วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เก็บมาเล่า แล้วเอามาคิด



                               เก็บมาเล่าแล้วเอามาคิดก่อนที่ชีวิตจะหมดไป
อคติพจน์ชาติหน้า (ไม่รู้ว่าจะมีจริงหรือเปล่า )

"....ถ้าโลกใบนี้ลดแรงดึงดูดเท่ากับดวงจันทร์....ทฤษฏีต่าง ๆ ที่เราคิดกันมาจนหัวจะผุจะพังก็คงใช้ไม่ได้..เพราะแม้แต่ปลูกผักยังต้องหาที่ยึดหรือกระทั่งดืมน้ำก็ยังต้องไล่งับ...จริงไหม.."

......





                      

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559


                                      .....อ่านมาอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น....



กตัญญูู



.....พระพุทธเจ้า ตรัสเป็นพุทธวจนะว่า...."....ภูมิเว สัปปุริสานัง กตัญญูู กตเวทิตา.."อันหมายความว่า...ความกตัญญูเป็นพื้นฐานของคนดี....

.....โดยธรรมชาติ  คนเราล้วนเป็นหนี้บุญคุญคนอื่นทั้งสิ้น   ใครที่ประกาศตนว่า..ได้ดีเพราะอาศัยผลแห่งการต่อสู้ด้วยตนเองไม่เกี่ยวข้องกับใครเลยถือว่า...โกหก  หรือไม่ก็เป็นคนที่เปรียบเสมือน วัวลืมตีน....
....ทุกคนล้วนต้องมี  ผู้มีพระคุณ คนที่ปฏิเสธรากเงา หรือกำพืดของตัวเอง และปฏิเสธว่า..ไม่มีผู้มีพระคุณ คือ เป็นคนเลว และ ไม่มีทางเจริญ ในพระพุทธศาสนา....

.....ความกระตัญญู..คือ ความรู้อุปการคุณที่มีผู้ทำไว้ เป็นคุณธรรมคู่กับความกตเวที...

.....ความกตเวที..คือ..การตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่่นทำไว้นั้น

.....บุญคุณที่ว่านี้  มิใช่ว่า..ตอบแทนกันแล้วก็หายกันไป แต่หมายถึง  การรำลึกถึงพระคุณที่เคยให้ความอุปการแก่เราด้วยความเคารพยิ่ง...

....เมื่อรู้พระคุณแล้วก็ตอบแทนพระคุณท่าน  มีความคิดเช่นนี้อยู่ในใจอย่างต่อเนื่อง และ แสวงหาโอกาส ทำหน้าที่ตอบแทนบุญคุณท่านอย่างไม่รู้ลืม....เทวดาจะปกปักรักษา  ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวที

....ความกตัญญูจึง  มีคุณค่า และ มีพลังแห่งบุญ มากมายมหาศาล ยิ่งได้กระทำถูกคนถูกกาลก็จะมีพลังมหาศาล

.....การแสดงความกตัญญูที่ดีที่สุดต้องเริ่มจากคนใกล้ตัวคือ  พ่อแม่ และตามด้วย ครูบาอาจาราย์ และ ผู้มีอุปการคุณ ทั้งหลาย...

...มี คำกล่าว.. ที่น่านำมากล่าวถึง ณ ที่นี้ เกี่ยวกับความกระตัญญูมีดังนี้..


......ถ้าเรา กตัญญูต่อ ชาติ ไม่มีทางเลยที่เราจะ ฉ้อราษฎร์บังหลวง...

......ถ้าเรา กตัญญูต่อ ศาสนา ไม่มีทางเลยที่เราจะเป็นคนเลว.....

......ถ้าเรา กตัญญูต่อ พระมหากษัตร์ย์ ไม่มีทางเลยที่เราจะจาบจ้วงล้วงเกิน....

......ถ้าเรา กตัญญูต่อ  บิดามารดา  ไม่มีทางเลยที่เราจะทำให้ท่านน้ำตาตก....

......ถ้าเรา กตัญญูต่อ  ครูบาอาจารย์ ไม่มีทางเลยที่เราจะ ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ...

......ถ้าเรา กตัญญูต่อ  ตนเอง  ไม่มีทางเลยที่เราจะตกเป็น ทาสยาเสพติด...

......ถ้าเรา กตัญญูต่อ เวลา  ไม่มีทางเลยที่เราจะหายใจทิ้งไป เพียงวัน ๆ ....

......ถ้าเรา กตัญญูต่อ อาหาร ไม่มีทางเลยที่เราจะกินทิ้งกินขว้าง....

......ถ้าเรา กตัญญูต่อ  ความรู้   ไม่มีทางเลยที่เราจะนำเอาความรู้ไปทำความเลว....

......ถ้าเรา กตัญญูต่อ  ความรัก  ไม่มีทางเลยที่เราจะ นอกใจ คู่รักของตน....

......ถ้าเรา กตัญญูต่อ  ครอบครัว  ไม่มีทางเลยที่เราจะทำให้ครอบครัวแตกแยก...

......ถ้าเรา กตัญญูต่อ ต่อ สิ่งแว้ดล้อม  ไม่มีทางเลยที่เราจะตัดไม้ทำลายป่า...

......ถ้าเรา กตัญญูต่อ  ผืนดิน ผืนน้ำ ผืนฟ้า  ไม่มีทางเลยที่เรา ที่เราจะเห็นสารพิษ ของเสีย และ มลพิษ


......พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระคุณอย่างใหญ่หลวงต่อคนไทย


......คำถามคือ...เมื่อพระองค์ท่าน  เสด็จสวรรคต  เรา  ทำอะไรบ้างหรือยัง  เพื่อแสดงให็เห็นซึ่งความ     "..กตัญญู.."


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------






วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ความเลอะเทอะของแหม่มแอนนา

                            ความสะเหร่อของนางแอนนา เลียวโนเวนส์ 


.....ผมไปได้หนังสือเก่าจากแผงขายหนังสือเก่าตลาดนัด   จัดว่าเป็นหนังสือเก่า มาอ่านเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นชื่อ The Ramanee of a Harem ซึ่งเป็นหนังสือที่ นางแอนนา เลียวโนเวนส์ เขียนมุมกิ๊กขึ้นมาให้คนยุโรปและอเมริกา ในสมัยหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน ได้อ่านกันอย่างอภิมหามันส์ สุดแสนมันส์.....


..... นางแอนนา เลียวโนเวนส์ หรือ แหม่มแอนนา คนนี้ตามประวัติดั้งเดิมนั้นก็เป็นเมียนายทหารอังกฤษยศร้อยเอก ซึ่งเมื่อสามีได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ราชการที่สิงคโปร์  นางหอบหิ้วเอาบุตรชายวัยสองขวบติดตามมาอยู่กับสามี  และอยู่มาได้เพียงไม่เท่าใด นายร้อยเอก เลียวโนเวนส์ ก็ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคปัจจุบัน (ไม่ได้แจ้งไว้ว่า..เป็นโรคอะไร) ทิ้งให้เมียสาวสวยรวยเสน่ห์ต้องกลายเป็นแม่กระดังงาลนไฟ (ดอกกระดังงาความจริงมันก็หอมอยู่แล้วแต่ถ้าได้เอาไปลนไฟอ่อน ๆ เสียหน่อย มันก็จะหอมเย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ )....


......ทำให้หมู่ภมรน้อยใหญ่พากันมาแวดเวียนเพื่อหวังจะดอมดม  จวนเจียนจะเกิดจลาจลขึ้นในบรรดาหมู่เมียนายทหาร  ก็พอดีนายพลเรือที่เป็นผู้บัญชาการทหารอังกฤษที่สิงคโปร์  ได้ทราบวี่แววมาว่า..พระเจ้ากรุงสยามมีพระราชประสงค์ที่จะจ้างสตรีชาวอังกฤษที่มีวัยอันสมควร ไม่มีภาระผูกพันทางครอบครัว และที่ได้รับการศึกษามาพอสถานภาพโดยประมาณ  เข้าไปถวายพระอักษรให้แก่พระราชโอรสและพระราชธิดาที่พระบรมหาราชวังในกรุงเทพมหานคร.....


......จึงคิดตัดไฟต้นลมโดยการเรียกนางแอนนา เข้าไปแนะนำว่า..ควรจะสมัครเข้าไปทำหน้าที่ดังกล่าวกับกงศุลไทย โดยให้คำรับรองว่า..ถ้านางแอนนา  ตกลงใจที่จะรับทำ ตัวท่านนายพลก็รับจะเป็นผู้รับรองกับรัฐบาลไทยให้ด้วยตนเอง  นางแอนนา เห็นเป็นโอกาสดีก็รีบฉวยเอาทันที  และเมื่อมีบุคคลระดับผู้บัญชาการทหารเป็นผู้ให้การรับรองเช่นนี้แล้ว  นางแอนนา ก็ได้เดินทางเข้ามารับราชการใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเวลา ๓ เดือนต่อมา การไปจากเกาะสิงคโปร์ของนางแอนนา ในครั้งนั้น  ลือกันว่า..บรรดาภรรเมียของนายทหารอังกฤษที่สิงคโปร์ต่างก็หายใจโล่งอกไป.. ตาม ๆ กัน....


......ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยเห็นตัวจริงของนางแอนนา  มานั้น ได้เล่าว่า..ในขณะที่เข้ารับราชการอยู่ที่กรุงเทพพระมหานคร  นางแอนนาไม่ได้รับสิทธิพิเศษใด ๆ ทั้งไม่เคยมีโอกาสได้รับราชการใกล้ชิดในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  ถึงขนาดเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินอย่างที่นางแอนนา ได้เคยคุยกร่างเอาไว้ในหนังสือที่ตนเองกลับไปเขียนขึ้นทั้งสองเล่ม คือหนังสือเรื่อง The English Governess At the Siamese Court กับเรื่อง The Romance 0f a Harem......


