วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บันทึกของวันวลิต



                                                   บันทึกของวันวลิต

     ท่านผู้อ่านที่รัก....จากหนังสือพระราชพงศาวดาร  เราท่านย่อมทราบกันดีว่า  สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า  ของพวกเราชาวไทยนั้น  เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของ  สมเด็จพระมหาธรรมมาธิราช  ที่ประสูติแต่  สมเด็จพระวิสุทธิกษัตรีย์  พระราชธิดาของ  สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ  และ  สมเด็จพระนางเจ้าศรีสุริโยทัย  แต่ที่ไม่ค่อยจะทราบทั่ว ๆ ไปกันนั้นก็คือ นอกจากสมเด็จพระวิสุทธิกษัตรีย์พระราชมารดาที่แท้จริงแล้ว  สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้ายังทรงมีพระราชมารดาบุญธรรมอยู่อีกท่านหนึ่ง


     พระราชมารดาบุญธรรมของสมเด็จพระนเรศวรท่านนี้  เป็นเพียงหญิงสามัญชนธรรมดา ๆ แต่ทีมีบุญวาสนาได้ดำรงตำแหน่งนี้ก็เพราะพระพรหมลิขิตให้เป็นไป  นักเขียนชาวฮอลันดาผู้หนึ่งชื่อ  แวน  ฟลีท  หรือที่ออกเสียงเป็นสำเนียงไทยว่า  วันวลิต ซึ่งเข้ามาทำงานเป็นหัวหน้าสำนักงานของบริษัทอิสต์อินเดีย  ของฮอลันดาในสมัย  พระเจ้าปราสาททอง  คือในระหว่างปี พ.ศ. ๒๑๗๓  ถึง พ.ศ ๒๑๙๓  ได้ทำบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า



     .....คืนหนึ่ง  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จอยู่ในเรือเล็กในลำน้ำขณะนั้นได้บังเกิดพายุใหญ่ฝนตกหนัก  จนพระองค์ไม่สามารถจะเสด็จ  กลับพระราชวังได้......จึงได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นจากเรือเสด็จไปยังกระท่อมหลังหนึ่ง  ซึ่งมีหญิงชราที่ยากจนอาศัยอยู่  โดยที่หญิงชราผู้นั้นมิได้รู้จักพระองค์มาก่อน  เมื่อเสด็จเข้าไปในกระท่อมนั้นแล้ว  ก็ทรงตรัสออกมาด้วยพระสุรเสียงอันดัง  ฝ่ายหญิงชราได้ยินพระสุรเสียงอันดังก็ตกใจกลัวเป็นยิ่งนัก  กล่าวว่า  ลูกเอ๋ย  เจ้าไม่รู้หรือว่าพระเจ้าอยู่หัวของเรา  พระองค์อาจเสด็จประทับอยู่ใกล้ ๆ นี้ก็ได้......!



     ......สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงดังเช่นเดิมว่า  แม่เอ๋ย  แม้พระเจ้าอยู่หัวจะได้ยินเสียงของข้าก็ช่างปะไร  ถึงจะลงอาญาประหารชีวิตข้าเสียก็เป็นไรมี  ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เป็นคราวเคราะห์ร้ายของข้าเอง  คนอื่น ๆ ก็เคยได้รับเคราะห์เช่นนั้นมาแล้วมากต่อมาก  ใครจะได้รู้ตัวมาก่อนก็หาไม่.....



     ......หญิงชราผู้เป็นเจ้าของกระท่อมได้สดับพระสุรเสียงแล้วก็ยิ่งตกใจกลัว  รีบทรุดตัวลงแทบพระยุคลบาท  แล้วกล่าวคำวิงวอนด้วยความประหวันพรั่นพรึงว่า  ขออย่าให้กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยถ้อยคำเช่นนั้น......



     ......หญิงชรากล่าวด้วยว่า  เทพยดาฟ้าดินได้ส่งพระองค์ลงมาให้แก่พวกเราทั้งปวงแล้ว  ฉะนั้นพระองค์จะกระทำกรรมชั่วใด ๆ มิได้  เทพยาดาได้ส่งพระองค์ลงมาให้ลงพระราชอาญาและัให้ทรงตัดสินบาปกรรมของคนอย่างเรา   พวกเราจึงควรจะต้องอยู่ในโอวาทของท่านผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน.......



     ......ยิ่งแม่เฒ่าอ้อนวอนต่อพระองค์  ให้ลดพระสุรเสียงลงเพียงใด  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยิ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงดังขึ้นทุกที  จนในที่สุดหญิงชรานั้นก็ได้ร้องขอให้พระองค์รีบเสด็จออกจากบ้านตนไปเสีย  เพราะถ้าหากประทับอยู่ต่อไป  ตนเองก็จะร่วมเป็นโทษด้วย



     ......สมเ้ด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงตรัสตอบต่อแม่เฒ่าว่า  พระองค์เสด็จไป  แต่จะขอน้ำจันท์เสวยก่อน.....


     ......หญิงชราได้ยินเช่นนั้นก็ตอบว่า  ลูกเอ๋ย  เจ้าก็รู้อยู่  เทศกาลนี้เป็นเทศกาลเข้าพรรษา เมื่อยังอยู่ในพรรษาฉะนี้แล้ว  ผู้ใดจะล่วงพระราชอาญาหาซื้อเหล้ามาดืมหาได้ไม่......


     .......แต่ถ้าเจ้าต้องการเสื้อผ้าที่แห้ง ๆ อย่างที่แม่นุ่งห่มอยู่นี้แล้ว  แม่ก็จะหาให้  แม่จะซักแล้วตากเสื้อที่เจ้านุ่งอยู่ให้แห้ง  เจ้าจงเข้าไปพักผ่อนนอนหลับเสียก่อนเถิด.....


     ......สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยอมรับผ้าผ่อนจากหญิงชรานั้นมาผลัดพระภูษาทรง  แล้วมอบพระภูษานั้นแก่หญิงผู้นั้นไปซักตากให้แห้ง  แต่ก็ยังคงตรัสเรียกเอาน้ำจันท์มาเสวยอยู่ดีตรัสว่าไม่มีพระราชประสงค์จะให้ข้อพระราชกำหนดอันเคร่งครัดของพระเจ้าแผ่นดินดังกล่าวนั้นมาผูกมัดพระองค์  หญิงชรานั้นจึงจำใจรินสุราใส่ถ้วยมาถวายแล้วสาบานว่าสุรานั้นตนได้ซื้อหามาไว้ตั้งแต่ก่อนเทศกาลเข้าพรรษา  เมื่อเข้าพรรษาแล้วก็ไม่ได้ดืมสุรานี้เลย  และเมื่อหญิงชราถวายสุราต่อพระเจ้าอยู่หัวพล่างก็ขอสัญญาจากพระองค์ไปพล่างว่า  จะมิทรงแพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้ใดทราบ......


      ( หมายเหตู  อ่านบันทึกของวันวลิตถึงตอนนี้มีข้อน่าคิดและน่าสังเกตได้สองอย่าง อย่างแรกก็คือ  สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าของเรานั้นก็ทรงโปรดเสวยน้ำจันท์เช่นเดียวกับสมเด็จพระเจ้าตากสิน  อย่างที่สอง ก็คือหญิงไทยในอดีตมีความก้าวหน้าในเรื่องสุรายาเมามาตั้งแต่โบราณกาล  มิพักแต่จะตะบันหมากตะพึดตะพืออยู่แต่เพียงอย่างเดียว )



     .....ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัว  เมื่่่่่่อเสวยน้ำจันท์แล้ว  แม่เฒ่าก็นำพระองค์ไปบรรทมบนเสื่อผืนเล็กของตน  แล้วจึงนำเอาพระภูษาทรงไปซักและย่างไฟให้แห้ง  เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรรทมตื่น  ก็ทรงผลัดพระภูษาที่แห้งแล้ว  ตรัสขอบใจหญิงชราแล้วทรงอำลา  แม่เฒ่ากล่าวว่า  ลูกเอ๋ย  เจ้าจงอยู่ที่นี่จนสว่างเสียก่อนเถิด  หรือถ้าจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ก็จงพายเรือไปเงียบ ๆ  อย่าให้มีเสียงดังไปถึงพระกรรณของพระเจ้าอยู่หัว  โทษภัยจะมีมาถึงตัวลูก  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสตอบว่า  ข้าจะทำดังว่านั้น แล้วก็เสด็จด้วยเรือเล็กตรงไปยังหมู่ตำรวจที่มาลอยเรือคอยอารักขาอยู่ไม่ไกลจากกระท่อมของหญิงชราผู้นั้น......


