วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

ตู่ตัวหนังสือ

                                                   





                                                          ตู่ตัวหนังสือ


    


       เมื่อสมัยตอนที่ผมเป็นเด็กนักเรียนประถม ผมเป็นคนชอบดูโทรภาพ หรือ โทรทัศน์ บางทีก็เรียก ทีวีรายการโปรดก็คงจะเหมือนเด็ก ๆ ทั่วไป ไม่การ์ตูน   ก็หนังตลกเรื่องสั้น ๆ เช่นเรื่อง 
อ้วน - ผอม  ลอเลน - ฮาดี้ Laurel and Hardy, ชาลี แชปลิน  Charlie Chaplin, มาในปัจจุบัน การดูทีวี   ของผมเปลี่ยนไป   อาจจะเป็นด้วยอายุ มากเกินไปก็เลยหันมาดูรายการ   ข่าว สารคดี 
ประวัติศาสตร์  แต่รายการข่าวสมัยนี้ทำให้ผมพาลไม่อยากดูโทรทัศน์ไปเลย  หากแต่เพราะว่าสมัยนี้ คนในโทรทัศน์เขาพูดจากันแปลก ๆ  ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ดูแล้วมักจะเก็บมาปวดหัวเปล่า ๆ
                                                
                                                       



      ดาราละครบางท่านก็เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นหญิง หรือชายออกมาให้สัมภาษณ์ Interview เรื่องส่วนตัว ความรัก อกหัก เลิกกัน หรือกลับมาดีกัน บางทีก็เรื่องทำร้ายร่างกาย  นักข่าวถามนิดเดียว แกเล่าเรื่องราว จนละเอียดยิ้บไม่มีการปิดบังเลย ไม่มีการอาย บางทีถึงกับฟ้องร้องกันก็มี สังคมคนบันเทิงเปลี่ยนแปลงไปมาก

    
       อย่างรัฐมนตรีหรือผู้ยิ่งใหญ่ให้สัมภาษณ์ว่ายังงี้ยังโง้น  เสนาะหูนานาประการอยู่หยก ๆ  อ้าว ! วันรุ่งขึ้น บอกซะอีกอย่างแถมยังยืนยันนอนยันว่าผมไม่ได้พูดเสียดื้อ ๆ   งั้นแหละ ทำยังกับคนดูโทรทัศน์เขาตาฝาด หูแชเชือนไปเอง พูดแล้วบอกไม่ได้พูดถ้าผมเป็นนักข่าวคงโดดเตะก้านคอไปแล้ว แต่มาคิดอีกทีผมคงจะล้มก่อนที่เท้าจะไปโดนก้านคอผู้ยิ่งใหญ่ แต่เล็กกว่าโลงศพ  


     ผู้ยิ่งใหญ่บางท่านพอนักข่าวไปมะรุมมะตุ้มถามก็ขึ้นสีหน้าว่าใหญ่เสียมิมี   แล้วก็ทำเสียงสะบัดแบบรำคาญใจนานาประหนึ่งว่าข้านั้นมีปีกมีหางเหาะมาจากชั้นฟ้าไม่เหมือนมนุษย์ (แค่นักข่าวถามเรื่องข้าวผัดกระเพรา เสมือนหนึ่ง ข้าไม่เคยกิน และทนกลิ่นไม่ได้) เดินดินหยั่งพวกเอ็ง  
คนดู ๆ แล้วก็หมั่นไส้ (โว้ย)

                                        


   รายการเดียวทางโทรทัศน์ที่ผมพอจะทนดู (ดูทนเพราะไม่มีอะไรจะดู ) ได้ก็คือรายการข่าวผ่านดาวเทียม เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของบ้านอื่นเมืองอื่นเค้า จะเบื่อหน่ายหายใจขัดไปก็ป่วยการ ทำให้สามารถทนดูได้โดยดุษฎี


   จะข้องใจในดวงจิตอยู่อย่างเดียวก็คือภาษาการแปลข่าวของโทรทัศน์บางสถานี ซึ่งไม่ค่อยจะเป็นภาษาคนอย่างไรก็บอกไม่ถูก

                                       