 ....สำหรับเล่มหลังคือเรื่อง The Romance of a Harem ซึ่งเป็นเรื่องของความตอหลดตอแหลโดยเฉพาะเรื่องราวของ เจ้าจอมทับทิม กับ พระปลัด  นั้น เป็นเรื่องที่น่าจะเก็บเอาความสะเหร่อของนางแอนนา  มาทำเป็นเรื่องให้ได้อ่านกันสักครั้ง.....


....เจ้าจอมทับทิมในจินตนาการของของนางแอนนานั้น  มีรูปลักษณะไม่ผิดอะไรกับนางเอกจอมซนคนสวยของฝรั่ง  คือไม่มีลักษณะเป็นนางเอกของไทยเลยแม้แต่น้อย  นางแอนนา เล่าว่า..เมื่อเจ้าจอมทับทิมมีอายุได้เพียง ๑๕ ปี  ก็รักใคร่ได้เสียกับ นายแดง คนบ้านเดียวกัน ในปีต่อมาคือเมื่ออายุ ๑๖ ปี เจ้าจอมทับทิมและนายแดง  ผู้เป็นสามีถูกเกณฑ์ไปทำงานขนอิฐขนหินในการก่อสร้าง วัดราชประดิษฐ์ และเมื่อสมเด็จพระจอมเกล้าเสด็จไปทรงตรวจงาน  ก็ทอดพระเนตรไปเห็นเจ้าจอมทับทิมเข้า จึงตรัสถามข้าราชบริพานที่ติดตามพระองค์ไปว่า.. เด็กสาวหน้าตาดีคนนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร และเมื่อได้รับคำตอบแล้วก็มิได้ทรงตรัสอย่างไรอีกต่อไป.....


.......นางแอนนาเล่าต่อไปว่า...การที่พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงแสดง ความสนพระราชหฤทัยในตัวเด็กสาวคนนี้ ทำให้พวกข้าราชบริพารที่อยากได้ความดีความชอบ ได้พยายามใช้เลห์กระเทห์พรากเอาตัวเจ้าจอมทับทิมจากนายแดงผู้เป็นสามีเข้าไปถวายต่อในหลวง โดยช่วยกันปกปิดความลับที่ว่า..เธอได้เป็นเมียของชายอื่น แล้ว.....


......ส่วนนายแดงเมื่อถูกพรากเอาเมียไป  ก็หมดปัญญาที่จะหาทาง จะฟ้องร้องเอากับใครก็ไม่กล้า เศร้าโศกเสียใจมาก ๆ เข้าก็เลยตัดสินใจไปบวชเป็นพระ  ซึ่งนางแอนนาได้แสดงความสะเหร่อบริสุทธิออกมาว่า....พระแดงนั้นเมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจเล่าเรียนพระธรรมวินัยและหลักพระพุทธศาสนาอย่างขะมักเขม็น ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็แตกฉาน จนได้แต่งตั้งเป็นพระปลัด .... นางแอนนาบอกว่า..คำว่า..ปลัด นั้นสะกดเป็นภาษาอังกฤษว่า..Balat มีความหมายตรงกับคำว่า..Wonderful..ในภาษาอังกฤษ การแปลคำว่า..ปลัด เป็นคำว่า..Wonderful..นั้น เป็นการดำน้ำแปลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเห็นมา....


.....นางแอนนาเล่าถึงรูปลักษณะของเจ้าจอมทับทิมว่า..เป็นผู้หญิงไทยที่มีความงามอย่างน่าพิศวง เมื่อได้เข้ามาเป็นเจ้าจอมแล้วก็แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงาม สวมแหวนครบนิ้วและสวมสายสร้อยทอง  ทาริมฝีปากด้วยน้ำหมากสีแดงก่ำ เขียนคิ้วยาวด้วยหมึกสีดำส่วนขนตานั้นงอนยาวตามธรรมชาติอยู่แล้ว  ส่วนนิสัยใจคอนั้น นางแอนนาเล่าว่า..เจ้าจอมทับทิมเป็นเด็กสาวที่แก่นแก้วและซุกซนชอบหนีไปแอบซ่อนตัวอยู่ตามห้องเล็กห้องน้อยในพระบรมมหาราชวัง.....หากมีพระราชประสงค์จะให้เข้า รับราชการ  ก็ต้องวิ่งตามหากันให้วุ่นวาย  มีหลายครั้งที่เจ้าพนักงานไปตามตัวพบแล้ว เจ้าจอมทับทิมก็จะพูดจาเบี่ยงบ่าย แกล้งบอกว่า..ไม่สบาย รับราชการ ไม่ได้ ฯลฯ ทำให้คุณท้าวผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่ส่งตัวนางสนมต้องเดือดเนื้อร้อนใจเพราะ ถ้าส่งตัวเจ้าจอมทับทิมไม่ได้ดังราชประสงค์ก็จะถูกในหลวงทรงตัดรอนเอาว่า..มีความอิจฉาริษยาเด็ก เกรงว่า..เด็กจะได้ดีกว่าตน.....


.....นางแอนนาเล่าว่า...เจ้าจอมทับทิมได้มาสมัครเป็นลูกศิษย์เรียนภาษาอังกฤษกับตนด้วยผู้หนึ่ง นางแอนนาจำได้ว่า..เจ้าจอมทับทิมขอร้องให้นางเขียนคำว่า..พระปลัด เป็นภาษาอังกฤษ และเมื่อนางสะกดให้แล้ว เจ้าจอมทับทิมก็ลอกตัวอักษรเหล่านั้นลงในกระดาษหลายแผ่นอย่างคนใจลอย หรือเหมือนคนถูกสะกดจิต.....


......และแล้ววันอัปมงคลก็มาถึง  ในตอนสายของวันหนึ่งคุณท้าวผู้ใหญ่ได้รับรายงานว่า...เจ้าจอมทับทิมได้หายตัวไปตั้งแต่เช้า ได้มีการค้นหาตัวกันทุกซอกทุกมุมของพระบรมมหาราชวังแต่ก็ไม่ปรากฏวี่แวว  ไม่มีใครทราบว่า..เจ้าจอมทับทิมหายไปไหน และหายไปได้อย่างไร การหายตัวไปของเจ้าจอมทับทิมในครั้งนี้   เมื่อความทราบถึงพระกรรณของในหลวงแล้ว  ก็โปรดให้ตั้งรางวัลนำจับตัวเจ้าจอมทับทิมเป็นเงินสูงถึง ๒๐ ชั่ง แต่แม้ว่า...เวลาล่วงเลยไปหลายเดือนก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถสืบรู้ตำแหน่งแห่งหนที่เจ้าจอมทับทิมซ่อนตัวอยู่  นางแอนนาเล่าว่า..เวลายิ่งล่วงเลยไปมากเท่าใด ในหลวงก็ทรงพิโรธเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น.....


......แต่เคราะห์กรรมก็มาถึงตัวเจ้าจอมทับทิมเข้าจนได้  มีพระภิกษุสองรูปไปพบเจ้าจอมทับทิมซึ่งโกนผมโกนคิ้วนุ่งห่มสบงจีวรเป็นสามเณรจำวัดอยู่ที่กุฏิของพระปลัดเข้าโดยบังเอิญ จึงรีบนำความมาแจ้งแก่กรมวังผู้ใหญ่  เจ้าจอมทับทิมจึงถูกจับและถูกขังในพระบรมมหาราชวัง....


.....ส่วนพระปลัดก็ถูกจับเหมือนกันแต่ถูกส่งไปขังไว้ ณ คุกมหันตโทษ เพื่อนสนิทของ ทับทิม สองคน คนหนึ่งชื่อ มะปราง อีกคนหนึ่งชื่อ Simlah ซึ่งก็น่าจะตรงกับชื่อ ศรีมาลา ได้ถูกจับกุมคุมขังโทษฐานรู้เห็นเป็นใจและช่วยเหลือให้เจ้าจอมทับทิมได้หลบหนีออกไปจากพระบรมมหาราชวังได้โดยสดวกด้วย...


......ในการพิจารณาคดี  นางแอนนาซึ่งคุยโอ่ว่า...ตนได้เข้าไปนั่งร่วมฟังอยู่ด้วย  ได้เขียนเล่าว่า..เมื่อมีการซักไซ้ไล่เรียงกันอย่างละเอียดแล้ว  ความจริงก็ปรากฏออกมาว่า..เจ้าจอมทับทิมได้หลบหนีออกไปจากพระบรมมหาราชวัง ด้วยการปลอมตัวเป็นเณรปนปลอมออกไปกับหมู่พระเณรที่เข้ามารับบิณฑบาตในพระบรมมหาราชวังในตอนเช้าตรู่....


......นางแอนนาเล่าว่า...เจ้าจอมทับทิมได้ยืนยันกับศาลว่า..ความคิดที่ปลอมตัวเป็นเณรหนีออกไปอยู่กับพระปลัดนั้นเป็นความคิดที่ตนคิดขึ้นมาด้วยตนเอง ไม่มีพระปลัด หรือ นางมะปราง  นางศรีมาลาได้มาร่วมรู้เห็นเป็นใจกับตนด้วยเลย  เธอให้การว่า..ในวันนั้น เมื่อหลบหนีออกจากพระบรมมหาราชวังได้แล้ว ก็ไปนั่งอยู่คนเดียวที่หน้าประตูวัด พอตกเย็นท่านเจ้าสมภารเจ้าวัดมาพบเข้า  เธอจึงไปกราบกรานขออาศัยอยู่ในวัด....