     วันวลิต  เขียนเล่าต่อไปอีกว่า


     ......ในวันรุ่งขึ้น  สมเด็จพระเจ้าอยูหัวก็มีพระราชดำรัสสั่งให้จัดเรือกัญญามีบุษบกไปรับหญิงชรา  ณ  กระท่อมน้อยที่พระองค์เสด็จมาประทับแรมเมื่อคืนก่อน  เรือกัญญาลำนี้เป็นเรือพระที่นั่งทรงของสมเด็จพระราชชนนี  ที่ทรงใช้งานในพระราชพิธีเต็มยศใหญ่  พระภูษาที่ทรงในคืนนั้น  ก็ให้อัญเชิญไปในเรือพระที่นั่ง  พร้อมกับมีพระราชดำรัสสั่งมหาดเล็ก  ให้นำพระภูษาทรงดังกล่าวไปแสดงต่อหญิงชราผู้นั้น  แล้วให้นำเอาตัวหญิงชราผู้นั้นเข้ามาเฝ้าพระองค์....



     .......ฝ่ายหญิงชราผู้นั้น  เมื่อเห็นมหาดเล็กพากันเดินเข้ามาหาตนก็ตกใจจนตัวสั่น  คิดว่าพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงทราบถึงเหตุที่เกิดขึ้นในบ้านของตนเองในตอนกลางคืนที่ผ่านมา  ถึงแม้ว่ามหาดเล็กจะปลอบประโลมว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสใช้ให้มารับ  หญิงชราก็มิได้เชื่อว่าตนจะพ้นพระราชภัย  เฝ้าแต่วิงวอนให้มหาดเล็กกลับไปกราบบังคมทูลว่า  ตนได้ตกใจตายเสียแล้ว.....


     ........และด้วยอาการอันน่าสมเพชในขณะนั้น  แม่เฒ่าคิดอยู่แต่เพียงว่า  จะหนีไปพึ่งพระสงฆ์ให้ช่วยชีวิตของตนไว้  แต่เหล่ามหาดเล็กก็มิได้ฟังเข้าเกาะกุมเอาตัวแม่เฒ่าไว่้โดยอาการสุภาพน้อบน้อมช่วยกันแต่งกายให้  แล้วนำขึ้นเรือกัญญาแจวมายังพระราชวังและนำขึ้เฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.....



     .......เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรเห็นหญิงชรานั้นแล้ว  ก็เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปรับมือแม่เฒ่า  แล้วตรัสว่าพระองค์คือคนที่เข้าไปนอนค้างคืนในกระท่อมของนาง  และแม่เฒ่านั้นได้มีอุปการคุณแก่พระองค์ถึงกับรับพระองค์เป็นบุตร  ฉะนั้น  ตั้งแต่เพลานี้เป็นต้นไป    เราจะเรียกท่านว่าแม่  และจะรักท่านเช่นเดียวกับมารดาบังเกิดเกล้าของเรา 


     มีพระราชดำรัสดังนี้แล้ว  ก็ทรงมีรับสังให้จัดตำหนักในพระราชวัง  ให้หญิงชราผู้นั้นได้พำนักอาศัย  แล้วทรงอุปการะเลี้ยงดูจนหญิงชราผู้นั้นถึงกาลเวลาแห่งตน  ประดุจว่าทรงเป็นพระราชมารดาของพระองค์โดยแท้จริง  เมื่อหญิงชรานั้นล่วงลับดับขันฑ์ไปก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระราชทานเพลิงศพเช่นเดียวกับพระบรมศพพระอัครมเหษีของพระองค์


         เรื่องของแม่เฒ่าผู้โชคดีก็เอวังลงด้วยประการฉะนี้    
     



    

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รายได้รายมีของข้ารัฐการทั่วโลก (ปี ๒๕๓๖ )


                                                        รายได้รายมี

     ในปี..ค.ศ. 1993 หรือปี ๒๕๓๖ ที่ผ่านมานานแล้ว มีผู้อยู่ไม่เป็นสุข ๆ กับเขา  ไปแสวงหา่ตัวเลขเกี่ยวกับรายได้รายมีของคนอเมริกา เอาตีแผ่ให้เห็นกันจะจะดังนี้

        
         ประธานาธิบดีคลินตัน ได้รับค่าจ้างให้เป็นประธานาธิบดีคิดเป็นรายวันแล้วก็ตกอยู่ราว ๆ วันละ หนึ่งหมื่นสามพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าบาทไทย ( ๑๓,๗๗๕ บาท )
    
         รองประธานาธิบดีแอล. กอร์   ได้วันละหนึ่งหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยเจ็ดสิบบาท ( ๑๑,๔๗๐ )

         รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ ได้เท่ากัน คือได้วันละ เก้าร้อยสี่บาทกับสี่สิบห้าสตางค์ ( ๙๐๔.๔๐ บาท)

          สมาชิกวุฒิสภา  ได้ค่าจ้างวันละ  แปดพันแปดร้อยแปดสิบห้าบาท ( ๘,๘๘๕ บาท )

          ประธานวุฒิสภาโรเบอร์ท  เบิร์ท ( Robert Byrd )  ได้วันละ  เก้าพันแปดร้อยห้าสิบบ
  ( ๙,๘๕๐ บาท )
         
          สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้วันละ   แปดพันเก้าร้อยยี่สิบบาท ( ๘,๙๒๐ บาท )

          ประธานรัฐสภาผู้แทนราษฎรทอมมัส  เอสโฟลีย์ (Thomas  S. Foley ) ได้วันละ  หนึ่งหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบแปดบาทขาดตัว ( ๑๑,๑๕๘ บาท )


          ประธานศาลสูงสุดซึ่งถ้าเทียบกับของไทยเราก็คือประธานศาลฎีกา  คนปัจจุบันคือท่านประธานคลาเรนซ์  ทอมมัส ( Clarence  Thomas ) ได้รับค่าจ้างเท่า ๆ กันกับ  ท่านประธานรัฐสภาโฟลีย์   ท่านอธิบดีศาลอุทรณ์ซึ่งเป็นสตรีชื่อ เฮเลน  ดับบลิว  นีส์ ( Helen W. Nies )  ได้เก้าพันสี่ร้อยห้าสิบหกบาทต่อวัน ( ๙,๔๕๖ บาท ) ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลทั่ว ๆ ไปได้วันละแปดพันเจ็ดร้อยสิบสองบาท ( ๘,๗๑๒ บาท )


        ผู้ว่ารัฐการที่ได้ค่าจ้างแพงที่สุดคือผู้ว่ามาริโอ  เอ็ม. คูโม ( Mario M. Coumo ) คือได้วันละแปดพันเก้าร้อยห้าสิบสี่บาท ( ๘,๙๕๔ บาท ) 

        ผู้ว่ารัฐการที่ได้รายได้น้อยที่สุดคือ  ผู้ว่าจิม  จี. ทัดเกอร์ ( Jim G. Tucker ) แห่งรัฐอาร์คันซอส์ คือได้รับเพียงวันละสองพันสี่ร้อยสิบบาท ( ๒,๔๑๐ บาท )  

      ค่าจ้างเฉลี่ยของผู้ว่าทั่ว ๆ ไปตกอยู่ประมาณวันละ ห้าพันหนึ่งร้อยหกสิบห้าบาท ( ๕,๑๖๕ บาท ) 

     วิศวกรอวกาศอเมริกามีรายได้วันละ  สี่พันกับห้าบาท (๔,๐๐๕ บาท ) 

     อาจารย์มหาวิทยาลัยวันละ  สามพันห้าร้อยห้าสิบห้า  ( ๓,๕๕๕ บาท )

     แพทย์ หรือหมอได้วันละ  สามพันสี่ร้อยสิบห้าบาท  ( ๓,๔๑๕  บาท )

     พยาบาล ได้วันละ  สองพันแปดร้อยสี่สิบห้าบาท  ( ๒,๘๔๕ บาท )

     บุรุษไปรษณีย์ ได้วันละ  สองพันหกร้อยสี่สิบบาท ( ๒,๖๔๐ บาท ) 

     ครูโรงเรียนประถม ได้ค่าจ้างวันละ สองพันสี่ร้อยเก้าสิบบาท ( ๒,๔๙๐ บาท )

     ช่างประปา  ได้ค่าจ้างวันละ สองพันสี่ร้อยเจ็ดสิบห้าบาท (๒,๔๗๕ บาท )

     ช่างฟิตรถยนต์  ได้ค่าจ้างวันละ หนึ่งพันแปดร้อยเก้าสิบห้าบาท (๑,๘๙๕ บาท)

     คนขับรถประจำทาง ได้ค่าจ้างวันละ หนึ่งพันแปดร้อยสี่สิบบาท  (๑,๘๔๐ บาท)

     พนักงานรับโทรศัพท์ ได้ค่าจ้างวันละ หนึ่งพันห้าร้อยสี่สิบบาท  (๑,๕๔๐ บาท)
         
     นักการภารโรง ได้ค่าจ้างวันละ หนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบห้าบาท (๑,๔๕๕ บาท)

    ลูกจ้างร้านขายของชำ ได้ค่าจ้างวันละ หนึ่งพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าบาท (๑,๑๗๕บาท)

     พนักงานรับใช้ตามร้านอาหาร ได้ค่าจ้างวันละ หนึ่งพันสิบห้าบาท (๑,๐๑๕บาท)   