   อย่างวันหนึ่งมีภาพประธานาธิบดีโอบามา ของสหรัฐเดินเนิบ ๆ ไปไหนก็ไม่รู้และมีคนเดินตามเป็ยพรวนเหมือนเคย  มีภาพห้องประชุม  แล้วต่อมาก็มีภาพโอบามายืนพูดหน้าไมโครโฟนตะโกนซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภาพอันไม่แปลกตา และสามารถจะเป็นภาพประกอบของข่าวอะไรก็ได้ ๑๐๐ แบบ  ด้วยว่าตัวนายโอบามานี้แกไม่เห็นทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน   ข่าวว่าจะไปถล่มซีเรีย  
นอกจากออกมายืนหน้านิ่วคิ้วขมวดตะโกนแล้วก็จีบปากคอพูดอยู่ไปมาทีละยาว ๆ  ใส่แว่นมั่งไม่ใส่แว่นมั่ง  แล้วเขาก็ไม่เปิดเสียงให้เราเดาว่าแกพูดอะไร  แต่ภาษาของข่าวที่บรรยายนั้นก็ไม่เคยทำให้รู้เรื่องขึ้นมาเลย ดีแต่ว่าเดี๋ยวนี้มีตัวหนังสือวิ่งข้างล่างของจอภาพ เลยพอจะเดาเรื่องราวได้บ้าง  นอกจากนั้นยังมีโฆษณาประกอบอีก ยัง ยังไม่พอมีผู้ชมทางบ้านส่งข้อความเข้าไปอีก มั่วไปหมดไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

   เดี๋ยวนี้ผมก็เลยชักจะเริ่มนิสัยใหมในการดูโทรทัศน์  นั่นคือดูเอารูปไม่ได้ดูเอาเรื่อง  แล้วก็เลยสบายใจค่อยหายท้องผูกไปได้หน่อยหนึ่ง    แต่การดูเอารูปนั้นบางทีก็ก่อทุกข์หยุมหยิมซึ่งเป็นที่น่ารำคาญใจ และชวนหงุดหงิดซึ่งแย่ยิ่งกว่าทุกข์ตามอริยสัจจ์คือ  เกิด  แก่  เจ็บ  และตาย  ตามที่พระพุทธองค์ท่านว่า  ทั้งนี้ด้วยว่าตาของคนเราเมื่อรับใช้เจ้าของมาช้านานถึง ๖๐ กว่าปีบางทีมันก็ฟั่นเฟือน เริ่มมีอาการอ่านหนังสือตู่ตัว ดูภาพผู้ชายแล้วนึกว่าผู้หญิง  บางทีดูภาพเมียน้อยนึกว่าเมียหลวง ( ซึ่งก็เป็นที่ปิติปลาบปลื้มของเมียน้อยเจ้าของภาพ ) หรือบางทีดูภาพอะไรแล้วก็ไม่ได้นึกอะไรแต่เห็นเป็นอะไรก็ไม่รู้

                                           


   เรียกว่าเป็นความแปรปรวนของกายสังขารว่ายังงั้นเถอะ   เมื่อเร็ว ๆ นี้ อ่านเมนูอาหาร
ก็ยังงวยงงพิศวง  และสงสัยไปตั้ง ๖๐ นาที


   อ่านเจอ  ข้าวหมูแดงก็เข้าใจ   ข้าวหน้าเป็ดก็เข้าใจ  บะหมี่......รู้เรื่อง   เกี้ยวกุ้งน้ำใส....บ๊ะ ! เข้าใจซิน่า  ทีนี้  พอถึงเกี๊ยวกุ้งน้ำใสทอดกรอบ  โอ้ โฮ !  งงไป ๓๒ วินาที  แล้วก็นึกภาพไม่ออกไปตั้งชั่วโมงว่า  เกี๊ยวกุ้งน้ำใสนั้นเขาจะเอาไปทอดกรอบได้ยังไง   เวลาจะทอดจะเทน้ำทิ้งซะก่อนหรือเปล่า แล้วก็ทอดแล้วมันจะกรอบได้ยังไง ในเมื่อเกี๊ยวกุ้งน้ำใสนั้นน่ะมันแชะแฉะ เฮ้อ !