......ท่านสมภารจึงมอบให้พระปลัดรับตัวเอาไปเป็นภารธุระ  เจ้าจอมทับทิมจึงให้การต่อไปว่า..ถึงแม้เธอจะอยู่ร่วมกุฏิกับพระปลัดผู้เป็นอดีตสามี  แต่ก็มิได้สมสู่ร่วมรักกัน  พระปลัดไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า..ตนเองเป็นเมียเก่าของตน   นางแอนนาเล่าว่า...คำให้การแก้เกีัยวของเจ้าจอมทับทิมดังเช่นที่กล่าวมานี้  ไม่มีผู้พิพากษาคนใดเชื่อ ถือ  โดยเฉพาะคำแก้ตัวที่ว่า..พระปลัดจำตนเองไม่ได้นั้นเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด  คนเราเคยเป็นผัวเป็นเมียกันมาก่อน ถึงแม้จะโกนผม โกนคิ้วนุ่งห่มจีวร ถ้าอยู่กุฏิเดียวกันชิดกันนานเข้าก็น่าจะจำกันได้ ยิ่งเวลาจะอาบน้ำอาบท่า  การที่จะซ่อนหน้าอกหน้าใจนั้น ก็ย่อมเป็นของที่กระทำกันได้โดยยาก....


......คณะผู้พิพากษาจึงลงความเห็นว่า..เจ้าจอมทับทิมไม่ย่อมให้การตามความเป็นจริง  แล้วจึงมีมติให้ลงฑัณท์เจ้าจอมทับทิมโดยการโบย ๓๐ ที.....


......เมื่อเห็นว่า...เรื่องราวจะไปกันใหญ่ดังนี้  นางแอนนาจึงแสดงความยิ่งใหญ่ของตนออกมา  โดยสั่งการให้ระงับการโบยตีไว้ก่อนแล้วตนเองก็รีบรุดเข้าไปเฝ้าในหลวงเพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษให้แก่เจ้าจอมทับทิม  นางแอนนาเล่าว่า..แม้ในหลวงยังทรงพิโรธกริ้วอยู่  แต่ก็ยังทรงรับฟังคำเตือนพระสติของนางแอนนา ทรงรับสั่งให้นางแอนนากลับไปสอนหนังสือไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับคดีความเรื่องนี้....


......ส่วนเจ้าจอมทับทิมนั้นทรงรับที่จะลงพระราชอาญา แต่เพียงถอดออกจากตำแหน่งเจ้าจอม  แล้วส่งตัวลงไปเป็นทาสทำงานหนักในโรงสีข้าวของหลวง....


...แต่แล้วนางแอนนาก็กลับมากล่าวโทษในหลวงว่า..ทรงเป็นชาติกษัตริย์ตรัสแล้วกลับคืนคำ  นางแอนนาเล่าว่า..พอนางออกจากพระที่กลับมาถึงห้องที่พระเจ้าลูกยาเธอพระเจ้าลูกเธอกำลังทรงพระอักษรอยู่  คณะผู้พิพากษาก็เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลเรื่องเจ้าจอมทับทิม  ยืนยันว่า..ตนเองเป็นผู้กระทำความผิดทุกอย่างทุกประการ  ส่วนพระปลัดนั้นไม่ได้มีส่วนร่วมรู้เห็นด้วยแต่อย่างใดทั้งสิ้น....


....คำกราบบังคมทูลของคณะตุลาการทำให้ในหลวงทรงกริ้วขึ้นมาในทันทีทันควัน คราวนี้ทรงพระราชดำรัสสั่งให้นำตัวชายหญิงทั้งคู่มาลงหลักขึงพืด ตรงหน้าพระลานพระบรมมหาราชวัง  เพื่อประจานให้ผู้คนทั้งหลายได้เห็นเป็นที่ประจักษ์......


......นางแอนนาเล่าว่า...เมื่อคนทั้งคู่ถูกนำมาลงหลักขึงพืดอยู่กลางพระลานแล้ว ก็มีการทรมานด้วยวิธีการต่าง ๆ นา ๆ ตัวพระปลัดนั้นถูกทรมานจวนเจียนจะตายแหล่มิตายแหล่  ส่วนเจ้าจอมทับทิมนั้นเมื่อถูกทรมานหนักเข้า  ก็กรีดร้องออกมาอย่าง ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ว่า..ฉันไม่ผิดพระปลัดก็ไม่ผิด พระพุทธเจ้านั้นทรงทราบ  และเมื่อและเมื่อเจ็บปวดจนทนไม่ได้ ก็บิดหน้าไปทางในหลวงเหมือนกับจะวิงวอนขอรับพระราชทานกรุณา  คราวใดที่หมดสติลงก็จะถูกเจ้าหน้าที่สาดด้วยน้ำ ปลุกให้ฟื้นขึ้นมาทรมานต่อ....


.....นางแอนนาเขียนว่า...ภาพสยองขวัญที่เนื่องมาจากคำสั่งอันโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนาของพระเจ้ากรุงสยามในครั้งนี้  ทำให้นางเป็นลมหน้ามืดหมดสติไปในบัดดล...


.....ต่อเมื่อฟื้นขึ้นมา  ก็ปรากฏว่า...ชายหญิงทั้งคู่ได้ถูกนำออกไปจากท้องพระลานแล้ว  นางพยายามถามไถ่ถึงเคราะห์กรรมของชายหญิงทั้งคู่  แต่ทุกคนก็บ่ายเบี่ยงที่จะให้คำตอบ จนกระทั้งได้พบกับหญิงรับใช้ใกล้ชิดของเจ้าจอมทับทิมชื่อนาง พิม นางพิมจึงได้กระซิบบอกให้ฟังว่า...คนทั้งคู่โดนทรมานจนใกล้จะตายเต็มทีแล้ว  จึงถูกนำตัวไปเผาเสียทั้งเป็นที่ป่าช้า วัดสระเกศ.....


......นางแอนนาเขียนไว้เป็นตุเป็นตะว่า...หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น นางก็รู้สึกหดหู่ใจ เสียใจ และผิดหวังในตัวพระเจ้ากรุงสยาม  จึงเก็บตัวไม่ยอมเข้าเฝ้าเป็นเวลากว่าเดือน   จนกระทั้งวันหนึ่งพระเจ้ากรุงสยามจึงทรงให้หาตัวนางแอนนาให้เข้าเฝ้า  เมื่อไปถึงพระเจ้ากรุงสยามได้ตรัสขอโทษ และได้ทรงรับผิดในเรื่องการลงพระราชอาญาเจ้าจอมทับทิมเกินกว่าเหตุ และเพื่อลบล้างความผิด พระองค์ได้ทรงสั่งให้สร้างสถูปเล็ก ๆ  ขึ้นในวัดสระเกศ  สำหรับเป็นที่บูชาดวงวิญญาณของเจ้าจอมทับทิมและพระปลัด.....


....คนไทยที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว   ก็ย่อมลงความเห็นได้ทันทีว่า...เรื่องที่นางแอนนาแต่งขึ้นเรื่องนี้  เป็นเรื่องมดเท็จทั้งเพ  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น  ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ  เป็นกษัตริย์ประชาธิปไตยที่ทรงเคารพในสิทธิของมนุษยชน  นางแอนนา  เลียวโนเวนส์ เข้ามารับราชการในปีพุทธศักราช ๒๔๐๕ ฉะนั้น ก็คงจะไม่ทราบว่า..เมื่อเจ็ดปีก่อนหน้านั้น คือในปีพุทธศักราช ๒๓๙๘  พระเจ้ากรุงสยามพระองค์นี้ได้ทรงประกาศให้สิทธิกับเจ้าจอมหม่อมห้ามที่จะเลือกคู่ครองใหม่ได้อย่างอิสระเสรีประกาศฉบับนั้นมีข้อความดังนี้.....


"...นับตั้งแต่นี้ต่อไป  องค์พระมหากษัตริย์มิได้มีพระราชประสงค์ที่จะกีดกัน  หรือกักขังบรรดานางห้ามทั้งหลาย ดังกล่าวไว้ข้างตน และยอมให้ไปมีเหย้ามีเรือนหรือมีสามีได้ตามความประสงค์ ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงยินดีที่จะสนับสนุนสงเสริมด้วย  หากผู้ใดจะไปก็จะให้เงินปีหรือของขวัญอื่น ๆ คือเสื้อผ้า เครื่องแต่งตัว และเครื่องประดับอื่น ๆ ให้เหมาะสมเกียรติกับชั้นและฐานะนั้น ๆ .....


"....บรรดาหญิงใด ๆ ที่เคยรับใช้พระมหากษัตริย์มานานแล้ว เห็นว่า..อยู่ในพระราชวังนี้ไม่มีความสะดวกสบายและประสงค์ที่จะลาออกจากตำแหน่งหน้าที่  เพื่อไปอยู่กับเจ้านายองค์ใดก็ได้  หรือจะไปอยู่กับบิดามารดาก็ดี  หรือต้องการไปอยู่กับสามีและลูก ตามลำพังก็ดี องค์พระมหากษัตริย์ก็จะทรงอนุญาติให้ไปได้  และจงอย่าเสียใจแต่อย่างใดเลย....