     และถ้าจะแบ่งเกรดของคนอเมริกันออกเป็นสามเกรด  คือเกรดที่หนึ่งคนรวย  เกรดที่สองคนธรรมดา  และเกรดที่สามคนจน     และ  คนอเมริกันเกรดที่หนึ่งมีรายได้เฉลี่ยวันละ หกหมื่นสี่พันหกสิบห้าบาท (๖๔,๐๖๕บาท)     คนอเมริกันเกรดที่สองมีรายได้เฉลี่ยวันละ สามพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าบาท (๓,๑๗๕บาท) คนอเมริกันเกรดที่สามมีรายได้เฉลี่ยเพียงวันละเจ็ดร้อยเก้าสิบบาท (๗๙๐ บาท) เท่านั้นเอง คือได้เท่ากับนายพลของประเทศสารขัณฑ์ จึงจำเป็นต้องไปของานพิเศษทำกับท่านขุนส่า


      ส่วนคนจำพวกเต้นกินรำกินนั้น  ไมเคิล  แจ็กสัน (ตอนนั้นยังไม่เสียชีวิต) มีรายได้สูงสุด  คือมีรายได้คิดเฉลี่ยเป็นรายวัน  วันละสี่ล้านหนึ่งแสนเก้าพันห้าร้อยเจ็ดสิบห้าบาทถ้วน ๆ (ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ นะครับ) ลองเอา ๓๖๕ วัน คูณเข้าไปก็แล้วกัน ว่้าเป็นเงินเท่าไหร่ต่อปี คิดแล้วจะหงายหลังตกเก้าอี้


     ทีนี้ก็ลองหันมาดูรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อวันของคนธรรมดาสามัญ  คือคนที่ถ้าจะเปรียบให้ฟังอย่างไทย ๆ ก็คือคนเดินดินกินข้าวแกง  ของชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจกันบ้างคนสวิส มีรายได้เฉลี่ยวันละ สองพันสี่ร้อยสี่บาท(๒,๔๐๔บาท) คนญี่ปุ่นได้วันละหนึ่งพันแปดร้อยเจ็ดสิบสองบาท(๑,๘๗๒ บาท)  คนแคนาเดียนได้เท่า ๆ กับคนเยอรมัน คือได้วันละหนึ่งพันสี่ร้อยเจ็ดสิบสองบาท(๑,๔๗๒ บาท) คนฝรั่งเศส ได้น้อยลงมานิดหน่อย คือได้วันละหนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบบาท(๑,๔๕๐บาท) แต่ก็ยังดีกว่าคนอังกฤษที่ทำมาหาได้เพียงวันละหนึ่งพันสองร้อยกับห้าสิบบาทเท่านั้น (๑,๒๕๐บาท)


    สำหรับคนเอเชีย  คนบรูไน มีรายได้มากกว่าคนชาติอื่น ๆ คือมีรายได้เฉลี่ยวันละหนึ่งพันหนึ่งร้อยเก้าสิบแปดบาท (๑,๑๙๘ บาท) ได้มากเกือบจะเท่า ๆ คนอังกฤษ แต่สนนราคาค่าครองชีพของคนบรูไนถูกกว่าคนอังกฤษถึงสองจุดแปดเท่า  คนฮ่องกง มีรายได้สูงติดตามคนบรูไนอย่างใกล้ชิด คือมีรายได้วันละหนึ่งพันหนึ่งร้อยสิบห้าบาท (๑,๑๑๕ บาท) คนไต้หวัน ได้วันละเจ็ดร้อยบาท(๗๐๐ บาท)ขาดตัว  


     คนเกาหลีใต้มีรายได้วันละสี่ร้อยสิบสี่บาทห้าสิบสตางค์ (๔๑๔.๕๐ บาท) คนมาเลเซียมีรายได้วันละสองร้อยกับสามบาท (๒๐๓บาท) คนฟิลิปปินส์มีรายได้วันละห้าสิบเจ็ดบาท(๕๗ บาท ) บาบูเมืองอินตระเดียมีรายได้วันละยี่สิบเอ็ดบาท (๒๑ บาท)


   ส่วนพี่ไทยเราตอนนั้น (ปี๒๕๓๖  นะครับอย่าคิดมาก) ดีกว่าใครต่อใครเยอะแยะ คือมีรายได้เฉลี่ยถึงวันละ หนึ่งร้อยกับสามสิบสามบาทหกสิบสตางค์ (๑๓๐.๖๐ บาท) ทั้ง ๆ ที่ข้าวสารบ้านเราถูกกว่าข้าวสารเมืองแขกเมืองจีนตั้งครึ่งตั้งค่อน



    และที่น่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่สุดนั้น  ก็เห็นจะได้แก่ทองคำสำรอง   ที่บรรพบุรุษไทยได้สั่งสมไว้ให้ลูกหลาน  นิตยสารเอเซียวีครายงานว่าในปัจจุบันนี้ ( ๒๕๓๖)  ไทยเรามีทองคำสำรองคิดเป็นมูลค่าถึงห้าแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันแปดร้อยห้าสิบล้านบาท


        เทียบกับอินเดียซึ่งมีเพียงหนึ่งแสนสี่หมื่นกว่าล้านบาท  หรือฟิลิปปินส์ซึ่งมีหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นล้าน  หรือพม่ารามัญที่มีอยู่เพียงเจ็ดพันกับสามสิบเก้าล้าน  ก็นับได้ว่าไทยเราเป็นเศรษฐีย่อยชาติหนึ่งในภูมิภาคส่วนนี้ของโลก


        ก่อนจะจบข้อเขียนนี้  ก็อยากจะขอรายงานสถิติต่าง ๆ ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของพี่ไทยในปีระกา ( ในขณะนั้น )ไก่ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไปซึ่งนิตยสาร นิวสวีค ได้ทำการสำรวจไว้ดังนี้


        พลเมื่องทั้งหมดห้าสิบเจ็ดล้านหกแสนคนเศษเศษ ( ปี ๒๕๓๙ ) ส่งสินค้าออกคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นเจ็ดแสนสามหมื่นกับหกร้อยล้านบาท  แต่ก็ขาดดุลการค้าไปถึงสองหมื่นกับสามร้อยเจ็ดสิบล้านบาท  แล้วก็เป็นหนี้ต่างชาติอยู่ถึงเจ็ดแสนกับเก้าพันแปดร้อยล้าน  คนไทยที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนจนถึงคนไทยทีมีอายุหนึ่งร้อย  มีรายได้เฉลี่ยปีละสองหมื่นห้าพันกับสามสิบสามบาท   สรุปความเจริญทางด้านเศรษฐกิจของไทยเท่ากับเจ็ดจุดเก้าเปอร์เซ็นต์  เทียบกับสถิติโลก  ก็ให้ดีใจไว้เถิดว่าพี่ไทยเราทำดีทำดี  จนได้รับการยกย่องว่าทำได้เก่งเป็นที่สามของโลกในรอบเดือน....เอ๊ย.....รอบปีที่ผ่านมา  เก่งใหญ่กว่าเรามีสองเก่ง  เก่งแรกคืออาบังมลายูที่กินหมูไม่เป็น  เป็นแต่เลี้ยงหมูขายให้แก่พี่ไทย  ปีระกาที่ผ่านมานี้  เศรษฐกิจของชาติมาลายูดินแดนแห่งมะละกอเจริญขึ้นถึงแปดจุดแปดเปอร์เซ็นต์  เก่งที่สองได้แก่พี่หลีขาว  พี่หลีทำได้ถึงแปดจุดสี่เปอร์เซ็นต์  ส่วนปัญหาเงินเฟ้อนั้น  พี่ไทยควบคุมได้ดีที่เดียว  คือปล่อยให้มันเฟ้อ ๆ ไปเพียงแค่ห้าจุดเจ็ดเปอร์เซ็นต์เท่านั้น  สวิสเซอร์แลนด์ที่ว่าแสนจะเก่งแสนจะดีก็ยังควบคุมได้แค่สี่จุดเก้าเปอร์เซ็นต์   ถึงตรงนี้อยากจะขอวงเล็บไว้เสียหน่อยหนึ่งว่า  วงเล็บเปิด  ชาติที่น่าจะล้มละลายไปภายในปีหน้านี้คือ  บราซิลกับมองโกเลีย บราซิลเจอปัญหาเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์  คือสูงถึงสี่ร้้อยกับสี่สิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์  มองโกเลียค่อยยังชั่วหน่อยคือสูงเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์ วงเล็บปิืด