     จะเขียนว่าเกี๊ยวกรอบไส้กุ้งก็ไม่ได้เราจะได้อ่านเข้าใจ  ให้ดิ้นตายเถอะ !

     พออายุ ๖๐ ไปแล้ว  หูตาก็ชักไม่ว่องไว อย่าว่าแต่สมองเลย  อ่านอะไรรีบ ๆ มันก็จะ
 ตู่ตัวหนังสือ น่ะซิจะอะไรเสียอีก

     เมื่อเร็ว ๆ นี้ขับรถผ่านร้านแห่งหนึ่งขณะที่รถกำลังติด   เหลือบแว่บไปมองโดยไม่ตั้งใจก็เห็นเขาเขียนโฆษณาสรรพคุณไว้เต็มกระจกหน้าร้านแต่ตัวอักษรค้อนข้างเล็ก  แต่เจาะอ่านมาได้ ๒ วรรค เท่านั้นว่า


          ".....ปรับไฟ   จี้ตูด....."


   โอโฮ ! ทีนี้ก็สงสัยเสียมิมีละว่าร้านนี้เขาขายอะไร  ครั้นจะเหลียวกลับไปมองก็พอดีไฟเขียวต้องรีบออกรถ  วันนั้นทั้งวันเลยไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว  เอาแต่ครุ่นคิดว่า ปรับไฟนั้นมันเกี่ยวกับอะไร ก๊ะจี้ตูด ทำไมต้องจี้ และจี้ด้วยอะไร  ไม่จี้ได้ไหม  แล้วจะจี้ทำมัยต้องปรับไฟเสียก่อน ไอ้การ
ปรับไฟนั้นน่ะพอจะเข้าใจอยู่หรอก เพียงแต่ไม่เข้าใจเท่านั้นเองว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกับการจี้ตูด  แล้วตูดน่ะตูดของใคร....กันแน่ ! 

  หรือว่าจะเป็นร้านขายมอเตอร์ไซค์แล้วมีบริการพิเศษคือรับจ้างขี่ (มอเตอร์ไซค์) จี้ตูดรถคันอื่นเล่น ๆ ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ

   เอ ! หรือจะเป็นร้านรับฝึกการจราจรให้รู้จักขี่มอเตอร์ไซค์จี้ตูดรถบรรทุก  โอ้ย ! จะบ้าตาย
คิดทำไมวะนี่ ลองสมมุติแล้วก็ให้พิลึกพิลั่นไปทุกรูปแบบนั่นแหละ  ลองได้ขึ้นชื่อว่าจี้ตูดใครหรือ
จี้ตูดอะไรแล้วละก้อ

    เออ ! ถ้าว่าจี้เอวก็ยังพอจะเอิ๊กอ๊ากน่ารักบ้าง  แต่การจี้เอวคนก็ยังไม่เห็นมีใครเปิดรับบริการ มีแต่ขายสินค้าที่คุณภาพใกล้เคียงคือให้หัวร่อเองโดยไม่ต้องจี้ พวกหนังสือขายหัวเราะทั่ว ๆ ไป

   ตกลงเรื่องปรับไฟแล้วทำไม่ต้องจี้ตูด นี่ก็เลยเป็นเรื่องลึกลับที่คิดไม่ออก  วันนั้นทั้งวันเป็นวันทำอะไรไม่ได้เลย  เอาแต่คิดเรื่องปรับไฟ และไช เอ๊ย จี้ตูดอยู่อย่างนั้น 


  ดึกดืนคืนนั้นเลยต้องลุกขึ้นแต่งตัวรัดกุม ปั่นจักรยาน ออกไปดู ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย พอไปถึงด้อมดูที่หน้าร้านมันเป็นคลินิกหมอเปิดใหม่เส้นทางสายใหม่ สถานที่สร้างปัญหาคับอก เอาไฟฉายส่องดูอย่างพินิจพิเคราะห์จึงเห็นถนัดว่าที่นั่นเป็นร้านหมอและเขาโฆษณาว่า 

" ฉีดวัคซิน ผ่าตัด ขริบไฝ แล้วก็จี้หูด"

  นึกพิลึกพิลั่นไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ แถมยังเสียวก้นอีกต่างหาก ตั้หลายชั่วโมง.....จะบ้า !