"....การลาออกนี้ก็ขอให้ยื่นใบลาออกโดยตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  พร้อมทั้งมอบข้าวของคืนให้แก่สำนักพระราชวังด้วย  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงอนุญาติให้เป็นไปตามความประสงค์โดยเสรี  เว้นแต่ว่า...ถ้ายังอยู่ในตำแหน่งหน้าที่นี้ต่อไปและก่อนที่ยังมิได้ลาออกไปห้ามมิให้ติดต่อรักใคร่กับผู้ใด  และห้ามมิให้มีสามีจะโดยวิธีหนึ่งวิธีใดก็ตาม  ห้ามมิให้ใช้เลห์เพทุบายแต่อย่างใด....


"....ส่วนชายา  หรือเจ้าจอมคนใดที่มีโอรสด้วยกันกับพระองค์แล้วห้ามมิให้ไปมีเหย้ามีเรือน  เพราะการกระทำเช่นนั้นย่อมทำลายเกียรติของพระราชโอรส  แต่จะอนุญาติให้ไปอยู่กับพระราชโอรสได้กันตามลำพัง แต่มิให้แต่งงานใหม่โดยเด็ดขาด....


"....อนึ่ง ถึงแม้จะมีประกาศซ้ำซากหลายครั้งหลายหนแล้วก็ตาม ก็มักไม่ค่อยมีใครเชื้อฟัง  กลับหาว่า..ตลกขบขันหรือเป็นเรื่องเยาะเย้ยแดกดันกันไปเสีย  จึงออกประกาศให้ทราบทั่วกันว่า..เรื่องนี้เป็นพระราชประสงค์ขององค์พระมหากษัตริย์ด้วยพระทัยจริง  และขอให้ราษฎรทั้งหญิงชายได้เชื่อว่า..องค์พระมหากษัตริย์มิได้มีพระประสงค์ที่จะกีดกัน  หรือกักขังเอาหญิงเหล่านี้ไว้จะเห็นได้จากประกาศแบับที่แล้วของพระองค์ว่า...เป็นพระราชประสงค์อันแท้จริงของพระองค์..."


...ท่านผู้อ่านที่ได้อ่านประกาศข้างต้นแล้ว  ก็คงจะเอ่ยปากอุทานออกมาด้วยความชื่นชมโสมนัสได้แต่เพียงสองคำว่า.. สาธุ  


......ก่อนที่จะจบเรื่องราว ฉบับนี้  ได้ลองให้บัณฑิตตกงานช่วยไปตรวจสอบรายชื่อเจ้าจอม ในสมัยรัชการที่ ๔ ที่หอสมุดดำรงราชานุภาพว่า..ยังมีเจ้าจอมที่ชื่อ ทับทิม อยู่หรือไม  คำตอบที่ได้รับนั้นคือ ไม่มี


......เจ้าจอมมารดาที่ชื่อทับทิมนั้นมีอยู่ท่านหนึ่งเหมือนกัน แต่เป็นเจ้าจอมมารดาในรัชการที่ ๕ 
ผู้ให้กำเนิดพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าวุฒิชัยเฉลิมภาพ  ซึ่งภายหลัง ได้ทรงรับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ  กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร  อดีตเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ  และทรงเป็นตระกูล วุฒิชัย.....


Pan Sungkalok

---------------------------------------------------------------------------------------------































































ความเลอะเทอะของแหม่มแอนนา

                            ความสะเหร่อของนางแอนนา เลียวโนเวนส์ 


.....ผมไปได้หนังสือเก่าจากแผงขายหนังสือเก่าตลาดนัด   จัดว่าเป็นหนังสือเก่า มาอ่านเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นชื่อ The Ramanee of a Harem ซึ่งเป็นหนังสือที่ นางแอนนา เลียวโนเวนส์ เขียนมุมกิ๊กขึ้นมาให้คนยุโรปและอเมริกา ในสมัยหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน ได้อ่านกันอย่างอภิมหามันส์ สุดแสนมันส์.....


..... นางแอนนา เลียวโนเวนส์ หรือ แหม่มแอนนา คนนี้ตามประวัติดั้งเดิมนั้นก็เป็นเมียนายทหารอังกฤษยศร้อยเอก ซึ่งเมื่อสามีได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ราชการที่สิงคโปร์  นางหอบหิ้วเอาบุตรชายวัยสองขวบติดตามมาอยู่กับสามี  และอยู่มาได้เพียงไม่เท่าใด นายร้อยเอก เลียวโนเวนส์ ก็ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคปัจจุบัน (ไม่ได้แจ้งไว้ว่า..เป็นโรคอะไร) ทิ้งให้เมียสาวสวยรวยเสน่ห์ต้องกลายเป็นแม่กระดังงาลนไฟ (ดอกกระดังงาความจริงมันก็หอมอยู่แล้วแต่ถ้าได้เอาไปลนไฟอ่อน ๆ เสียหน่อย มันก็จะหอมเย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ )....


......ทำให้หมู่ภมรน้อยใหญ่พากันมาแวดเวียนเพื่อหวังจะดอมดม  จวนเจียนจะเกิดจลาจลขึ้นในบรรดาหมู่เมียนายทหาร  ก็พอดีนายพลเรือที่เป็นผู้บัญชาการทหารอังกฤษที่สิงคโปร์  ได้ทราบวี่แววมาว่า..พระเจ้ากรุงสยามมีพระราชประสงค์ที่จะจ้างสตรีชาวอังกฤษที่มีวัยอันสมควร ไม่มีภาระผูกพันทางครอบครัว และที่ได้รับการศึกษามาพอสถานภาพโดยประมาณ  เข้าไปถวายพระอักษรให้แก่พระราชโอรสและพระราชธิดาที่พระบรมหาราชวังในกรุงเทพมหานคร.....


......จึงคิดตัดไฟต้นลมโดยการเรียกนางแอนนา เข้าไปแนะนำว่า..ควรจะสมัครเข้าไปทำหน้าที่ดังกล่าวกับกงศุลไทย โดยให้คำรับรองว่า..ถ้านางแอนนา  ตกลงใจที่จะรับทำ ตัวท่านนายพลก็รับจะเป็นผู้รับรองกับรัฐบาลไทยให้ด้วยตนเอง  นางแอนนา เห็นเป็นโอกาสดีก็รีบฉวยเอาทันที  และเมื่อมีบุคคลระดับผู้บัญชาการทหารเป็นผู้ให้การรับรองเช่นนี้แล้ว  นางแอนนา ก็ได้เดินทางเข้ามารับราชการใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเวลา ๓ เดือนต่อมา การไปจากเกาะสิงคโปร์ของนางแอนนา ในครั้งนั้น  ลือกันว่า..บรรดาภรรเมียของนายทหารอังกฤษที่สิงคโปร์ต่างก็หายใจโล่งอกไป.. ตาม ๆ กัน....


......ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยเห็นตัวจริงของนางแอนนา  มานั้น ได้เล่าว่า..ในขณะที่เข้ารับราชการอยู่ที่กรุงเทพพระมหานคร  นางแอนนาไม่ได้รับสิทธิพิเศษใด ๆ ทั้งไม่เคยมีโอกาสได้รับราชการใกล้ชิดในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  ถึงขนาดเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินอย่างที่นางแอนนา ได้เคยคุยกร่างเอาไว้ในหนังสือที่ตนเองกลับไปเขียนขึ้นทั้งสองเล่ม คือหนังสือเรื่อง The English Governess At the Siamese Court กับเรื่อง The Romance 0f a Harem......


 ....สำหรับเล่มหลังคือเรื่อง The Romance of a Harem ซึ่งเป็นเรื่องของความตอหลดตอแหลโดยเฉพาะเรื่องราวของ เจ้าจอมทับทิม กับ พระปลัด  นั้น เป็นเรื่องที่น่าจะเก็บเอาความสะเหร่อของนางแอนนา  มาทำเป็นเรื่องให้ได้อ่านกันสักครั้ง.....


....เจ้าจอมทับทิมในจินตนาการของของนางแอนนานั้น  มีรูปลักษณะไม่ผิดอะไรกับนางเอกจอมซนคนสวยของฝรั่ง  คือไม่มีลักษณะเป็นนางเอกของไทยเลยแม้แต่น้อย  นางแอนนา เล่าว่า..เมื่อเจ้าจอมทับทิมมีอายุได้เพียง ๑๕ ปี  ก็รักใคร่ได้เสียกับ นายแดง คนบ้านเดียวกัน ในปีต่อมาคือเมื่ออายุ ๑๖ ปี เจ้าจอมทับทิมและนายแดง  ผู้เป็นสามีถูกเกณฑ์ไปทำงานขนอิฐขนหินในการก่อสร้าง วัดราชประดิษฐ์ และเมื่อสมเด็จพระจอมเกล้าเสด็จไปทรงตรวจงาน  ก็ทอดพระเนตรไปเห็นเจ้าจอมทับทิมเข้า จึงตรัสถามข้าราชบริพานที่ติดตามพระองค์ไปว่า.. เด็กสาวหน้าตาดีคนนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร และเมื่อได้รับคำตอบแล้วก็มิได้ทรงตรัสอย่างไรอีกต่อไป.....


.......นางแอนนาเล่าต่อไปว่า...การที่พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงแสดง ความสนพระราชหฤทัยในตัวเด็กสาวคนนี้ ทำให้พวกข้าราชบริพารที่อยากได้ความดีความชอบ ได้พยายามใช้เลห์กระเทห์พรากเอาตัวเจ้าจอมทับทิมจากนายแดงผู้เป็นสามีเข้าไปถวายต่อในหลวง โดยช่วยกันปกปิดความลับที่ว่า..เธอได้เป็นเมียของชายอื่น แล้ว.....