       ทีนี้มาดูทางด้านสังคมกันบ้าง  ได้บอกแล้วว่าพี่ไทยมีพลเมืองทั้งหมดห้าสิบเจ็ดจุดหกล้านคน  ก็ต้องขอขอบคุณ มีชัย  วีระไวทยะ ที่ช่วยวางแผนการคุมกำเนิดไว้ให้  อัตราการเกิดของคนไทยจึงมีเพียงหนึ่งจุดสี่เปอร์เซ็นต์  ชาติที่มีอัตราการเกิดสูงที่สุดในโลกปัจจุบันนี้คือชาติอัฟกานิสถาน  ซึ่งทำสถิติไว้สูงถึงหกจุดเจ็ดเปอร์เซนต์  ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องการเกิดและการตาย  วิเคราะห์วิจัยเกี่ยวกับอัตราการเกิดสูงลิ่วของอัฟกานิสถาน ไว้ว่าเป็นเพราะรัฐบาลของประเทศนั้นประกาศเคอร์ฟิวบ่อยเกินไป  ส่วนอัตราการตายของเด็กระหว่างคลอดเด็กไทยพันคนตายตั้งแต่ออกจากท้องแม่ยี่สิบสี่คน  ซึ่งดีกว่าเขมรเยอะแยะ  อัตราการตายตั้งแต่แรกเกิดของเด็กเขมรที่สหประชาชาติทำสถิติไว้นั้น  สูงถึงหนึ่งร้อยกับสิบหกคน 


          แต่ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดนั้น ได้แก่สถิติผู้รู้หนังสือระดับอ่านออกเขียนได้  ไม่ใช่ได้แต่เซ็นชื่อ จัน หรือชื่อ สี ชื่อ สา แต่เพียงอย่างเดียว  คนไทยปีระกาสองห้าสามหกอ่านหนังสือออกเขียนหนังสือได้ถึงเก้าสิบสามเปอร์เซ็นต์  ในโลกนี้มีเพียงสี่ชาติเท่านั้นที่มีพลเมืองซึ่งอ่านออกเขียนได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์สี่ชาติดังกล่าวได้แก่  สวิสเซอร์แลนด์  ญี่ปุ่น เยอรมนี และอังกฤษเจ้าเก่า


          ทีนี้ก็ถึงเรื่องปัจจัยส่งเสริมการดำรงชีพของคนยุคใหม่  คนไทยสมัยที่กำลังแข่งกันหลีกภัยให้วุ่นวายไปทั้งเมื่องนี้  แต่ที่น่้าตกใจเป็นอย่างยิ่งนั้นได้แก่การสาธารณสุขและสุขาภิบาล  ปัจจุบันนี้จำนวนคนไทยที่รุมกันใช้หมอ  หรือใช้นายแพทย์ปริญญานั้น มีสถิติที่สูงอย่างน่าสยดสยอง  คนไทยในประเทศสยามที่มีนามประเทืองว่าเมืองทอง สี่พันสามร้อยหกสิบเอ็ดคนใช้หมอร่วมกันเพียงหนึ่งหมอเท่านั้น ( คิดว่าในปีปัจจุบัน ๒๕๕๕ คงต้องเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แพทย์หนึ่งคนต่อคนไข้ หกพันกว่า ๆ เพราะแพทย์ในปัจจุบันเริ่มเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อยเท่าที่สังเกต )  แต่อย่าไปคิดอะไรมากครับเราเรียนมาทางนี้ก็ช่วยสังคมไป ผมเรียนครูมาสอนหนังสือตั้งแต่ปี ๒๕๑๒ จนเกษียณก็ทำหน้าที่ไปให้สุดปลายทางอย่าไปสร้างความรำรวยจากอาชีพ ถ้าอยากรวยก็ไปเป็นนักการเมืองถ้าจะดี (แต่อายุจะสั้นเพราะมีผู้สาปแช่งตลอดเชื่อผม)
    


 เรื่องราวทั้งหมดได้นำข้อมูลมาจากปี ๒๕๓๖ ประมาณ ๒๐ ปีมาแล้ว

                                 __________________

                                                                                                       สัมพันธ์  จันทร์ผา

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บทพิสูจน์

                                                           บทพิสูจน์


     ชายชาวสวนคนหนึ่งขึ้นต้นหมากจนถึงยอด  โยนหมากลงมาทั้งทะลาย  แล้วเกิดมืออ่อนเท้าอ่อนครูดลงมากองอยู่ที่โคนต้น  หน้าอกหน้าใจถลอกปอกเปิด  เขาลุกขึ้นได้ก็ก้มหน้าก้มตากระโดดข้ามท้องร่อง  แต่พลัดตกลงไป  และร้องขรมเพราะแสบหน้าอก  ครั้นตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ก็วิ่งหายไปทางท้ายสวน  คำว่า  ท้ายสวน   นี้คู่กับกับคำว่า หัวสวน ท่านไม่ใช้คำว่า หางสวน  เช่นเดียวกับคำว่า  หัวตรอก ท่านก็ใช้ว่า  ท้ายตรอก ไม่ใช้คำว่า หางตรอก และคำว่า  ปากตรอก ก็อย่างเดียวกัน  คือ ใช้ท้ายตรอก  ไม่ใช้คำอื่นที่ตรงข้ามกับปาก


        ชาวสวนอีกคนหนึ่งที่ยืนดูการขึ้นและตกต้นหมากของชายคนนั้น  เป็นผู้ที่นับถือข้าพเจ้าว่าเป็นคนฉลาดมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมด้วยกัน  ได้สอบถามข้าพเจ้าถึงการตกต้นหมากของชายคนนั้นว่า  จะพิสูจน์ถึงอะไรได้บ้าง  ข้าพเจ้าตอบว่า  " คนขึ้นต้นไม้ย่อมตกต้นไม้เป็นธรรมดา  และคนที่ไม่มีราคาย่อมจองหอง ฮิ ฮิ "


        " คม....คมมาก....ก้าก  ก้าก  และ ก้าก " เขาพูดพลางหัวเราะพลาง  ฟังคล้ายเสียงสิงโตหัวเราะถ้าสิงโตสามารถหัวเราะได้อย่างคนเรา


      ข้าพเจ้าออกจะเห็นด้วยกับคำสดุดีของชายอันเป็นผู้มีความเคารพนับถือข้าพเจ้าเป็นพิเศษ  เขาเคยกล่าวแก่ใคร ๆ หลายคนว่า  เขานับถือความคิดของข้าพเจ้า  แต่มีเพื่อนใจร้ายคนหนึ่งของข้าพเจ้าบังอาจกล่าวว่า  การที่อีตานั่น  บอกว่านับถือความคิดของข้าพเจ้านั้น  ก็เพราะเขารู้ว่าข้าพเจ้าไม่มีความรู้   ข้าพเจ้าฟังแล้วปวดใจมาก  คิดว่าถ้าสามารถทำมัมมี่ได้ก็จะทำเอาไว้ดูเล่นสักตัวหนึ่ง  ข้าพเจ้าหมายถึงเพื่อนใจร้ายคนนั้น


         ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยการพิสูจน์  เราจะพิสูจน์ใคร ๆ และอะไรต่อมิอะไรตลอดเวลา  และเราเองก็ถูกใคร ๆ และอะไร ๆ พิสูจน์เราอยู่เหมือนกัน  เพียงแต่กระทำกันอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น  แต่อย่าพลาดก็แล้วนะเออ..!! พลาดละก็....ฮึ่ม


                  
          ชายคนหนึ่งได้สาวใช้ใหม่มาคนหนึ่ง  เป็นสาวใช้คนแรกในชีวิตของเขา  ได้มีญาติมิตรสนิทแนะนำให้ทดลองพิสูจน์ความซื่อสัตย์ของสาวใช้คนนั้น  เขาก็ดำเนินการไปตามที่ญาติมิตรแนะนำ  ได้แก่การแกล้งลืมธนบัตรฉบับละ ๒๐ บาทบ้าง ๕๐ บาทบ้าง  และ ๑๐๐ บาทบ้าง  ไว้ในกระเป๋ากางเกงที่ส่งไปให้เจ้าหล่อนนำไปซัก  ซึ่งหล่อนก็ซักด้วยมือ ไม่ได้ซักด้วยเครื่องซักผ้า  เพราะหมอนี่เคยรู้จักกับมหาเศรษฐีพันล้านผู้หนึ่งซึ่งไม่มีเครื่องซักผ้าใช้  มหาเศรษฐีอธิบายว่า  การซักผ้าด้วยมือนั้นช่วยรักษาเนื้อผ้าราคาแพงได้ดีกว่าซักด้วยเครื่อง  เพราะฉะนั้นตามบ้านผู้มีเงินมหาศาลทั่วไป  จึงนิยมซักผ้าด้วยมือยิ่งกว่าที่จะซักด้วยเครื่อง  ความเห็นของชายคนนี้เป็นเหตุให้ญาติมิตรหลายคนที่ปัญญาอ่อนพากันขายเครื่องซักผ้าไปเสียในราคาถูกเพื่อที่ว่า  ในบ้านของเขาจะได้ไม่มีเครื่องซักผ้า    และเพื่อที่ว่าคนทั้งหลายจะได้นับถือเขาว่า เป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งของเมื่องไทย



            ผลของการพิสูจน์ด้วยวิธีนี้ปรากฏว่าธนบัตรที่เขาแกล้งลืมไว้ในกระเป๋ากางเกงเละตุ้มเป๊ะหมดแทบไม่มีชิ้นดี  แฟนของสาวใช้เท่านั้นที่รู้ความจริง  ธนบัตรสีแดงที่ถูกขยำขยี้จนไมเป็นธนบัตรนั้นคือคูปองของห้างสรรพสินค้าที่ทำเลียนแบบธนบัตรใบละร้อย  อย่างไรก็ตาม ต่อมา  ชายหนุ่มเจ้าของบ้านก็ไว้ใจหล่อนจนสนิท



