโรคเอดส์หรือโรคคุดทะราดก็ตาม..
คนเราควรมีรักได้ครั้งเดียวในชีวิต (ไม่เป็นทางการเกิดจากการสุ่มบนภูเขาหิมาลัย) พระรามทรงมีสีดาแต่เพียงองค์เดียวฉันใด....ผู้ชายก็ไม่ควรมีภริยามากกว่าหนึ่งคนฉันนั้น...ยกเว้นสามารถแบ่งภาคได้"


ในห้องทำงานของมิสเตอร์รามคาน  มีโต๊ะขนาดใหญ่   สวยงามมาก  ว่ากันว่าทำด้วยไม้ใหญ่ที่ได้มาจากหิมพานต์  ลายไม้นั้นมองดูเล่นได้ทั้งวัน  เพราะจะเหมือนมีภาพน้ำตก...ภาพก้อนเมฆ...ภาพลิงรบกับยักษ์....ภาพเมขลากับรามสูร  และในที่สุด  แม้แต่ภาพการประกวดธิดาต่าง ๆ  ก็อาจจะปรากฏในลายไม้นั้นได้ถ้าจะดูกันให้ดีและมีอารมณ์ร่วมอันสุนทรีย์พอสมควร  เบื่องหลังของเขาเป็นฝาผนัง  มีแผนที่โลกขนาดใหญ่  แต่สามารถใช้วิธีกดปุ่มเพื่อเปลี่ยนแผนที่เป็นประเทศไทยที่ละเอียดที่สุด  แม้แต่เจ้ากรมแผนที่ถ้าได้ไปเห็นเข้าก็คงอดโมโหไม่ได้  


"คุณรามเกียรติ์...."  มิสเตอร์รามคานพูดด้วยเสียงดัง  หนักแน่น และแฝงไปด้วยอำนาจเร้นลับ

"ที่ผมเชิญคณมาวันนี้  ผมจะมีคำถามสำหรับคุณเพียงสองข้อเท่านั้น  ข้อที่ ๑ คุุณรู้จักกรุงเทพเมืองฟ้าอมรหรือไม่  และข้อที่ ๒ ไม่ว่าคุณจะรู้จักดีหรือไม่รู้จักเลยก็ตาม  คุณยินดีที่จะไปที่นั่นไหมถ้าผมจำเป็นต้องส่งคุณไป..."


รามเกียรติ์ก้มหน้าดูพรมที่ปูพื้นห้อง  ซึ่งเป็นรูปพระฤาษีกำลังผ่าท้องแพะ  และพยายามบรรจุเด็กคนหนึ่งเข้าไปหรือพยายามจะนำเด็กออกมาก็ยากที่จะเดาได้  ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นพูดด้วยเสียงอ่อนเพลียละเหี่ยใจว่า


"ผมไม่มีทางเลือกเลยหรือครับบอส....ในเมื่อคนทั้งแผนก ๒ นี่บอสเจาะจงเลือกผมคนเดียวเท่านั้น..ไม่มีคนอื่นเลยหรือ...ผมเองก็ไม่อยากจะพูดออกมาหรอกว่า  บอสประสงค์ที่จะให้ผมห่างจากมาดาม มาดมัวแซล เจติยา...น้องสาวของบอสเท่านั้นเอง"


"คุณรามเกียรติ์...เจติยาน้องสาวผมน่ะอายุยังไม่ถึง ๑๓  ขวบนะคุณ..ดูตาม้าตาเรือบ้างซิคนเรา...อย่าให้เข้าตำราที่ว่า  ความรักทำให้คนมืดมน..."