......ส่วนนายแดงเมื่อถูกพรากเอาเมียไป  ก็หมดปัญญาที่จะหาทาง จะฟ้องร้องเอากับใครก็ไม่กล้า เศร้าโศกเสียใจมาก ๆ เข้าก็เลยตัดสินใจไปบวชเป็นพระ  ซึ่งนางแอนนาได้แสดงความสะเหร่อบริสุทธิออกมาว่า....พระแดงนั้นเมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจเล่าเรียนพระธรรมวินัยและหลักพระพุทธศาสนาอย่างขะมักเขม็น ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็แตกฉาน จนได้แต่งตั้งเป็นพระปลัด .... นางแอนนาบอกว่า..คำว่า..ปลัด นั้นสะกดเป็นภาษาอังกฤษว่า..Balat มีความหมายตรงกับคำว่า..Wonderful..ในภาษาอังกฤษ การแปลคำว่า..ปลัด เป็นคำว่า..Wonderful..นั้น เป็นการดำน้ำแปลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเห็นมา....


.....นางแอนนาเล่าถึงรูปลักษณะของเจ้าจอมทับทิมว่า..เป็นผู้หญิงไทยที่มีความงามอย่างน่าพิศวง เมื่อได้เข้ามาเป็นเจ้าจอมแล้วก็แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงาม สวมแหวนครบนิ้วและสวมสายสร้อยทอง  ทาริมฝีปากด้วยน้ำหมากสีแดงก่ำ เขียนคิ้วยาวด้วยหมึกสีดำส่วนขนตานั้นงอนยาวตามธรรมชาติอยู่แล้ว  ส่วนนิสัยใจคอนั้น นางแอนนาเล่าว่า..เจ้าจอมทับทิมเป็นเด็กสาวที่แก่นแก้วและซุกซนชอบหนีไปแอบซ่อนตัวอยู่ตามห้องเล็กห้องน้อยในพระบรมมหาราชวัง.....หากมีพระราชประสงค์จะให้เข้า รับราชการ  ก็ต้องวิ่งตามหากันให้วุ่นวาย  มีหลายครั้งที่เจ้าพนักงานไปตามตัวพบแล้ว เจ้าจอมทับทิมก็จะพูดจาเบี่ยงบ่าย แกล้งบอกว่า..ไม่สบาย รับราชการ ไม่ได้ ฯลฯ ทำให้คุณท้าวผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่ส่งตัวนางสนมต้องเดือดเนื้อร้อนใจเพราะ ถ้าส่งตัวเจ้าจอมทับทิมไม่ได้ดังราชประสงค์ก็จะถูกในหลวงทรงตัดรอนเอาว่า..มีความอิจฉาริษยาเด็ก เกรงว่า..เด็กจะได้ดีกว่าตน.....


.....นางแอนนาเล่าว่า...เจ้าจอมทับทิมได้มาสมัครเป็นลูกศิษย์เรียนภาษาอังกฤษกับตนด้วยผู้หนึ่ง นางแอนนาจำได้ว่า..เจ้าจอมทับทิมขอร้องให้นางเขียนคำว่า..พระปลัด เป็นภาษาอังกฤษ และเมื่อนางสะกดให้แล้ว เจ้าจอมทับทิมก็ลอกตัวอักษรเหล่านั้นลงในกระดาษหลายแผ่นอย่างคนใจลอย หรือเหมือนคนถูกสะกดจิต.....


......และแล้ววันอัปมงคลก็มาถึง  ในตอนสายของวันหนึ่งคุณท้าวผู้ใหญ่ได้รับรายงานว่า...เจ้าจอมทับทิมได้หายตัวไปตั้งแต่เช้า ได้มีการค้นหาตัวกันทุกซอกทุกมุมของพระบรมมหาราชวังแต่ก็ไม่ปรากฏวี่แวว  ไม่มีใครทราบว่า..เจ้าจอมทับทิมหายไปไหน และหายไปได้อย่างไร การหายตัวไปของเจ้าจอมทับทิมในครั้งนี้   เมื่อความทราบถึงพระกรรณของในหลวงแล้ว  ก็โปรดให้ตั้งรางวัลนำจับตัวเจ้าจอมทับทิมเป็นเงินสูงถึง ๒๐ ชั่ง แต่แม้ว่า...เวลาล่วงเลยไปหลายเดือนก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถสืบรู้ตำแหน่งแห่งหนที่เจ้าจอมทับทิมซ่อนตัวอยู่  นางแอนนาเล่าว่า..เวลายิ่งล่วงเลยไปมากเท่าใด ในหลวงก็ทรงพิโรธเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น.....


......แต่เคราะห์กรรมก็มาถึงตัวเจ้าจอมทับทิมเข้าจนได้  มีพระภิกษุสองรูปไปพบเจ้าจอมทับทิมซึ่งโกนผมโกนคิ้วนุ่งห่มสบงจีวรเป็นสามเณรจำวัดอยู่ที่กุฏิของพระปลัดเข้าโดยบังเอิญ จึงรีบนำความมาแจ้งแก่กรมวังผู้ใหญ่  เจ้าจอมทับทิมจึงถูกจับและถูกขังในพระบรมมหาราชวัง....


.....ส่วนพระปลัดก็ถูกจับเหมือนกันแต่ถูกส่งไปขังไว้ ณ คุกมหันตโทษ เพื่อนสนิทของ ทับทิม สองคน คนหนึ่งชื่อ มะปราง อีกคนหนึ่งชื่อ Simlah ซึ่งก็น่าจะตรงกับชื่อ ศรีมาลา ได้ถูกจับกุมคุมขังโทษฐานรู้เห็นเป็นใจและช่วยเหลือให้เจ้าจอมทับทิมได้หลบหนีออกไปจากพระบรมมหาราชวังได้โดยสดวกด้วย...


......ในการพิจารณาคดี  นางแอนนาซึ่งคุยโอ่ว่า...ตนได้เข้าไปนั่งร่วมฟังอยู่ด้วย  ได้เขียนเล่าว่า..เมื่อมีการซักไซ้ไล่เรียงกันอย่างละเอียดแล้ว  ความจริงก็ปรากฏออกมาว่า..เจ้าจอมทับทิมได้หลบหนีออกไปจากพระบรมมหาราชวัง ด้วยการปลอมตัวเป็นเณรปนปลอมออกไปกับหมู่พระเณรที่เข้ามารับบิณฑบาตในพระบรมมหาราชวังในตอนเช้าตรู่....


......นางแอนนาเล่าว่า...เจ้าจอมทับทิมได้ยืนยันกับศาลว่า..ความคิดที่ปลอมตัวเป็นเณรหนีออกไปอยู่กับพระปลัดนั้นเป็นความคิดที่ตนคิดขึ้นมาด้วยตนเอง ไม่มีพระปลัด หรือ นางมะปราง  นางศรีมาลาได้มาร่วมรู้เห็นเป็นใจกับตนด้วยเลย  เธอให้การว่า..ในวันนั้น เมื่อหลบหนีออกจากพระบรมมหาราชวังได้แล้ว ก็ไปนั่งอยู่คนเดียวที่หน้าประตูวัด พอตกเย็นท่านเจ้าสมภารเจ้าวัดมาพบเข้า  เธอจึงไปกราบกรานขออาศัยอยู่ในวัด....


......ท่านสมภารจึงมอบให้พระปลัดรับตัวเอาไปเป็นภารธุระ  เจ้าจอมทับทิมจึงให้การต่อไปว่า..ถึงแม้เธอจะอยู่ร่วมกุฏิกับพระปลัดผู้เป็นอดีตสามี  แต่ก็มิได้สมสู่ร่วมรักกัน  พระปลัดไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า..ตนเองเป็นเมียเก่าของตน   นางแอนนาเล่าว่า...คำให้การแก้เกีัยวของเจ้าจอมทับทิมดังเช่นที่กล่าวมานี้  ไม่มีผู้พิพากษาคนใดเชื่อ ถือ  โดยเฉพาะคำแก้ตัวที่ว่า..พระปลัดจำตนเองไม่ได้นั้นเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด  คนเราเคยเป็นผัวเป็นเมียกันมาก่อน ถึงแม้จะโกนผม โกนคิ้วนุ่งห่มจีวร ถ้าอยู่กุฏิเดียวกันชิดกันนานเข้าก็น่าจะจำกันได้ ยิ่งเวลาจะอาบน้ำอาบท่า  การที่จะซ่อนหน้าอกหน้าใจนั้น ก็ย่อมเป็นของที่กระทำกันได้โดยยาก....


......คณะผู้พิพากษาจึงลงความเห็นว่า..เจ้าจอมทับทิมไม่ย่อมให้การตามความเป็นจริง  แล้วจึงมีมติให้ลงฑัณท์เจ้าจอมทับทิมโดยการโบย ๓๐ ที.....


......เมื่อเห็นว่า...เรื่องราวจะไปกันใหญ่ดังนี้  นางแอนนาจึงแสดงความยิ่งใหญ่ของตนออกมา  โดยสั่งการให้ระงับการโบยตีไว้ก่อนแล้วตนเองก็รีบรุดเข้าไปเฝ้าในหลวงเพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษให้แก่เจ้าจอมทับทิม  นางแอนนาเล่าว่า..แม้ในหลวงยังทรงพิโรธกริ้วอยู่  แต่ก็ยังทรงรับฟังคำเตือนพระสติของนางแอนนา ทรงรับสั่งให้นางแอนนากลับไปสอนหนังสือไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับคดีความเรื่องนี้....