          เขาได้บอกให้หล่อนรู้ตัวว่า   หล่อนเป็นคนซื่อ  เขาไว้ใจหล่อนเต็มที่  และตราบใดที่เขามีหล่อนมาช่วยทำหน้าที่แม่บ้านอยู่ในบ้านของเขา  เขาสามารถนอนไม่ต้องปิดประตูห้องนอนก็ยังได้  ส่วนสาวใช้ก็ปูที่นอนและกางมุ้งอยู่หน้าประตูห้องของเขา  เพื่ออารักขานายจ้างไปในตัวตามวิสัยของคนใช้ที่ดี


          แต่ประตูห้องนอนของนายจ้างเป็นประตูชนิดเ้ปิดออกข้างนอกห้อง  มิใช่เปิดเข้า  ดังนั้นถ้าเขาจะเปิดประตูห้องออกมา   ประตูจะต้องมาโดนที่นอนหรือบางที่ก็โดนตัวสาวใช้  ซึ่งก็ทำให้หล่อนตื่น  แต่ถ้าจะเปิดกันจริง ๆ ก็คงจะยากหน่อย  เพราะต้องออกกำลังดันบานประตูเนื่องจากหล่อนตัวหนัก


        เป็นการยากที่จะสาธยายรายละเอียดของเหตุการณ์ชนิดเช่นนี้โดยมิให้กระทบกระเทือนแก่ความสงบเรียบร้อยและศิลธรรมอันดีของประชาชน  เพราะฉะนั้น  จึงข้ามไปเสีย แต่ขอเปิดเผยความจริงบางประการตามหลักที่ว่า  ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวไปปิด  นั้นก็คือต่อมา  นางสาวใช้นั้นก็ตั้งครรภ์กับนายจ้างของหล่อน  ส่วนคนที่โล่งอกจริง ๆ คือ แฟนของหล่อน ( มันคงอยากทิ้งอยู่แล้ว )


          เราพิสูจน์ธาตุแท้ของแมวด้วยการให้อยู่ใกล้ปลาย่าง  หรือพิสูจน์มดด้วยการให้อยู่ใกล้น้ำตาล  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือมดจะกินน้ำตาลและแมวก็จะกินปลาย่าง  ส่วนพังเพยที่ว่าใช้แมวไปขอไฟจะมีความหมายอย่างไรนั้น  ขอทุเลาไว้อธิบายในโอกาสต่อไป


                  
            นานมาแล้วมีหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งเข้ามาฉายในกรุงเทพฯ เป็นหนังธรรมดาที่มิได้มีความสำคัญแก่บรรดาคอหนังทั้งหลาย  เนื้อเรื่องก็ดูง่าย ๆ มีผู้แสดง ๓ คน คือ ผัวเมียคู่หนึ่งแล้วเพื่อนของผัวคนหนึ่ง  ชายทั้วสองนี้เป็นคนตีอีเตอร์รางรถไฟ (บ้านเราเรียกว่าคนซ่่อมและดูแลรางรถไฟ ) ต่อมาเพราะเหตุใดก็จำไม่ได้  อีตาผัวเกิดหูหนวกฟังอะไรไม่ได้ยิน  แล้วเมียกับเพื่อนของแกก็ลักลอบเป็นเป็นชู้กันจนตาผัวสงสัย  ฝ่ายนางเมียกับชู้ก็สงสัยเหมือนกัน  ในที่สุดก็คิดว่างแผนการพิสูจน์ว่าอีตาผัวหายหูหนวกหรือยัง  นางเมียจึงยืนคุยกับตาผัวซึ่งนั่งเก้าอี้อยู่ในบ้าน   ส่วนชายชู้ไปยืนอยู่ข้างหลัง   แล้วขว้างเหล็กก้อนหนึ่งลงบนพื้นสุดแรงเกิด ซึ่งทำให้เสียงดังมาก  ซึ่งตามธรรมดาแล้วอีตาผัวซึ่งไม่รู้อีโหน่อิเหน่อะไรจะต้องสะดุ้งตกใจแทบตกเก้าอี้หรืออย่างน้อยก็สะดุ้งโหยงให้เห็นกันว่าแก่ได้ยินเสียงแล้ว   แต่ตาผัวนั่นแกเก็บความรู้สึกเก่งมาก  แกไม่สะดุ้งเลย  แต่แกนั่งน้ำตาคลอไหลพราก  แกคงเสียใจให้แก่คุณงามความดีที่เมียพึงมีต่อผัว  และเพื่อนพึงมีต่อเพื่อน  ซึ่งได้วอดวายไปจากหัวใจของคนทั้งสองแล้วโดยสิ้นเชิง


          ข้าพเจ้าได้ชมภาพยนต์เรื่องนี้ที่โรงหนังอะไรก็จำไม่ได้ หนังจะทำเงินหรือเปล่าไม่แน่ใจแต่มันก็เป็นบทพิสูจน์สันดานมนุษย์ แต่เพื่อนผมที่ได้ไปชมหนังเรื่องนี้บางคนเมื่อดูออกมาแล้วก็แอบไปร่ำสุราถามว่าสงสารอีตาผัวในหนังเรื่องนั่นหรือไรก็็ได้รับคำตอบแบบไม่เป็นทางการและไม่เกี่ยวกับหนังเรื่องนั้นเลยว่า " เพราะถือสุ( รา )ภาษิตว่า  กินสุราดีกว่ามีอนุภรรยา"
        

          เรื่องหนังที่เล่าไปนั้นเป็นการพิสูจน์เพื่อหาความสุจริตหรือเพื่อประโยชน์แก่การทุจริตก็ตาม  เคยมีชายคนหนึ่งไปรักผู้หญิงและสารภาพรักแก่หล่อนตามระเบียบของท่านกามเทพ หล่อนถามว่า  ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่า  เขารักหล่อนจริง  พอดีแกเป็นคนสูบฝิ่น  ผู้หญิงจึงแนะนำว่าถ้าเลิกสูบฝิ่นได้แล้วค่อยมาเจรจากันใหม่  ต่อมาชายคนนั้นก็ลงแดงตาย  อันเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเขารักหล่อนจริงและยอมก้มหน้าไปหารักใหม่ในเมืองผี


              เคยมีผู้สนใจในเรื่องภูตผีปีศาจถามข้าพเจ้าว่า  ผีผู้ชายกับผีผู้หญิงมีความปฏิพัทธ์รักใคร่กันเหมือนคนเราหรือไม่  ทั้งนี้ไม่นับหญิงชายที่จูงมือกันไปฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังในเรื่องรัก  เพราะเขาเคยเห็นชายหญิงคู่หนึ่งนัดกันไปทำลายตัวเอง  เสร็จแล้วผู้หญิงตายคนเดียว  ผู้ชายร่อแรก็จริงแต่ไม่ตาย  ต่อมาหมอนี่ก็ทะลึงไปมีแฟนใหม่  พิธีแต่งงานของเขาใหญ่โต  หรูหรามาก  เลี้ยงโต๊ะจีนชั้นดีถึง ๓๐๐ โต๊ะ มีแขกเหรื่อนำของขวัญและเงินสดไปให้มากมายก่ายกอง  และทันใดนั้นเขาก็ลืมแฟนเก่าของเขาที่ฆ่าตัวตายด้วยคำแนะนำของเขา  นี่ก็เป็นการพิสูจน์อย่างหนึ่งของความรัก  คือพิสูจน์ว่า  ไม่มีความรักของใครที่มีค่าพอที่เราจะเอาชีวิตไปบูชายัญให้มัน  และแผ่นดินไม่ไร้เท่าใบสาเกหรอกครับ!!!!