                                       



หมายเหตุ  คำว่า "ตู่ " หรือ "ขี้ตู่" ความหมายก็คือ: ท่านคงไปฟังมาจากใครหรืออ่านของใคร           แล้วมา  ขี้ตู่  เอาว่าเป็นของผม, ชอบทึกทักเอาเป็นของตัว
                                         
 V. be apt to make false claims def:[ชอบทึกทักเอาเป็นของตัว] syn:{ขี้ตู่กลางนา} sample:[ท่านคงไปฟังมาจากใครหรืออ่านของใคร แล้วมาขี้ตู่เอาว่าเป็นของผม]
                                           __________________________

                                                                    Sampan Chanpa



























 

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

สิริมงคลตามประสา เซ็น



                             นิทาน ตามประสา เซ็น


                                 


  นิทานที่จะเล่าต่อไปนี้ขอท่านทั้งหลายตั้งใจอ่านและตั้งคำถาม ๆ ต่อตัวท่านเองด้วยผมไม่ได้มีจิตโน้มน้าว  จะแก้ข้อครหา และความเข้าใจผิดของบางคนได้เป็นอย่างดี  ที่กล่าวหาว่าคำสอน เซ็น นั้น ลึกซึ้งนัก เหนือเมฆเกินวิสัย แล้วยังโทษเอาอาจารย์ผู้สอน  ว่าแกล้งยักย้ายคำพูดให้เป็นเรื่องยาก  ทำเอามนุษย์มะนาเขาฟังเป็นของสูงของศักดิ์สิทธิ์ไปเสีย  ที่แท้แล้ว มันกลับกัน  คือทางพุทธศาสนาอย่างเซ็นนั้นต่างหากที่กล่าวซื่อ ๆ ถูกตรงกับความเป็นไปของคนเรา  และพยายามให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ที่สุด  แต่ชาวบ้านเสียอีกมีความอยากความ
ปรารถนำหน้าเป็นเจ้าเรือน  ขี้มักนึกว่าโลกนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง


                                


  เราท่านทุกคน  ย่อมทราบกันดีอยู่แล้ว  ว่าประเพณีดังเดิมในหมู่คนจีน คนเกาหลี คนญี่ปุ่น เขามีความเชื่อถือเหมื่อนกันอย่างหนึ่ง   คือ ทุกบ้านทุกช่องจะจัดที่ไว้แห่งหนึ่งให้เป็นหิ้งสังเวยศักดิ์สิทธิ์ สำหรับไหว้ผี ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้เทพ  ตลอดจนเซ่นไหว้เซียน  ตามแต่จะถือว่าเหี้ยน สามารถดลบันดาลอะไรก็ได้ชะงัดแท้  ตามเสาเรือนที่สำคัญ ๆ ก็นิยมมีกระดาษแถบแดงยาว ๆ เขียนภาษิตที่ลึกซึ้งเป็นคำของนักปราชญ์ให้เห็นเป็นที่สะดุดตา  เพื่อกราบไหว้บูชา ถือว่าเป็นสิ่งอำนวยพร และให้ความเป็นศิริมงคลทุกค่ำเช้า


                                 



  ในญี่ปุ่นสมัยหนึ่ง  ยังมีชายวัย ๖๐ ปี คนหนึ่ง สร้างตนสร้างครอบครัวขึ้นมาด้วยความอุตสาหะ จนได้เป็นเศรษฐี เจ้าของทรัพย์ มีบุตรหลาน และพรั่งพร้อมด้วยยความนับหน้าถือตา มีความเป็นปึกแผ่นของตระกูลทันชั่วชีวิตเดียว  เมื่อเศรษฐีเริ่มเข้าสู่วัยชรา ก็มาคำนึงถึงกาลข้างหน้า อยากจะให้ความมั่งมีศรีสุขอย่างนี้ยั่งยืนไปตลอดกาลนาน  แต่มันมาจนใจตรงที่ว่า ตนเองจะต้องละโลกนี้ไปในไม่ช้าแล้ว ตราบที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังเชื่อว่าตนจะมีวิธีครอง ความเป็นเศรษฐีอย่างนี้ไปได้ไม่ให้เพลี่ยงพล้ำ เพราะตนได้รู้เคล็ดลับในเรื่องนี้มาแล้ว  มายากใจตรงที่ว่าความตายจะมาสะกัดตัดสิทธิ์ไม่ให้เสวยผลจากหยาดเหงื่อ อย่างที่แกไม่มีทางหลีกเลี่ยง  ดูมันไม่เป็นการยุติธรรมของฟ้าดินแม้แต่น้อย  ต่อไปชั่วลูก-ชั่วหลานเล่าจะมีหลักประกันอันใด ที่เขาจะรักษาทรัพย์สมบัติอันมหาศาลอันนี้ไว้ได้ไม่เสื่อมถอย ตลอดเวลาที่แกยังนึกหาช่องทางที่ให้ความมั่นคงในอนาคตจนเป็นที่อุ่นใจเพียงพอไม่ได้ เศรษฐีจะนอนตายตาไม่หลับ