......ส่วนเจ้าจอมทับทิมนั้นทรงรับที่จะลงพระราชอาญา แต่เพียงถอดออกจากตำแหน่งเจ้าจอม  แล้วส่งตัวลงไปเป็นทาสทำงานหนักในโรงสีข้าวของหลวง....


...แต่แล้วนางแอนนาก็กลับมากล่าวโทษในหลวงว่า..ทรงเป็นชาติกษัตริย์ตรัสแล้วกลับคืนคำ  นางแอนนาเล่าว่า..พอนางออกจากพระที่กลับมาถึงห้องที่พระเจ้าลูกยาเธอพระเจ้าลูกเธอกำลังทรงพระอักษรอยู่  คณะผู้พิพากษาก็เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลเรื่องเจ้าจอมทับทิม  ยืนยันว่า..ตนเองเป็นผู้กระทำความผิดทุกอย่างทุกประการ  ส่วนพระปลัดนั้นไม่ได้มีส่วนร่วมรู้เห็นด้วยแต่อย่างใดทั้งสิ้น....


....คำกราบบังคมทูลของคณะตุลาการทำให้ในหลวงทรงกริ้วขึ้นมาในทันทีทันควัน คราวนี้ทรงพระราชดำรัสสั่งให้นำตัวชายหญิงทั้งคู่มาลงหลักขึงพืด ตรงหน้าพระลานพระบรมมหาราชวัง  เพื่อประจานให้ผู้คนทั้งหลายได้เห็นเป็นที่ประจักษ์......


......นางแอนนาเล่าว่า...เมื่อคนทั้งคู่ถูกนำมาลงหลักขึงพืดอยู่กลางพระลานแล้ว ก็มีการทรมานด้วยวิธีการต่าง ๆ นา ๆ ตัวพระปลัดนั้นถูกทรมานจวนเจียนจะตายแหล่มิตายแหล่  ส่วนเจ้าจอมทับทิมนั้นเมื่อถูกทรมานหนักเข้า  ก็กรีดร้องออกมาอย่าง ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ว่า..ฉันไม่ผิดพระปลัดก็ไม่ผิด พระพุทธเจ้านั้นทรงทราบ  และเมื่อและเมื่อเจ็บปวดจนทนไม่ได้ ก็บิดหน้าไปทางในหลวงเหมือนกับจะวิงวอนขอรับพระราชทานกรุณา  คราวใดที่หมดสติลงก็จะถูกเจ้าหน้าที่สาดด้วยน้ำ ปลุกให้ฟื้นขึ้นมาทรมานต่อ....


.....นางแอนนาเขียนว่า...ภาพสยองขวัญที่เนื่องมาจากคำสั่งอันโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนาของพระเจ้ากรุงสยามในครั้งนี้  ทำให้นางเป็นลมหน้ามืดหมดสติไปในบัดดล...


.....ต่อเมื่อฟื้นขึ้นมา  ก็ปรากฏว่า...ชายหญิงทั้งคู่ได้ถูกนำออกไปจากท้องพระลานแล้ว  นางพยายามถามไถ่ถึงเคราะห์กรรมของชายหญิงทั้งคู่  แต่ทุกคนก็บ่ายเบี่ยงที่จะให้คำตอบ จนกระทั้งได้พบกับหญิงรับใช้ใกล้ชิดของเจ้าจอมทับทิมชื่อนาง พิม นางพิมจึงได้กระซิบบอกให้ฟังว่า...คนทั้งคู่โดนทรมานจนใกล้จะตายเต็มทีแล้ว  จึงถูกนำตัวไปเผาเสียทั้งเป็นที่ป่าช้า วัดสระเกศ.....


......นางแอนนาเขียนไว้เป็นตุเป็นตะว่า...หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น นางก็รู้สึกหดหู่ใจ เสียใจ และผิดหวังในตัวพระเจ้ากรุงสยาม  จึงเก็บตัวไม่ยอมเข้าเฝ้าเป็นเวลากว่าเดือน   จนกระทั้งวันหนึ่งพระเจ้ากรุงสยามจึงทรงให้หาตัวนางแอนนาให้เข้าเฝ้า  เมื่อไปถึงพระเจ้ากรุงสยามได้ตรัสขอโทษ และได้ทรงรับผิดในเรื่องการลงพระราชอาญาเจ้าจอมทับทิมเกินกว่าเหตุ และเพื่อลบล้างความผิด พระองค์ได้ทรงสั่งให้สร้างสถูปเล็ก ๆ  ขึ้นในวัดสระเกศ  สำหรับเป็นที่บูชาดวงวิญญาณของเจ้าจอมทับทิมและพระปลัด.....


....คนไทยที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว   ก็ย่อมลงความเห็นได้ทันทีว่า...เรื่องที่นางแอนนาแต่งขึ้นเรื่องนี้  เป็นเรื่องมดเท็จทั้งเพ  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น  ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ  เป็นกษัตริย์ประชาธิปไตยที่ทรงเคารพในสิทธิของมนุษยชน  นางแอนนา  เลียวโนเวนส์ เข้ามารับราชการในปีพุทธศักราช ๒๔๐๕ ฉะนั้น ก็คงจะไม่ทราบว่า..เมื่อเจ็ดปีก่อนหน้านั้น คือในปีพุทธศักราช ๒๓๙๘  พระเจ้ากรุงสยามพระองค์นี้ได้ทรงประกาศให้สิทธิกับเจ้าจอมหม่อมห้ามที่จะเลือกคู่ครองใหม่ได้อย่างอิสระเสรีประกาศฉบับนั้นมีข้อความดังนี้.....


"...นับตั้งแต่นี้ต่อไป  องค์พระมหากษัตริย์มิได้มีพระราชประสงค์ที่จะกีดกัน  หรือกักขังบรรดานางห้ามทั้งหลาย ดังกล่าวไว้ข้างตน และยอมให้ไปมีเหย้ามีเรือนหรือมีสามีได้ตามความประสงค์ ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงยินดีที่จะสนับสนุนสงเสริมด้วย  หากผู้ใดจะไปก็จะให้เงินปีหรือของขวัญอื่น ๆ คือเสื้อผ้า เครื่องแต่งตัว และเครื่องประดับอื่น ๆ ให้เหมาะสมเกียรติกับชั้นและฐานะนั้น ๆ .....


"....บรรดาหญิงใด ๆ ที่เคยรับใช้พระมหากษัตริย์มานานแล้ว เห็นว่า..อยู่ในพระราชวังนี้ไม่มีความสะดวกสบายและประสงค์ที่จะลาออกจากตำแหน่งหน้าที่  เพื่อไปอยู่กับเจ้านายองค์ใดก็ได้  หรือจะไปอยู่กับบิดามารดาก็ดี  หรือต้องการไปอยู่กับสามีและลูก ตามลำพังก็ดี องค์พระมหากษัตริย์ก็จะทรงอนุญาติให้ไปได้  และจงอย่าเสียใจแต่อย่างใดเลย....


"....การลาออกนี้ก็ขอให้ยื่นใบลาออกโดยตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  พร้อมทั้งมอบข้าวของคืนให้แก่สำนักพระราชวังด้วย  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงอนุญาติให้เป็นไปตามความประสงค์โดยเสรี  เว้นแต่ว่า...ถ้ายังอยู่ในตำแหน่งหน้าที่นี้ต่อไปและก่อนที่ยังมิได้ลาออกไปห้ามมิให้ติดต่อรักใคร่กับผู้ใด  และห้ามมิให้มีสามีจะโดยวิธีหนึ่งวิธีใดก็ตาม  ห้ามมิให้ใช้เลห์เพทุบายแต่อย่างใด....


"....ส่วนชายา  หรือเจ้าจอมคนใดที่มีโอรสด้วยกันกับพระองค์แล้วห้ามมิให้ไปมีเหย้ามีเรือน  เพราะการกระทำเช่นนั้นย่อมทำลายเกียรติของพระราชโอรส  แต่จะอนุญาติให้ไปอยู่กับพระราชโอรสได้กันตามลำพัง แต่มิให้แต่งงานใหม่โดยเด็ดขาด....


"....อนึ่ง ถึงแม้จะมีประกาศซ้ำซากหลายครั้งหลายหนแล้วก็ตาม ก็มักไม่ค่อยมีใครเชื้อฟัง  กลับหาว่า..ตลกขบขันหรือเป็นเรื่องเยาะเย้ยแดกดันกันไปเสีย  จึงออกประกาศให้ทราบทั่วกันว่า..เรื่องนี้เป็นพระราชประสงค์ขององค์พระมหากษัตริย์ด้วยพระทัยจริง  และขอให้ราษฎรทั้งหญิงชายได้เชื่อว่า..องค์พระมหากษัตริย์มิได้มีพระประสงค์ที่จะกีดกัน  หรือกักขังเอาหญิงเหล่านี้ไว้จะเห็นได้จากประกาศแบับที่แล้วของพระองค์ว่า...เป็นพระราชประสงค์อันแท้จริงของพระองค์..."


...ท่านผู้อ่านที่ได้อ่านประกาศข้างต้นแล้ว  ก็คงจะเอ่ยปากอุทานออกมาด้วยความชื่นชมโสมนัสได้แต่เพียงสองคำว่า.. สาธุ  


......ก่อนที่จะจบเรื่องราว ฉบับนี้  ได้ลองให้บัณฑิตตกงานช่วยไปตรวจสอบรายชื่อเจ้าจอม ในสมัยรัชการที่ ๔ ที่หอสมุดดำรงราชานุภาพว่า..ยังมีเจ้าจอมที่ชื่อ ทับทิม อยู่หรือไม  คำตอบที่ได้รับนั้นคือ ไม่มี


......เจ้าจอมมารดาที่ชื่อทับทิมนั้นมีอยู่ท่านหนึ่งเหมือนกัน แต่เป็นเจ้าจอมมารดาในรัชการที่ ๕ 
ผู้ให้กำเนิดพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าวุฒิชัยเฉลิมภาพ  ซึ่งภายหลัง ได้ทรงรับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ  กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร  อดีตเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ  และทรงเป็นตระกูล วุฒิชัย.....