          ในการรับคนเข้าทำงานสมัยนี้ ก็เหมือนกับงานราชการทั่ว ๆ ไปที่จะต้องผ่านขั้นตอนของการทดลองงาน  ๖ เดือน  ระหว่าง  ๖ เดือนนี้  แม้ว่าเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ยาวพอที่ช่วยให้คนเราสามารถอ่านใจของกันและกันได้บ้างไม่น้อยก็มากหรือไม่มากก็น้อย  บางคนทำงานตั้งเป็นเดือน ๆ ยังไม่กล้าใช้โทรศัพท์ในสำนักงาน  และขอร้องญาติมิตรไม่ให้โทรศัพท์ไปหาเธอด้วย  เพราะเกรงใจบริษัทจะหาว่าฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว  แต่บางคนไม่เช่นนั้น  ทะลึ่งแอบโทรศัพท์ทางไกลก็มี  ทางบริษัทต้องติดต่อตรวจสอบว่าหมายเลขที่ปรากฎในใบแจ้งหนี้โทรศัพท์เป็นของใครกัน  ในที่สุดก็สืบทราบได้แน่นอนว่าเป็นโทรศัพท์จากนางสาวคนหนึ่งติดต่อไปหาญาติของหล่อนในต่างจังหวัด  การสืบสวนนี้ทำให้บริษัทต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท โดยหัวหน้าเอาไว้เอง ๑,๒๐๐ บาท อีก ๘๐๐ บาทให้ลูกน้องที่ช่วยกันสืบสวนเรื่องนี้แบ่งกันเอง


             นายอารมณ์  อายุ ๒๓ ปี หลงรักนางสาววัชรี อายุ ๒๐ ปี แต่บิดาของนางวัชรีเป็นคนดุมาก  คนทั้งสองจึงแอบติดต่อกัน  โดยมีแม่ครัวเป็นคนกลาง  แต่ไม่ใช่ถึงกับเป็นสื่อ เพราะเขารักกันอยู่ก่อน  ยายแม่ครัวเพียงแต่ทำหน้าที่บุรุษไปรษณีย์  ได้ค่ายาดองคราวละก๊งสองก๊งพอเป็นกำลังใจให้เดินเหินคล่อง  ต่อมา  ท่านบิดาของนางสาววัชรีรับจดหมายที่หมอนั่นเขียนมาถึงลูกสาว   โดยที่หล่อนแกล้งวางจดหมายนั้นไว้ในที่ซึ่งบิดาควรจะมองเห็นได้ไม่ยากนัก  แต่รายละเอียดมิได้แจ้งว่าวางไว้ตรงไหน  บิดาจึงสอบถามลูกสาวว่า  ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใคร  พ่อและแม่ชื่ออะไร  ลูกสาวจึงอธิบายจบแล้ว  บิดาบอกว่าไม่รู้จัก  ไม่เคยได้ยินชื่อพ่อแม่และนามสกุลของหมอนี่  แต่ท่านก็เปิดโอกาสโดยกล่าวว่า  ถ้าลูกสาวท่านรักใคร่ชอบพอกับชายหนุ่มจริง   ก็ขอให้เข้าตามตรอกออกทางประตู


             ปริศนาหรือรหัสข้อนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก  เพราะบางคนบอกว่า  ที่ว่าเข้าตามตรอกนั้นหมายถึงเริ่มรักกันด้วยการหลบ ๆ ซ่อน ๆ  แต่ออกทางประตูนั้นหมายถึงการลงเอยด้วยความเปิดเผย  มิใช่ลักลอบเข้าหาลูกสาวเขาแล้วเผ่นออกทางหน้าต่าง  เหมือนแมวถูกขว้างด้วยเกือก  อย่างไรก็ตาม  นางสาวได้ยื่นคำขาดแก่หมอนั่นว่า  ต้องไปหาคุณพ่อวันนี้ ( วันนั้น ) ให้ได้  แล้วเขาก็ถูกหล่อนและแม่ครัวตัวฉกาจควบคุมตัวไปในบ้าน   เหมือนนักโทษที่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วถูกคุมตัวไปเข้าคุก


             ต่อมา  เขาก็ได้ไปมาหาสู่หล่อนตามระเบียบ   คือ  ไปวันเสาร์วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ ไม่ไปไหนเลย  นั่งสนทนากันได้ทั้งวัน  จนหล่อนและบิดาเชื่อว่าเขาไม่มีบุตรและภริยา  เพราะถ้ามีจะมาได้อย่างไรกันตั้งแต่เช้าตรู่  โดยมาช่วยกันตักบาตร  แล้วกลับตั้ง ๔ ทุ่ม  สม่ำเสมอเป็นเวลาปีเศษ


               วันหนึ่ง  ท่านจึงเปรย ๆ ขึ้นต่อหน้าลูกสาวและชายหนุ่มนั้นว่า  คนที่จะมารักใครชอบพอลูกสาวของท่านนั้น  ถ้าเป็นคนดี  ทำมาหากินสุจริต  แม้จะยากจะจนก็ไม่รังเกียจ  มีพร้าขัดหลังมาเล่มเดียวก็พอ  ชายหนุ่มและหญิงสาวช่วยกันขบคิดปริศนาข้อนี้อย่างหนัก  เขาจึงไปถามน้าข้างบ้านว่าภาษิตนี้แปลว่ากระไร  คุณน้าข้างบ้านตอบว่า  ท่านหมายความว่า  เอ็งต้องมีงานทำ  และตั้งใจทำงานนั้นเป็นอย่างยิ่งหมายถึงคนที่เอาถ่าน  มิใช่คนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ  ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่า เอาถ่าน และ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ก็จริง  แต่เขาก็พยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีงานทำมั่นคงและมีความมานะบากบั่นในการทำงานจริง  วันว่างก็มาช่วยนางสาวตัดหญ้าและแต่งต้นไม้ประดับของท่าน


          ครั้นแล้วอภิมหาโลกาวินาศก็มาถึงจนได้  ท่านผู้อ่านที่ตั้งครรภ์แก่ ท่านผู้ป่วยหนักอยู่ในห้อง ไอ ซี ยู อย่าอ่าน ควรข้ามตอนนี้ไปเสีย เรื่องมีอยู่ว่า   ว่าที่พ่อตากับว่าที่ลูกเขยได้สนทนากันถึงความจริงใจที่คนรักกันต้องมีให้แก่กัน  ท่านได้สอบถามชายหนุ่มผู้มีชื่อข้างต้นนี้  อันข้าพเจ้าลืมเสียแล้วว่าชื่ออะไรนั้นว่า

               
      " เองรักลูกสาวเรามากแค่ไหน " 

      " กระผมรักคุณจิ๋ม ( หรืออะไรก็ตามที่คล้าย ๆ อย่างนี้ ) เท่าชีวิตของกระผมขอรับ " 

        ท่านถามต่อไปว่า " ถ้ามีคนจะมาทำร้ายลูกสาวของข้า  เองจะทำอย่างไร "

   เขากราบเรียนว่า " กระผมจะเข้าขวางทันที่และร้องบอกให้คุณ....เอ้อ....เอ๊ อะไรหว่า....รีบหนีไป  ถ้าขณะนั้นคนร้ายยิงหรือแทงก็ถูกกระผม  ไม่ถูกบุตรีอันเป็นประหนึ่งดวงใจท่าน  เพราะกระผมทราบว่า  ใครก็ตามที่ทำร้ายลูกสาวท่านก็เท่ากับทำร้ายท่าน "

       " สมมุติว่า  วันหนึ่งเอ็งกับลูกสาวเราพากันไปเที่ยวสวนสัตว์แห่งหนึ่งแล้วเสือหลุดจากกรงเดินมาที่เอ็ง  โดยมีสายตาจ้องจับอยู่ที่ร่างกายอรชรอ้อนแอ้นของลูกสาวข้าเองจะทำอย่างไร "


       " กระผมจะขวางหน้าคุณ....เอ้อ....เธอไว้แล้วร้องตวาดเสือด้วยเสียงอันดังที่สุดในชีวิต  ล่อให้เสือกัดผม  กระผมก็ทำได้แค่นี้แหละขอรับ  ต่อจากนั้นก็คงจะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่สวนสัตว์จะช่วยป้องกันอันตรายให้เธอ....และถ้ากระผมตาย.......  กระผมก็จะตายอย่างกามนิต ขึ้นไปรอวาสิฏฐีอยู่  ณ แดนสุขาวดีขอรับ


         " เป็นเอามาก " ท่านพูดเบา ๆ แล้วเดินไปหาคุณวัชรีที่กำลังนั่งฟังการสนทนาอยู่ที่โซฟาตัวหนึ่ง  พลางก้มลงบีบคอและคำรามลั่น  นางสาววัชรีก็ดิ้น  ท่านร้องถามเขาว่า  ถ้าเอ็งเห็นลูกสาวของข้าถูกทำร้ายแบบนี้ เอ็งจะทำประการใดให้ว่ามา


       ชายหนุ่มด้วยความกลัวว่าที่พ่อตา   และด้วยจิตใจที่กล้าหาญ  ได้กระโดดถีบสะโพกว่าที่พ่อตาสุดแรงเกิด   ว่าที่พ่อตากระเด็นไปอยู่บนโซฟาอีกตัวหนึ่ง  ส่วนชายหนุ่มเสียหลักตัวลอยเพราะถีบแรงมากถึงกับหงายหลังตึง  นอนทำนัยน์ตาปริบ ๆ อยู่บนพรมปูพื้นห้อง  พอได้สติก็วิ่งออกไปจากบ้านท่านอย่างไม่คิดชีวิต  มีท่านและนางสาววัชรีตามมาติด ๆ 

       "กลับมาก่อนเว้ย....." ท่านร้องขรม  กระโดดชูกำปั้นเต้นเร่า ๆ ขอให้กลับมาก่อน  ข้ายินดียกลูกสาวให้เองแล้ว  ไม่เรียกร้องสินสอดแม้แต่บาทเดียว  และจะยกที่ดินให้อีกหลายขนัด....... กลับมาเว้ย.....กลับมาเดี๋ยวนี้แหละ


       นายอารมณ์หันมายกมือไหว้ท่าน  และโบกมืออำลานางสาววัชรีก่อนที่จะวิ่งเลี้ยวปากตรอกหายวับไปกับตาคุณพ่อและลูกสาวคู่นี้


       " แล้วท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับจากการที่ถูกมัน....อ้า....ใช้เท้าผลักสะโพก " 

      " สองวันต่อมาจึงรู้ว่าสะโพกคลาก  เดินไม่ถนัด  ต้องเดินไปให้เขานวด  ประคบอยู่ตั้งหลายวัน  ถ้าเจอหน้ามันอีกหนเดียว.....ผมยิงมันไส้แตกแน่ ๆ ไอ้ผีทะเล...."