                                


  หลังจากใคร่ครวญ  หาช่องทางไปทุกอย่างทุกวิธีอยู่นานหลายปี  ตามประสาของแกที่มีระดับการศึกษา และมันสมองเพียงเท่านั้น  ก็พบว่าไม่มีช่องทางใดที่ทำให้แกแน่ใจได้ เพราะไม่มีอะไรจะอยู่คอยช่วยคุ้มไปได้หลาย ๆ ชั่วคน  มีหวังอยู่ทางเดียวก็คือหันหน้าเข้าหาทางพระ  ทางอภินิหารศักดิ์สิทธิ์ เพราะนี่แหละจะคงมีอำนาจที่มองไม่เห็นตัว  แต่สามารถทรงอยู่เพื่อดำรงให้ความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้ามภพข้ามชาติ  ไม่ว่ากี่ชั่วอายุคน แม้ลูกหลานที่อยู่ในเวลานี้จะล้มหายตายจากไปแล้วก็ตาม ลูกหลาน  ของลูกหลานต่อ ๆ ไป ก็จักสามารถรักษาความเป็นมหาเศรษฐีนี้ไว้ได้เรื่อยไป  ในเวลานั้นทางพุทธศาสนา ก็ไม่มีใครเกินกว่า  หลวงพ่ออาจารย์ใหญ่ฝ่ายเซ็นชื่อ ซีนก่าย ผู้เป็นพระเถระยิ่งใหญ่เป็นที่กราบไหว้ของมหาชนทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นครูบาอาจารย์ของบ้านของเมืองทีเดียว



                               


  เศรษฐีจึงเข้าไปบอกความตีบตันหัวใจทั้งหมดโดยตลอด และขอให้หลวงพ่อได้ช่วยเขียนเจิมตัวคาถา เพื่อจะเป็นมหาสิริมงคล  บันดาลให้จำเริญมากมูลยิ่ง ๆ ทำมาค้าขึ้น ทั้งในเวลานี้ และในภายภาคหน้า ชั่วลูกชั่วหลานตราบเท่าที่คาถาวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อ จะสถิตอยู่อำนวยความศักดิ์สิทธิ์คุ้มมครอง เป็น พรอันประเสริฐตลอดไป  ฉะนั้นจึงขอนิมนต์หลวงพ่อไปทำพิธี และฉันอาหารบิณฑบาตที่บ้าน


                               


  ในวันพิธี เศรษฐีได้เชิญแขกเหรื่อ รวมหมดทั้งที่เป็นญาติ และมิใช่ญาติมากมาย โดยเฉพาะเกณฑ์ลูกเกณฑ์หลานเหลนทุกคนให้อยู่พร้อมหน้ากัน  กิจธุระทุกอย่างให้พักไว้ก่อน พอถึงเวลา หลวงพ่อท่านก็รับม้วนกระดาษแดงมาคลี่  เอาพู่กันจุ่มน้ำหมึกอย่างไม่มีพิธีรีตอง  วินาทีนั้นทุกคนพากันอึดลมหายใจไปตาม ๆ กันต่างก็พุ่งจิตใจทั้งหมด ไปยังปลายพู่กันอันทรงพลานุภาพเร้นลับนั้น  ดูทีว่าหลวงพ่อท่านจะลากน้ำหมึกให้เป็นตัวอักษรมงคลว่าอย่างไร.......