---------------------------------------------------------------------------------------------































































วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557

แคล้วคลาด





                        แคล้วคลาด
                                        


   แคล้ว คือชื่อเพื่อนของผม แคล้วมีบ้านอยู่ใกล้วัดใหม่ยายนุ้ย ความจริงชื่อของเพื่อนผมคนนี้ชื่อเต็ม ๆ ว่า “แคล้วคลาด” เพื่อนผมคนนี้ อยู่กับเมียสองคน (ความจริงเมียมีคนเดียว) อาชีพรับจ้างทั่วไปใครให้รับจ้างทำอะไร แคล้ว ทำให้ทุกอย่าง บางครั้งงานที่แคล้วทำก็เสี่ยงชีวิต เพราะไปรับจ้างทำสิ่งที่กฎหมายห้าม เช่น ไปหยิบของที่ผู้อื่นเขาไม่ยินยอม ไปให้คนที่จ้างให้มาหยิบ แคล้วมักจะทำสำเร็จเกือบทุกครั้ง จนเป็นที่พอใจกับผู้ว่าจ้าง เกือบลืมบอกไปว่า เมียแคล้ว มีลูกผู้ชายติดมาด้วยหนึ่งคนก่อนที่จะมาอยู่กับแคล้วอายุประมาณ ๕ ขวบครึ่ง และยังอยู่ในท้องซึ่งใกล้จะคลอดอีกหนึ่งคน แคล้วได้เมียคนนี้มาเมื่อ ๕ เดือนก่อน แต่ตอนนี้เมียแคล้วท้องได้ ๘ เดือน แต่แคล้วก็รักเมียและลูกติดเมียรวมทั้งเด็กในท้องซึ่งแคล้วก็ไม่แน่ใจว่าลูก ใครอีกหนึ่งคน แคล้ว ทำงานหาเงินทุกอย่าง เมียไม่ต้องทำไม่ว่าจะเป็นงานในบ้าน งานนอกบ้านแคล้วทำคนเดียว เพราะความรักเมีย จริง ๆ แล้วเมียของแคล้วคนนี้ มีคนที่สนิทกับแคล้วจะเรียกว่าเพื่อนตายก็ได้ วานให้แคล้วไปฉุดมาให้ แต่โชคร้ายเพื่อนตายของแคล้วถูกทางพ่อฝ่ายหญิงจ้างคนมาฆ่าตายเสียก่อนเพื่อน ของแคล้วเลยตายจริง ๆ แคล้วพาผู้หญิง (เมียของแคล้วในปัจจุบัน) มาให้เพื่อนไม่ทันเพราะ เพื่อนของแคล้วมาด่วนถูกฆ่าตายเสียก่อน แคล้วเลยตกที่นั่งลำบากเลยต้องรับเลี้ยงดูไว้ และต่อมาภายหลังก็ไปลักพาตัวลูกชายของเมียที่เกิดกับผู้ชายคนไหนก็ไม่รู้มา อีกคนหนึ่ง เพราะเมียแคล้วบอกว่าคิดถึงลูกคนนี้มาก สรุปง่ายว่า เมียของแคล้ว มีลูกมาก่อนหนึ่งคนกับชายคนไหนก็ไม่รู้ เพราะแคล้วเองก็ไม่เคยถามเมียส่วนลูกในท้องที่กำลังจะคลอดแคล้วก็คิดว่าเป็น ลูกของเพื่อนของแคล้วที่ถูกยิงตายเสียก่อน แต่ทั้งหมดนี้ แคล้วก็ไม่เคยถามเมียให้เสียน้ำใจและความรู้สึก คนในละแวกนั้นส่วนใหญ่ รวมทั้งผม และหลวงพ่อรู้จักแคล้วดีด้วยกันทุกคน แม้แต่ผู้รักษากฎหมายอย่างผู้กองจรูญก็รู้จักแคล้ว และพยายามจับตัวแคล้วแต่ก็ไม่มีหลักฐานจะให้จับได้เลยสักที เขาเล่ากันว่าแคล้วมีของดี เวลาหนีเจ้าหน้าที่ ที่ตามจับมักจะรอด แคล้วคลาด ทุกครั้ง สมกับชื่อ “แคล้วคลาด” จริง ๆ ผู้กองจรูญ เป็นคู่ปรับของแคล้ว และพยายามจับแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเลยสักครั้ง และแคล้วเองก็มักจะมาเล่าวีรกรรมให้ผมฟัง เสมอ ๆ ผิดกับผู้กองจรูญ แกไม่ค่อยพูดถามเรื่องแคล้วทีไรแกก็เปลี่ยนเรื่องคุยทุกครั้ง จนผมเองก็อดสงสัยไม่ได้

    จนในที่สุดเรื่องมันเกิดขึ้นจนได้ วันนั้นแคล้วมาหาผมและบอกผมว่าจะไปทำเรื่องสำคัญ แต่ไม่บอกว่าเรื่องอะไร มันได้แต่บอกว่าฝากเมียใกล้คลอดให้ผมช่วยดูแลด้วย ผมพยายามถามมัน แต่แคล้วมันก็ไม่ยอมบอกผม เพียงแต่พูดเป็นนัย ๆ ว่า งานนี้เสี่ยงมาก และจะขอทำงานนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพราะคนว่าจ้างให้เงินก้อนใหญ่ที่เดียว

หลังจากนั้นอีกสามวันคนในตลาดลือกันว่า แคล้วมันเข้าไปขโมยพระเครื่องของผู้กองจรูญถึงในบ้านพัก แต่ถูกผู้กองจรูญนำกองกำลังเกือบสิบนาย ตามล่าตัวแคล้วไปติด ๆ จนแคล้วไปเกือบไม่รอด แต่ก็เหมือนปาฏิหาริย์ แคล้วของเราก็ แคล้วคลาด สมชื่ออีกจนได้ หลังจากนั้นผมก็ไม่เจอแคล้ว แต่พอวันที่ห้าที่แคล้วหายตัวไป แคล้วก็แอบมาหาเมียของมัน และให้เมียมาบอกผมที่บ้านของผมว่าอยากพบผมให้ผมไปหา ผมก็รีบไป พอเจอแคล้วผมก็ถามถึงเรื่องราวและสาเหตุ แคล้วเล่าว่า พันมันเรียกชื่อสั้น ๆ ของผม มีผู้ว่าจ้างให้กูไปขโมยพระเครื่องที่บ้านพักของผู้กองจรูญ เป็นเงินสามแสนบาท บอกที่เก็บพระให้เสร็จว่าอยู่ตรงไหน ผมถามแคล้วว่า รู้จักตัวผู้ว่าจ้างหรือเปล่า แคล้วบอกว่า ไม่รู้จักและไม่เห็นหน้า แต่มีคนที่เป็นนายหน้านำเงินมาว่าจ้าง รู้แต่ว่าผู้ว่าผู้จ้างเป็นผู้หญิง แต่นั่นไม่สำคัญ มันสำคัญตรงที่พอกูขึ้นไปขโมยพระได้ กูก็หนีไปข้างวัดใหม่ย้ายนุ้ย ผ่านทางสนามกีฬาหมู่บ้าน เข้าซอยข้างหมู่บ้านชลประทาน ผู้กองจรูญแกไวมากพาลูกน้องตามมาติด ๆ กูก็หนีสุดชีวิต แต่ซอยที่กูวิ่งเข้าไปมันเสือกเป็นซอยตัน แล้วมึงทำอย่างไรถึงรอดออกมาได้ ผมถามแคล้ว แคล้วบอกว่า ซอยยาวประมาณ ๑๐๐ เมตร กูหันไปเห็นผู้กองจรูญตามมาติด ๆ ห่างกันประมาณ ๕๐ เมตรเห็นจะได้ กูจึงตัดสินใจหยิบเหรียญห้าบาทสมัยเก่ามีเหลี่ยมหกเหลี่ยม รวมทั้งพระเครื่องของผู้กองท่องคาถากลั้นลมหายใจเดินฝ่าออกมาเลย พันมึงเชื่อไหมไม่มีใครเห็นกูเลย กูเดินสวนกับผู้กองเหมือนว่าแกมองกู แต่แกเหมือนไม่เห็นกู จึงรอดมาได้นี่แหละ ศักดิ์สิทธิ์ จริง ๆ แล้วหลังจากนั้นหละ ผมถาม แคล้วบอกว่า ได้เอาพระ

เครื่องจำนวนหนึ่งให้ผู้ว่าจ้างไป พร้อมกับรับเงินมาแล้ว ว่าจะพาเมียไปคลอดที่พิษณุโลก กูให้พระมึงองค์หนึ่ง ผมบอกว่าแคล้วเก็บไว้เองดีกว่า หลังจากนั้นผมก็ยังไม่เห็นมันอีก
จนในที่สุดผมบังเอิญพบผู้กองจรูญที่ตลาดแกนั่งดื่มกาแฟโบราณเจ้าเก่าและเจ้า เดียวในตลาดของหมู่บ้าน แกก็เรียกผมและชวนผมดื่มกาแฟผมเลยนั่งดื่มกาแฟกับผู้กองจรูญ ผู้กองถามผมว่าคุณเห็นไอ้แคล้วบ้างหรือเปล่า ผมก็ตอบแบบเชิงวิชาการว่าระยะหลังไม่ค่อยเจอแต่ข่าวว่าผู้กองตามจับมันอยู่ ไม่ใช่หรือครับ ก็จริงผมตามจับมันอยู่ไม่รู้ว่าเมียมันคลอดลูกหรือยัง ผมก็เลยบอกไปว่าคิดว่าน่าจะคลอดแล้วนะครับผู้กองถามทำไมหรือครับ คืออย่างนี้นะ ครู ความจริง