"ภารกิจของผมคืออะไรและมีกำหนดเวลานานสักเท่าไร...รามเกียรติ์ถามอย่างสิ้นหวังในการต่อรองใด ๆ ที่จะไม่ต้องไปจากบ้านของเขา  เขารักและคิดถึงเจนติยามาก  แต่ก็พยายามนึกว่าถ้าเขากลับมาอีกครั้งหนึ่ง  เธออาจจะเป็นสาวมากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ก็ได้ และเมื่อถึงตอนนั้นแล้วสมาคมผู้พิทักษ์สิทธสตรีจะกระโดดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างเต็มที่ถ้าหากพี่ชายของเธอขัดขวางการแต่งงานของเรา


รามคาน  "ไม่นานเลย...เราทราบมาว่า  มาดาม ปูดองม็องดูซ์ญ่า...กำลังพยายามเข้าไปมีบทบาท
เกี่ยวกับการกู้เงิน ๒. สอง ล้าน ๆ บา ของประเทศตัวเองแล้วเอาไปขุดคลองเชื่อมระหว่างทะเลอันดามันกับอ่าวไทย...ซึ่งถ้าการขุดคลองนั้นสำเร็จ อ่าวมะตะบันทั้งหมดจะกลายเป็นแผ่นดิน...ไม่มีน้ำ ไม่เป็นทะเลอีกต่อไป...ภารกิจของคุณคือขัดขวาง ปูดองม็องดูซ์ญ่า  มิให้เขาประมูลการขุดคลองนั้นสำเร็จเท่านั้น..."


รามเกียรติ์  "ผมจะไปทำอะไรได้สักกี่มากน้อยในเมื่อเรื่องนี้มี มาดามปูดองม็องดูซ์ญ่า  เกี่ยวข้องอยู่ด้วยทั้งคน....ผมเชื่อว่าบอสก็ต้องทราบดีว่าแกเป็นคนขนาดไหน"


"พูดเป็นบ้าไปได้  ผมจะรู้ได้อย่างไรว่ายายแม่เสือนี่น่ะขนาดไหน แต่อย่างไรผมคิดว่าคุณเอาอยู่
....คนอื่น ๆ เกือบทั้งกรมอาจจะรู้เท่า ๆ กับที่ผมไม่รู้...ไม่ว่าจะเอาตัวผมไปสาบานที่หน้าวัตถุโสด
หรือทีมหาเจดีย์ชะเวดากองก็ตาม...แต่ถึงอย่างไรคุณก็ต้องไปกรุงเทพฯ  แม้ว่าไปแล้วจะไปติดเชื้อเอดส์ก็ต้องไป...."


"มีเอเย่นต์ของเราอยู่ในกรุงเทพฯหรือ..." รามเกียรติ์ถาม

"ไม่ต้องวิตก...เมื่อไปถึงท่าอากาศยานหนองงูเห่า  ท่าอากาศยานดอนเมืองตอนนี้น้ำท่วมเครื่องบินไม่สามารถบินลงได้ คุณจะพบกับเง็ก แล้วเง็กจะบอกคุณเอง"


"เหวย.."รามเกียรติ์ครางเบา ๆ "เง็กคืออะไร...คงไม่ได้หมายถึงหมาพันธุ์ไทยนะครับ นี่ผมจะไปพบสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ไม่ปรากฏในทำเนียบสิ่งมหัศจรรย์หรืออย่างไร...ถ้าเง็กเป็นชื่อคน...ผมควรรู้ว่ามีความหมายว่าอย่างไร"


"เตี่ยของเง็กอาจจะอธิบายได้...."รามคานอธิบาย

" เตี่ย .." รามเกียรติ์ร้องเหมือนถูกแทงด้วยตรีศูลตรงลิ้นปี่พอดี

"แปลว่าอะไรอีกล่ะทีนี้...มีศัพท์แสงใหม่ ๆ มากเหลือเกิน  หัวหน้าอย่าบอกผมนะว่า  คำว่าเตี่ยแปลว่าเมีย...."


รามคานบอสใหญ่ที่สุดของตำรวจลับของแค้วนไกรลาสปุระ  ให้โอวาทปฏิบัติการแก่ลูกน้องของเขาว่า  "หัวใจของเราคือ  เราต้องทำตามมหาสัจจา  คือ ถ้าเมื่อไรเราสงสัยว่าใครจะเป็นศัตรู เมื่อนั้น  เราต้องทำให้รู้ด้วยการ " กัดมันดู "