       " แล้วคุณหนูเล่าครับพบเห็นหรือได้ข่าวเขาบ้างไหม "  ข้าพเจ้าถามลูกสาวท่าน 

เธอสั่นศรีษะหลบนัยน์ตาพริ้ม  แล้วตอบว่า  " ไม่หรอกค่ะ...ช่างเถิด....นึกเสียว่าเราไม่ใช่เนื้อคู่กัน....แต่  คุณพ่อก็ไม่น่าจะไปทดสอบจิตใจเขาถึงขนาดนั้น  ทั้ง ๆที่คุณพ่อก็ทราบดีว่าเขาเป็นคนซื่อบื้อขนาดไหน "

        หล่อนกล่าวด้วยเสียงละห้อย


     " คนเรานั้น ถ้าไม่เข้าไปวุ่นวายกับ พรหมลิขิตของผู้อื่น
ได้ก็จะเป็นการดี " กะเหรี่ยงชราคนหนึ่งกล่าวที่หลังวัดใหม่ยายนุ้ย 


                              ___________
         
                                                                                                                                     สัมพันธ์ จันทร์ผา           

        
                     


        

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อ่านมาอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น ( ที่ล้มเหลวก็เพราะล้มเลิก )



  ฝรั่งมีคำพูดว่า " หนทางแห่งชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป " กวีไทยนำมาดัดแปลงว่า " ทางไปสู่เกียรติศักดิ์จักประดับดอกไม้ หอมหวนจิตไซร้บ่มี " เพราะฝรั่งถือเอาการโปรยกลีบดอกไม้นำทางว่าเป็นเครื่องหมายแห่งความเรียบร้อยราบรื่น  และรุ่งเรือง ที่จริงเอเชียเราโดยเฉพาะอินเดียก็มีธรรมเนียมโปรยดอกไม้นำทางอย่างเดียวกัน
   
   แต่แม้ชีวิตจะมิได้สดใสซาบซ่าหรูเริดเรียบร้อย  ราบรื่นและรุ่งเรืองไปหมด  คนที่อดทนต่อสู้จริงจัง  " จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด "  " ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร  ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา " ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นไป และรู้จักแปลงวิกฤติเป็นโอกาสเปลี่ยนภาระเป็นพลัง  นำความล้มเหลวมาเป็นบทเรียน นำเสียงเย้ยหยันมาเป็นลูกยุ  ในที่สุดความพากเพียรจะได้รับความภาคภูมิใจเป็นรางวัลจนสามารถประสบความสำเร็จ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

   เคยได้ยินหลวงพี่พระพยอมท่านเอ็ดเอาไหมครับว่า " หมามันอดโซหรือผิดหวังอย่างไร ยังไม่คิดฆ่าตัวตายเลย "
                                                        อับราฮัม  ลินคอล์น

   คนอย่างอับราฮัม  ลินคอล์นนั้นท่านทราบไหมว่าก่อนจะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาผู้ยิ่งใหญ่  จนก็แสนจน  ต้องเดินเท้าวันละหลายไมล์ไปกลับเพื่อเรียนหนังสือ และเวลาท่านยืมหนังสือจากห้องสมุด ห้องสมุดมีระเบียบว่าต้องนำมาส่งคืนภายในวันรุ่งขึ้น ท่านก็เดินอ่านจากห้องสมุดมาบ้านและรุ่งขึ้น  ถ้ายังอ่านไม่จบเล่มท่านก็เดินอ่านจากบ้านไปถึงโรงเรียนจบเล่มพอดีท่านมุมานะพยายามอย่างมาก  และคราวสมัคร ส.ส. ก็เคยสอบตกมาแล้วอย่างไม่เป็นท่า
                       
                         นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W. Bush) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

    ประธานาธิบดีจอร์จ  บุช (คนลูก) เคยสมัครเข้าเรียนกฏหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด  แต่ถูกปฏิเสธจึงต้องไปเรียนบริหารแทน


                                                          มาริลีน  มอนโร
    
    หญิงสาววัยรุ่นที่ชื่อนอร์มา จีน เบอเกอร์ อยากเป็นนางแบบแต่ทำไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกผู้จัดการบริษัทบลูบุคโมเดลลิ่งเอเจนซี่เรียกไปดุว่า " ไม่เป็นเรื่อง  ไปเรียนพิมพ์ดีดแล้วหาผัวเสียเถอะ " แต่เธอก็กัดฟันทน  หนักเอาเบาสู้จนได้เป็นดาราภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ของฮอลลีวูด  ถ้าเธอเชื่อเจ้าผู้จัดการคนนั้น  โลกจะไม่มีคนชื่อมาริลีน  มอนโร
         เอลวิส เพรสลีย์ ราชาแห่งร็อคแอนด์โรล นักร้องนักดนตรีที่โลกไม่ลืม

   หนุ่มคนหนึ่งอยากเป็นนักร้องจึงเลิกอาชีพขับรถบรรทุกไปสมัครร้องเพลง  ผู้จัดการบริษัทแผ่นเสียงฟังแล้วไล่ให้กลับไปขับรถบรรทุกตามเดิม  เจ้าหมอนั่นทั้งฝึกทั้งหัดต่อมาอีกหลายปีจนได้เป็น  เอลวิส  เพรสลีย์  ราชาเพลงร็อก


     นักกีฬาโรงเีรียนคนหนึ่งชอบเล่นบาสเกตบอลเป็นชีวิตจิตใจ  แต่เข้าทีมกับเพื่อนยาก เพราะไม่ค่อยยึดกติกาและอ่อนซ้อมไปหน่อย  หัวหน้าทีมเลยคัดออกจากทีมโรงเรียน  อีกหลายปีต่อมานักกีฬาผู้ล้มเหลวคนนั้นได้เป็นนักบาสเกตบอลที่ " รวย " ที่สุดในโลกชื่อไมเคิลจอร์แดน
                                                            ไมเคิลจอร์แดน
      
       บุรุษจีนร่างเล็กเคยยิ่งใหญ่แล้วกลับตกต่ำ  ถูกกลั่นแกล้งสารพัด  ลูกตาย  ชีวิตป่นปี้ แล้ววันหนึ่งศตรูย่อยยับไปหมดจนได้กลับมายิ่งใหญ่เป็นพญามังกร  เขาชื่อเติ่งเสี่ยวผิง 
                                                             เติ่งเสี่ยวผิง 

      ชีวิตของเนลสัน  แมนเดล่า แห่งแอฟริกาใต้ก็เช่นกัน  ติดคุกเกือบ 30 ปี  ครอบครัวแตกร้าวแต่แล้วก็ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีและผู้นำที่โลกคารวะ


                                                            เนลสัน  แมนเดล่า


 เรื่องอะไรก็ไม่คลาสสิกเท่าเรื่องของคน 3 คนต่อไปนี้

        หนุ่มคนแรกสมัครเข้าเรียนบริหารธุรกิจที่ฮาร์วาร์  แต่ถูกปฏิเสธ  ภายหลังกัดฟันทน  ลงทุนด้วยเงิน 100 เหรีญจับโน่นทำนี่ซื่อมาขายไป  วันนี้มีเงินร่วมล้านล้านบาท  และรวยเป็นอันดับ 2 ของโลก เขาชื่อ  วอเรน  บัฟเฟตต์
                                                         วอเรน  บัฟเฟตต์

             หนุ่มคนที่สองจะทำอะไรก็ถูกสบประมาทว่าเป็นเด็ก  ลงทุนหลายอย่างก็ล้มเหลว  วันนี้มีเงินกว่าล้านสามแสนล้านบาท และรวยเป็นอันดับ 1 ของโลก เขาชื่อ บิล เกตส์  ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์
                                                            บิล เกตส์
             
             หนุ่มคนที่สามเป็นเด็กกำพร้า  ว่าไปแล้วเหมื่อนเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า  มีกำเนิดที่ลึกลับ  เรียนอะไรก็ถูก  "ครูเชิญออก" เข้าเรียนที่สแตนฟอร์ดก็ไม่สำเร็จ  เลยล่าออกมาทำงานเอาดื้ด ๆ อย่างนั้นแหละ  จนกระทั้งตั้งบริษัทแอปเปิล ชื่อเสียงโดงดังร่ำรวยมหาศาล  เขาชื่อ  สตีฟ  จอบส์ 
                                                              สตีฟ  จอบส์ 

              คนไทยก็มี  คนเราชั่ว 7 ทีดี 7 หน  ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไป  ดูอย่างสุนทรภู่  เวลาตกอับต้องลอยเรืออยู่ครวญว่า  " อนิจจาตัวเราก็เท่านี้  ยังไม่มีพสุธาจะอาศัย " ต่อมาชีวิตพุ่งขึ้นจนได้เป็นถึงพระสุนทรโวหาร เจ้ากรมพระอาลักษณ์วังหน้า วันนี้ยูเนสโกยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก 
                                                                      สุนทรภู่