  และแล้วหลวงพ่อก็ป้ายน้ำหมึกไขว้ไปไขว้มาอย่างรวดเร็วเป็นตัวอักษร ๓ ตัว เรียงจากบนมาล่าง  ข้อควมาดังมีนี้

ให้พ่อแม่ ตายก่อน

แล้ว  ลูกตาย

และ หลานเหลน จึงตาย !!!!


ทุกคนปากอ้าตาค้าง  ตัวท่านเศรษฐีหันมาทางหลวงพ่อ ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้  จะต่อว่าอะไรหลวงพ่อก็ไม่ได้  เพราะท่านเป็นพระผู้ใหญ่  เกินกว่าจะมีใครกล้าฮึดฮัดไม่พอใจ  เศรษฐีได้แต่หลุดปากออกมาคำหนึ่งว่า  "โอย! หลวงพ่อครับ?" แล้วเสียงก็หายเข้าไปในลำคอ เงียบนิ่งไปหมด


  หลวงพ่อซีนก่าย   เห็นเป็นโอกาสแสดงธรรมในเวลาอันถูกกาละเทศะที่สุด ในเมื่อมีลูกหลาน
อยู่พร้อมหน้า  และทุกคนกำลังฟังท่านอยู่ทีเดียว ท่านเริ่มเอ่ยเสียงเป็นปกติว่า

  " ลูกเอ๋ย ! พ่อมิได้หยอกล้อ  ทำเป็นเล่นเลย  อันว่า ตาย นี้แหละเป็นเรื่องจริงที่ใคร ๆ จะหลีกไม่ต้องให้พบนั้นไม่ได้  ฉะนั้นพรที่พ่อให้ลูกทั้งหลายจะไปขัดไปฝืนกับตายไม่ได้  ถ้าได้ก็จะเป็นขัอเท็จ  ไม่สำเร็จเป็นพรเป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์ไปเสียละซิ  มีแต่ว่าหากจะตายก็ขอให้ตายเรียงกันก่อนหลังยังพอทำเนา  ความทุกข์เท่าที่เป็นคนอยู่ทุกวันนี้ ก็มีอยู่มากหนักแปร้อยู่แล้ว พวกเจ้าทั้งหลายอย่าต้องมาเสียน้ำตา ด้วยความทุกข์ปริเทวนาการแสนสาหัสในเมือมีลูกมีหลานมาด่วนตายไปก่อนตนอีกเลย เหตุการณ์ที่จะให้แต่ทุกข์ระทมหม่นไหม้ทับทวี อันเกิดจากที่มา
ชิงตายไม่เป็นส่ำ  ลูกมาตายก่อนพ่อก่อนแม่  หลานมาตายก่อนตาก่อนยายก่อนปู่ก่อนย่านั้น
ถ้าบันดาลให้คลายไม่ต้องพานพบได้  พ่อถือว่าเป็นพร  และเป็นสิริมงคล ของวงศ์ตระกูลแน่แท้ "


                                    



  ต่อจากนั้น  หลวงพ่อซีนก่าย  ก็แสดง มหาศิริมงคล ในที่ชุมนุมนั้นยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก กล่าวคือ
ให้ทุกคนรู้จักว่า เงิน นั้นมันคืออะไรแน่  จะทำอย่างไรกับมันจึงจะได้ประโยชน์มหาศาล และการจะเป็นคนมีเงินโดยไม่ต้องเป็นทุกข์นั้นทำอย่างไร  หลวงพ่อซักไซ้ถวนถามอยู่เป็นนาน
แสดงให้ทุกคนในที่นั้นรู้ชัดว่า  วิธีที่จะทำกับ เงิน นั้น ได้มีสอนในพุทธศาสนาทั้งสิ้น  ในที่สุด
ได้ทำให้หลายคน  รวมทั้งท่านเศรษฐีด้วย ได้กลายเป็น เศรษฐีจริง ชนิดที่ไม่ต้องทุกข์เพราะเงินอีกต่อไป  เป็นปาฏิหาริย์อย่างเห็นกันสด ๆ ร้อน ๆ นิทานก็จบแล้วครับ