" กัดมันดู  "  รามเกียรติ์พูดเบา ๆ อย่างเคร่งเครียด...เขาขบฟันแน่นหลังจากพูดแล้ว ถูกละ "กัดมันดู" เป็นประหนึ่งมนต์ขลังหรือเทวโองการ  เป็นหลักชัยในการต่อสู้ของเราตลอดมา...เพราะถ้าเราไม่ "กัดมันดู" เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันกำลังจ้องจะ "กัดเราอยู่"เหมือนกัน


"อย่าลืมสัญญาณพวกเมื่อพบคนที่คุณสงสัยว่าจะเป็นคุณเง็กเพื่อนชาวไทยของเ้ราและพยายาม
อย่าให้ยายแร้งทึ้ง ปูดองม็องดูซ์ญ่า เห็นคุณได้เป็นประเสริฐที่สุด" เขาสั่งเสียรามเกียรติ์ก่อนขึ้นเครื่องบิน โดยสายการบิน "ดีฮ์ แมร์ปือร์ แอร์ไลน์"

เมื่อมาถึงสนามบิน หนองงูเห่า เขายืนอยู่ชั่วอึดใจเดียว มีชายรูปร่างผอม ๆ ผูกเน็คไท แต่ไม่สวมเสื้อนอก เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ แล้วพูดเบา ๆ พอได้ยินว่า

" อีล์กาฮ์ ฏีปูร์ณาฮ์...." ชายคนนั้นพูดเร็วปรื๋อ   รามเกียรติ์สูดลมหายใจเต็มปอด  โชคดีมาถึงแล้ว  เขาไม่ต้องไปค้างตามโรงแรมที่ชุกชุมไปด้วยเชื้อโรคเอดส์ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศทั่ว ๆไป จนกล่าวกันว่า  เชื้อเอดส์ในเมื่องไทยนั้นติดกันได้เหมื่อนหวัด เขาละล่ำละลักตอบไปเป็นรหัเช่นเดียวกัน ว่า


"งูฮ์  ดูซ์อีล์กาฮ์...สวัสดีครับ...ผมรามเกียรติ์ครับ...ยินดีที่ได้พบ

" ผมเง็กครับ "  เขาตอบแล้วหัวร่อก๊ากอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น  แต่ก็หยุดได้ทันทีเหมือนกัน "เราจะออกเดินทางกันเลย ผมไม่ได้เอารถมาด้วย  แท็กซี่เหมาะที่สุดสำหรับบุรุษลึกลับอย่างพวกคุณ....เราจะไปที่บ้านผม...ที่วัดใหม่ตานุ้ย.."


"ตายแล้ว....เป็นชื่ออะไรกัน...เกิดมา่ไม่เคยคิดว่าจะมีชื่ออย่างนี้...ที่นั่นมีหนุมานหรือเปล่า...ผมชักกลัวเสียแล้ว

"หนุมานไม่มีหรอก  มีแต่พระยาอนุมานราชธน " งงเข้าไปใหญ่กูไม่น่ามาเลย

รามเกียรติ์พำนักอยู่ที่บ้านของเง็กตลอดคืนด้วยความสุขสบาย เขาไม่รู้จักยุง และแมลงสาบแต่เขาก็พอใจบรรยากาศของเมืองไทย เขาคิดว่าประเทศไทยมีพลเมืองเพียง ๖ ล้านคน เท่ากับประเทศของเขาสิ่งที่เขาต้องรีบทำก็คือ  พยายามจัดการกับ    ปูดองม็องดูซ์ญ่า ให้สำเร็จ


รุ่งขึ้นเวลาประมาณบ่าย ๓ โมง  ขณะที่เง็กและรามเกียรติ์กำลังดืมกันอย่างมีความสุข เตี่ยของเง็กกำลังทำหมูกรอบอย่างกระฉับกระเฉง อยู่ในดงกระถินข้างบ้าน เขาเริ่มกินกันมาตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว  รามเกียรติ์บอกว่า   เครื่องดืมของคนไทยมีคุณภาพน่าอัศจรรย์มาก รสและกลิ่นวิเศษที่สุดเขาอธิบายให้เง็กฟังว่า  พลเมืองของเขาทุกคนเวลาหาภรรยาจะเลือกสตรีทั้งหอมและอร่อย  