วันที่แคล้วมันหนีผมเข้าไปในซอยผมเห็นพฤติกรรมของมันทุกอย่าง ตั้งแต่ทำพิธีท่องคาถากลั้นลมหายใจเดินออกมาระยะ ๕๐ เมตร มันไกลมากมันเดินกลั้นลมหายใจ จะล้มตั้งหลายครั้งผมเลยสั่งลูกน้องอย่าพึงจับมันทำเป็นมองไม่เห็นเสีย สงสารมันก็สงสาร เลยย่อมเสียระเบียบวินัยและหน้าที่ปล่อยแคล้วไป อีกอย่างหนึ่งผมเองก็ไม่อยากบอกกับครูเรื่องเมียของมัน ความจริงแล้วเคยเป็นภรรยาผมมาก่อนจนมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ผมเองก็แอบไปดูบ่อย ๆ แคล้วเองมันก็ไม่รู้หรอกว่าผมไป แต่เมียผมมันใจเด็ดไม่ย่อมคืนดีจะอยู่กับแคล้วท่าเดียว ผมเลยถามว่าแคล้วมันดีกว่าผมอย่างไร เธอก็บอกว่า แคล้วถึงแม้จะเป็นโจรแต่แคล้วไม่เคยล่วงเกินเธอเลยจนถึงทุกวันนี้ รักลูกของเราเองเหมือนลูกในไส้ แม้แต่ลูกในท้องแคล้วก็ไม่เคยถามว่าลูกของใคร งานการทำทุกอย่างไม่ยอมให้เมียผมช่วยเขาเลย แคล้วพูดสั้น ๆ ว่าเดี๋ยวกระเทือนถึงลูกในครรภ์ ฉันอยากกินอะไร แคล้วก็หาให้ฉันกินทุกอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยมีเงิน ผู้กองเล่ามาถึงตอนนี้ผมเห็นใบหน้าของท่านเหมือนอยากจะร้องไห้ ผู้กองพูดต่ออีกว่า ผมพึงจะรู้น้ำใจที่แท้จริงของผู้หญิงที่ผมรัก แม้ว่าผมจะมีหน้าที่การงานอันมีเกียรติ ก็ไม่สามารถสู้ความดีอีกด้านหนึ่งของแคล้วไม่ได้เลยจริง ๆ วันนี้ผมเลี้ยงกาแฟครูก็แล้วกัน ถ้าแคล้วกลับมาช่วยส่งข่าวบอกผมด้วยนะครับ ผมมีอะไรบางอย่างจะสารภาพกับเขา ผมรับปากผู้กองไปแบบไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน มันเป็นความลับที่เกี่ยวพันกันแบบน่าพิสดาร ซึ่งแม้แต่ผมเองก็นึกไม่ถึง และนี่ก็คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่แคล้วไม่เคยถูกผู้กองจรูญจับได้เลย ถึงแม้ว่าอยากจะจับ

                                        



                                   ---------------------------------------------------

                                                    สัมพันธ์ จันทร์ผา

 

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ธนาคารวิ่ง



                                               ธนาคารวิ่ง

  
                                     
                                       ภาพยนตร์เรื่อง  Mary Popins

        ในภาพยนตร์ เรื่อง Mary Poppins  ประธานธนาคาร ที่ Mr. Banks ทำงาน ฉวยเงิน tuppence = สองเพ็นนี  (มาจาก two pence) จากมือของ ไมเคิล ลูกชาย Mr. Bank แต่ไมเคิลไม่ย่อม พยายามแย่งเงินคืน พร้อมตะโกนดัง ๆ ว่า Give me back my money ! = เอาเงินของฉันคืนมาก

     เมื่อลูกค้าธนาคารคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจว่าธนาคารไม่ย่อมคืนเงินฝาก ซึ่งก็ส่อว่า ธนาคารไม่มีสภาพคล่อง อย่ากระนั้นเลย ขอปิดบัญชีบ้างจะดีกว่า ก่อนที่ธนาคารจะหมดเงินเกลี้ยงไม่มีเงินให้
                                        


   เมื่อมีคนขอปิดบัญชีมากขึ้น ลูกค้าคนอื่นก็ยิ่ง panic= แตกตื่น และขอถอนบ้าง กลายเป็นฝูงคนมากลุ้มรุม ขอถอนเงินจนธนาคารไม่มีเงินให้ถอนจริง ๆ

    เหตุการณ์อย่างนี้เรียกว่า  ban run หรือ a run on the bank ซึ่งก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการวิ่ง  แต่หมายถึงการที่มีผู้ฝากเงินจำนวนมากขอถอนเงินพร้อม ๆ กันจนทำให้ธนาคารขาดสภาพคล่อง ไม่สามารถจ่ายเงินได้ ทำให้อาจต้องขายทรัพย์สินของตนในราคาขาดทุน และอาจล้มในที่สุด
                                          


   โดยทั่วไป bank runs เกิดขึ้นโดยความไม่ไว้ว่างใจธนาคาร เกรงว่าจะล้มละลายหรือไม่มีเงินจ่าย ดังนั้นจึงต้องรีบถอนเงินฝากออกมา  ถ้าไม่กี่คนคิดแบบนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ปัญหาคือยิ่งมีคนไปถอนเท่าไหร่ คนอื่นก็ยิ่งแตกตื่นตาม และไปขอถอนด้วย

   ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด bank run ที่เกิดกับธนาคารออมสินแตกต่างจาก bank runs ทั่วไปตรงที่ไม่ได้มีเหตุจาก ความแตกตื่น  แต่เป็นเรื่องการเมือง คือเป็นการประท้วงโดยคนที่ไม่ชอบรัฐบาล เพื่อกดดันไม่ให้ธนาคารออกเงินกู้ให้รัฐบาลเพื่อเอาไปจ่ายชาวนา เพราะถือว่าเป็นการออกเงินกู้ที่งุบงิบ  ไม่โปร่งใส

    ทำให้นึกถึงสำนวนอังกฤษที่น่าจะโดนใจรัฐบาลในขณะนี้คือ  Damned if you do, damned if you don't = ทำก็โดนด่า  ไม่ทำก็โดนด่า  ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็โดนสาปแช่งทั้งขึ้นทั้งล่อง                  
                                               



    ban runs อาจจะส่งผลกระจ่ายออกไปในวงกว้างมากกว่าที่คิด  เพราะทางธนาคารอาจต้องเรียกเงินกู้คืนก่อนกำหนด  ลูกหนี้ของธนาคารอาจติดขัด  หลายรายอาจถึงขั้นเจ๊ง  ธนาคารอื่น ๆ ในระบบที่มีการกู้ยืมกัน  ก็อาจถูกกระทบด้วย  เศรษฐกิจของประเทศโดยรวมก็อาจถดถ่อยด้วยหรือตกต่ำได้ ซึ่งจะเป็นวิธี shut down หรือทำลายประเทศที่ได้ผลมาก

        ในความเป็นจริงนั้นผมก็เชื่อว่าคนไทย ทุกคนอยากช่วยเหลือชาวนา ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของประเทศไทย แต่ไม่อยากที่จะช่วยคนที่โกงชาวนาเท่านั้นเอง และรัฐบาลก็ต้องเป็นผู้ให้คำตอบกับชาวนา และประชาชนทั้งประเทศได้ เพราะการรับจำนำข้าวเป็น นโยบายของรัฐบาล ซึ่งได้ตั้งงบประมาณไว้สูงมากแต่นำเงินมาให้ชาวนาไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเงินงบประมาณ แล้วเงินที่เหลือหายไปไหน ข้าวที่รับจำนำไว้ก็ไม่ย่อมนำออกมาขาย เป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล
                                            

    
         ประชาชน แห่ถอนเงิน ธ.ออมสิน จนบางสาขาเงินสดหมด บางรายปิดบัญชี หลังไม่พอใจที่ปล่อยกู้ให้ ธ.ก.ส. หวั่นเกิดหนี้เสีย ด้าน วรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผอ.ธนาคารออมสิน ยอมรับลูกค้าถอนเงินผิดปกติ ยืนยันไม่ได้ปล่อยกู้โครงการจำนำข้าว พร้อมสั่งแต่ละสาขาสำรองเงินสดเพิ่ม 1 เท่า

       เงินนั้นไม่เข้าใครออกใคร ใช่เงินต้องใช้ให้เป็น มิฉะนั้น เงินมันจะกลับมาใช้เรา  ทำให้เราทำในสิ่งที่ผิดศิลธรรมได้



                       ธนาคารออมสิน สาขาสะเดา จ.สงขลา ปิดธนาคารหนีแล้ว !!
                         

                                      


       เมื่อเวลา 14.20 น. หลังจากประชาชนหลายร้อยคน ร่วมตัวกันถอนปิดบัญชีกัน จน ผจก.ธนาคาร เผย ทางธนาคาร ไม่สามารถจ่ายเป็นเงินสดได้ เพราะทางธนาคาร เงินหมดเกลี้ยง !!
                                   
                                          _________________________

                                                                  Sampan Chanpa