 
                                  


ภาคผนวก


  จากเรื่องที่เล่ามานี้  ท่านจะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นปัญหาหนักหน้าของบุคคลชั้นที่มีอันจะกิน
ทั่วไป  ฉะนั้นใครที่ไม่มีโชคเป็นเศรษฐี ก็จงรู้เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งเถิดว่าในวงของเหล่าชนผู้ที่
โลกเรียกว่า  เศรษฐี  นั้น  เขาพบปัญหาในหมู่พวกเขาอย่างไร  เงินนี่แหละมันคืออะไรกัน?
มันมิใช่เป็นเพียง อีแป๊ะ ธรรมดา ๆ ที่นำเอาออกมานับเพื่อชื่นใจเท่านั้น  มันยังมีอะไรสิงอยู่ในนั้น  สำหรับจะกดถ่วงหัวใจใครต่อใครได้ด้วย  ทำให้เขาคนนั้นเป็นผู้หมดความสุข ทั้ง ๆ ที่คน
อื่นพากันอิจฉานึกว่าได้ดีไปแล้ว  อย่างตัวอย่างเศรษฐีในนิทานเรื่องนี้ว่าที่จริงก็น่าเห็นใจ เพราะไม่ว่าทุกกาลทุกสมัย  ต้องมีคนคิดอย่างแกนี้แน่นอน  และมีปัญหาตีบตันใจอย่างนี้แน่นอน  เว้นแต่จะพูดหรือไมม่พูดให้ใครรู้เท่านั้น  แกอยากจะให้แกมีชีวิตอยู่ค้ำฟ้า ถ้าค้ำฟ้าไม่ได้ เงินทองจำต้องหลุดลอยจากมือแก  ก็อยากมีอะไรมาเป็นหลักประกันมั่นคง ที่สามารถอยู่
ค้ำฟ้า คอยช่วยคุ้มกันมิให้ ความเป็นเศรษฐีนั้นเสียหายละลายจากในชั้นลูกชั้นหลานของแก
ความจริงแกก็คิดถูกทางของแกแล้ว  คืออย่างน้อยก็ไม่เตลิดไปเป็นพวกนิยมวัตถุชนิดไม่มีศาสนา  แต่ด้วยพื้นความรู้ของแก ทำให้แกคิดได้สูงสุดเพียงจะพึ่งพุทธศาสนาในแง่ที่จะช่วยบันดาลให้แกปราถนาจะได้จริงหรือไม่ ด้วบวิธีใด แกไม่คำนึง เพราะสุดแรงคิดของแกเพียงได้เท่านัน  บัญเอิญแกไปพบพระที่เป็นพระจริงไม่เออ ออคอยเอาใจคนมีเงิน  จึงทำให้เรื่องทุกเรื่องกระจ่างแก่เศรษฐีจนถึงที่สุด จึงเป็นเรื่องจริงที่เล่ากันมาจนทุกวันนี้


  ดูเอาเถิดท่านทั้งหลาย  ช่างไปเหมือนแพทย์โรคจิตในปัจจุบัน ที่เขาทำช็อคแก่คนไข้ที่กระหือรือตึงตัง  เอาไว้ไม่อยู่  อาจารย์เซ็นก็มีวิธีทำช็อคแก่ผู้เมาวัตถุเหมือนกัน  คนพวกนี้มีความคิดแค่โลก ๆ คิดเรื่องอะไรก็ไปติดแค่เรื่องเนื้อหนังทุกที จนไมมีช่องโอกาสได้คิดขุดลึกลงไปแม้นิดเดียว เห็นอะไรทุกสิ่งรู้จักอะไรทุกอย่างเพียงผิว ๆ แล้วก็ป้วนเปี้ยนหลงคิดนึกอยู่
แต่กับสิ่งที่ล่วงอย่างยิ่งเหล่านั้นไปจนตาย  อุบายวิธีของท่านอาจารย์ จูงพวกที่โลภจัดอย่างเศรษฐีเหล่านั้น ไปชนกับความจริงที่แท้จริง  กล่าวคือความตาย  เหมือนเรือลากจูงฉุดเอาเรือพ่วงให้แล่นฉิว แล้วหลบปล่อยให้บรรดาเรือที่ถูกจูงชนเข้ากับตลิงอย่างจัง ความเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน  ท่านอาจารย์ซินก่ายทำให้ทุกคนชนเข้าโดยแรง กลบสิ่งที่ทุกคนพยายามหลีกเลี่ยง
ปลุกให้เขารู้เสียทีหนึ่งก่อน ถึงธรรมชาติ-ธรรมดาใคร ๆ ก็รู้ แต่ก็ไม่วายเข้ากับตัวเอง เลี่ยงไม่ยอมคิดความที่ต้องตาย ปล่อยให้ตัวเองหลอกตัวเอง  ไม่กล้าเผชิญเรื่องที่เป็นจริง