เง็กมองด้วยความสงสัยแต่มีรอยิ้มอยู่ในหน้า  เขาเป็นคนอารมณ์ดี   กินสุราแบบจิบช้า ๆ เขาบอกรามเกียรติ์ว่า  ตระกูลของเขาสืบเนื่องลงมาจากขงเบ้ง ซึ่งรามเกียรติ์อดที่จะถามไม่ได้ว่าหมายถึงดาวดวงไหนกันแน่


ทันใดนั้น  รามเกียรติ์รู้สึกว่า  เหมือนมีใครมาเชิดสิงโตอยู่หน้าบ้านของเง็ก  เขาถามว่า"ตรุษจีนแล้วหรือ..."  


แต่ไม่ทันที่เง็กจะตอบ  สิ่งที่ละม้ายสิงโตตรุษจีนก็ก้าวฉับ ๆ เข้ามา และยืนอย่างผงาดพร้อมกับพูดเป็นภาษาไทยอย่างฉาดฉานว่า


"ดิฉันมาขอพบคุณเง็กและคุณรามเกียรติ์"

ผู้ชายทั้งสองลุกขึ้นขานชื่อตนเองเกือบพร้อมกัน  มาดาม    ปูดองม็องดูซ์ญ่า  คือสิงโตตััวนั้นเอง เธอบอกชื่อของเธอแก่คนทั้งสอง  แล้วผสมสุราดืมเองอย่างคล่องแคล่ว แล้วทุกคนก็กินกันอย่างสนุกสนาน เง็กร้องเพลงรำวง  เตี่ยของเขาร้องเพลงที่ไม่มีใครเคยได้ยิน  สักพักหนึ่งมีชายผอม ๆ สูง ๆ หน้ายาว ๆ แต่งกายคล้ายพนักงานสูบฯ หอบแฟ้มเดินเข้ามา  และขอให้รามเกียรติ์ลงนามไว้ในนั้นกับปูดองม็องดูซ์ญ่า นอกจากนั้นเง็กกับเพื่อนบ้านของเขาก็ลงนามด้วย ทุกคนส่งเสียงร้องไชโยกันดังลั่น


" ช่างเป็นงานสมรสที่เบิกบานนี่กระไร..." เง็กบอก  ขอให้คุณทั้งสองจงดืมน้ำผึ้งพระจันทร์กันให้เต็มคราบเถิด...."


"รูฮ์ ปูอ์ มีฮ์ ดีฮ์ ดูฮ์..." รามเกียรติ์ร้องออกมาด้วยเสียงอ้อแอ้เพราะเมามากแล้ว

"รูฮ์ งูฮ์ มีร์ ปูรน..."มาดาม ปูดองม็องดูซ์ญ่าร้องเสียงแจ๋ว  แม่เสืออายุใกล้ ๕๐ ปี ได้สมรสกับชายหนุ่มรามเกียรติ์อายุ ๒๕ ปี หล่อนเชื่อว่าจะดูแลเขาให้อยู่กับร่องกับรอยได้  ภายใต้การทำงานที่สถานฑูตของพวกเขา


รุ่งขึ้นเมื่อรามเกียรติ์สร่างเมา  เขาได้รับวิทยุโทรเลขมีข้อความว่า  "ขอแสดงความยินดีที่มีการแต่งงานระหว่างคุณกับมาดามปูดองม็องดูซ์ญ่า  ผมต้องดำเนินการให้กับคุณแต่งงานกับเธอแบบนี้ เพราะไม่สามารถทนเห็นคุณแต่งงานกับน้องสาวที่ไร้เดียงสาของผมได้  หล่อนนั่นแหละที่เหมาะสมกับคุณ ฮิ...ฮิ"


ราเกียรติ์โทรเลขไปเป็นรหัส "ฤ ซํ ฯฑณธไฒ๋ฒ๊ฆฯฌโีีีีี  ญ ซฑ ํฐแผ่ "


เมื่อรามคานหัวหน้าของเขาใช้เวลาถอดรหัสอยู่สองวันครึ่ง เขาก็หัวเราะงอหายเพราะมีความว่า


"วันโกนไม่มีหนเดียวหรอกบอส ผับแผ่" 



  

                         _____________________________________