  หลังจากทุกคนเปลี่ยนระดับความรู้สึก  ตั้งอยู่บนฐานอนิจจังทุกขัง ของทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
ท่านอาจารย์ก็มอบ มหาสิริมงคลให้ในตอนหลัง คือธรรมะชั้นสูง กล่าวคือ อนัตตา ที่จะทำให้
บุคคลรู้จักทำกับทุกสิ่งได้ถูกต้องโดยไม่ต้องเป็นทุกข์  ในที่นี้เอาเงินเป็นวัตถุสำหรับกล่าวเป็นตัวอย่างหากรู้จักเงินถึงที่สุดเพียงอย่างเดียว ก็เท่ากับรู้จักสิ่งอื่น ชื่ออื่น กระทั้งรู้จักชีวิตนี้โดยสิ้นเชิง  นับว่าบุคคลคนนั้นกลายเป็นคนไม่อัตคัดขาดแคลนความสุขไปจนตาย แม้จะอยู่ปะปน
ไปกับหมู่ชนที่เขามัวงมระทมทุกข์  เพราะไม่รู้จักอะไรอย่างแท้จริงในโลกนี้


  ในพุทธศาสนา  สอนให้ทุกคนที่ใคร่จะได้ชื่อว่ารู้อะไร (เช่นรู้จักเงิน) ให้ถึงที่สุด เขาจะต้อง 
รู้จักดังต่อไปนี้ คือ


     ๑. ให้รู้จัก  เงิน  นั้น ตามประสาโลกให้ทุกแง่ทุกมุม (อย่างเช่นเคล็ดที่เศรษฐีผู้รู้จักสร้างตัวเองคนนี้รู้)

     ๒. ให้รู้จัก เงิน ในแง่ที่มันจะอำนวยผลในข้างดี อะไรได้บ้าง กี่อย่าง กี่ทาง ทั้งที่เห็นได้และ
เร็นลับ

     ๓. ให้รู้จัก เงิน ในแง่ที่มันทำพิษ  ให้ผลข้างไม่น่าชอบใจ ร้ายกาจทางไหนอย่างไร กี่ทาง

     ๔. แล้วจึงให้รู้จักลู่ทางที่จะทำกับมันให้ถูกต้องตามที่โลกเขาสมมติด้วย, แล้วเสวยผลอันเกิดจากที่เงินจะพึงบันดาลในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตให้ครบถ้วนสูงสุดด้วย, แล้วยังมีวิธีทำจิตทำใจ  ต่อสิ่งที่เรียกว่า เงิน นั้น มิให้มันมาเป็นเราของเรา ด้วยความที่เห็นมันอยู่  ว่าเป็นอนัตตาด้วย ขอผู้มีอันจะกินทั้งหลาย จงปลอดภัยด้วยอุบายวิธีของพระพุทธเจ้าอย่างนี้
ด้วยกันทุกคนเถิด !! และผู้ที่ไม่อยู่ในข่ายของ  ผู้มีอันจะกิน ก็ขออย่าได้ประมาท อย่าจัดตัวเองให้น้อยหน้าไปกว่าคนอื่นได้  มิฉะนั้นจะกลายว่าเป็นคนขาดทั้งทรัพย์ทางโลก  และทั้งอริยทรัพย์  ด้วยประการฉะนี้


                                    






                                        --------------------------------
                                                 สัมพันธ์ จันทร์ผา