              รัชการที่ 1 ครั้นเป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ ก็เคยจวนเจียนจะถูกประหาร  แต่ก็รอดมาจนได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน

                                                                 รัชการที่ 1
               รัชการที่ 4  ครั้นออกผนวชก็ถูกกลั่นแกล้งสารพัด  แต่ก็รอดพ้นมาได้ " ไพรีพินาศ "
สิ้นไปจนได้ครองราชย์
                                                               รัชการที่ 4

            นักการเมืองไทยหลายคนก็รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ชนิดชั่ว 7 ที่ดี 7 หน  ถ้าท้อแท้ก็แพ้ภัยตนเอง  อดทนและบากบั่นเข้าไว้ชะตาพลิกผันวันหนึ่งคงประสบความสำเร็จจนได้  ใครไม่รู้เขียนปลอบใจเอาไว้ดีว่า " ที่ล้มเหลวเพราะไปล้มเลิกเสียก่อนต่างหาก "


            พูดถึงเรื่องนี้แล้วต้องนึกถึงคนอย่างพระมหาชนก  ถ้าท่านไม่มีความเพียรอันบริสุทธิ์  เลิกล้มการว่ายน้ำเอาแต่ลอยคอปลงว่าเอาวะ ! ตายดีกว่า  ก็คงจมน้ำตายเปล่า ๆ !!!!!
                 


                                                                                                               สัมพันธ์ จันทร์ผา

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เฉียดวรรณกรรม ( ขอทานบรรดาศักดิ์ )

 ขอทานบรรดาศักดิ์


          นั่งขอทานที่ผ่านฟ้าท่าจะแย่                           สายตาแลหาใครก็ไม่เห็น

โยกย้ายมาพระโขนงสี่โมงเย็น                                 แสนลำเค็ญเย็นนั้นได้พันเดียว

นั่งขอที่สะพานใหม่ได้พันห้า                                     รีบย้ายมาบ้านหม้อใจห่อเหี่ยว

หาเงินผ่อนรถเบ๊นซ์ตัวเป็นเกลียว                              พอโฉบเฉี่ยวเกี้ยวสาวตามเล้าจน์บาร์

แอร์พัดลมวีดีโอโทรทัศน์                                           ยังต้องผลัดต้องผ่อนนอนผวา

แต่ตู้เย็นต้องผ่อนส่งตรงเวลา                                    กลัวเสียหน้าเครดิตไม่ผิดวัน

ไปลาดหญ้าคลองสานพาลแหนงหน่าย                    เที่ยงถึงบ่ายได้หมื่นห้าพาไหวหวั่น

คนแออัดตัดสินใจไปตรอกจันทน์                              ได้เก้าพันฉันละกลุ้มร้อนรุ่มใจ

มาขอที่บางนาพาหมองหม่น                                     ย้ายอีกหนมุ่งตรงวงเวียนใหญ่

แถวสำเหร่ดาวคะนองก็ลองไป                                  สำโรงใต้ปากน้ำก็ย่ำมา

เฉลิมกรุงเฉลิมไทยไปมาแล้ว                                    บางปะแก้วบางปะกอกเคยออกหา

วันละหมื่นน้อยไปต้องไคลคลา                                  ย้ายวิกมาขอทานย่านโยธิน

บางลำพูอยู่ที่นั่นสองวันกว่า                                      ได้แสนห้าพาให้ใจถวิล

จำต้องโยกย้ายมาหน้าวัดอินทร์                                ไม่พอกินพอใช้ทำไงดี

           เพราะผ่อนส่งหลายอย่างช่างลำบาก              ทนทุกข์ยากตรากตรำช้ำเหลือที่

เบ๊นซสองคันออกใหม่ไม่ถึงปี                                     ก็เริ่มมีปัญหามาก่อกวน

มีเมียหลวงเมียน้อยตั้งร้อยกว่า                                  ต่างก็มาหาทุกวันให้ปั่นป่วน

ทั้งพ่อตาแม่ยายมาเป็นพรวน                                     ลูกอ้อนชวนไปเที่ยวอยู่ทุกวัน

            เช้าบ่ายค่ำขอทานพาลจะกลุ้ม                       เดินเหงื่อชุ่มสองมือคอยถือขัน

อยู่คลองกุ่มกลุ้มใจไปคลองตัน                                  ขอที่นั่นได้หมื่นห้าน่ากลุ้มใจ

บางกะปิหัวหมากฝากความหวัง                                ก็กลับพังจนต้องลองดูใหม่

ล้วนล้มเหลวแทบบ้าต้องคลาไคล                              สู่บางไผ่บางดังย่านฝั่งธนฯ

เที่ยวตะเวนขอทานในยานนี้                                      ก็ไม่ดีจึงคลาไคลไปอีกหน

ทั่วบางมดบางขุนเทียนเดินเวียนวน                           ทั้งเมืองนนท์ปากเกร็ดเช็ดน้ำตา

เพราะผู้คนเดินผ่านพลีทานให้                                  นับรวมได้ทั้งวันแค่พันห้า

แต่รายจ่ายเดือนนี้ที่ทราบมา                                     รวมทั้งค่าคนงานเก้าล้านปลาย

โอ้ชีวิตคิดไฉนใครลิขิต                                             นั่งปากมิดมืองอก็แนงหน่าย

เป็นขอทานบรรดาศักดิ์ชักวุ่นวาย                              ทนอับอายเพื่อนพ้องมองดูแคลน                                    

            กิจการค้าขายหลายสิบอย่าง                        ทั้งปลาย่างปลาร้าราคาแสน

ชื่อเสียงดังอื้ออึงถึงต่างแดน                                     ฉัน "สะแหลน" ขอทานในบ้านเรา

มีรถทัวร์ส่วนตัวใช่ยามไปเที่ยว                                 หมู่บ้านเงี้ยวมีรีสอร์ทบนยอดเขา

บังกาโลชายทะเลเก๋ไม่เบา                                       อยากจะเช่าตกลงปลงราคา

แต่ความกลุ้มสุมใจอยู่ไม่สร้าง                                  หมดหนทางเช้าเย็นแทบเป็นบ้า

ประกอบกับโชคหนุนบุญนำพา                                 จึงต้องมาขอทานเบิกบานใจ

          บางคอแหลมยานนาวามาบางรัก                    เขาก็ตักเงินทองมากองให้

เยาวราชสี่พระยาพลับพลาไชย                                ก็เคยไปขออยู่ดูพิกล

แถวนางเลิ้งไปขอก็พลาดเป้า                                    ต้องย้ายเข้าเขาดินสิ้นสับสน

ยิ่งเลวร้ายบ่ายค่ำต้องจำทน                                      ตั้งหลายคนได้สิบบาทอนาถใจ

มาขอที่สามยานแทบคลานกลับ                                เอาขารับเขี้ยวหมาพาเสียวใส้

ฉีดวัคซินกันบ้าที่พญาไท                                          ต้องงดไปขอทานนานหลายวัน

             พอย่ำเหินเดินได้ไปหมอชิด                          เสาร์อาทิตย์ครั้งใดรับไม่อั้น

นึกถึงค่าใช้จ่ายอยากตายพลัน                                 เพราะว่ามันไม่พอใช้ให้ร้อนรน

             แถวยศเสเทเวศร์ไม่เข็ดหลาบ                      นึกถึงภาพหนหลังยังสับสน

สองชั่วโมงหมื่นเก้าเศร้าสุดทน                                 ไม่พอปรนเปรอสาวตามเล้าจน์บาร์

เพชรบุรีตัดใหม่ไปอโศก                                            เหงื่อออกโชกง่วงนอนร้อนเป็นบ้า

ยามงีบหลับกลับต้องฟื้นตื่นขึ้นมา                             รับเงินตราไม่ทันฉันแทบตาย

แถวดุสิตบางซื่อคือถิ่นเก่า                                        เดินแวะเข้าสู่ซอยโชติสหาย

ทั้งกับแกล้มเหล้ายาฉันตาลาย                                 ผลสุดท้ายเมาเหล้ายาฟุบคาวง


                                           ____________________________



เขี้ยวเล็บลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ


เขี้ยวเล็บลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ



 เขี้ยวเล็บลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ




ทหารกลายเป็นเป้านิ่งอาวุธร้ายแรงของม็อบเสื้อ แดง ภาพ รอยเตอร์

        ก่อนอื่น ขอแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียของกลุ่มเสื้อแดงและทหารหาญผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยปราศจากอาวุธพิฆาต ขอแสดงความเสียใจอย่างจริงใจต่อครอบครัวของผู้สูญเสียชีวิต และขอภาวนาว่าเหตุการณ์อันน่าสลดใจยิ่ง เมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 จะไม่เกิดขึ้นอีกในราชอาณาจักรไทย


ผลของการใช้แก๊สน้ำตากับกระสุนยางปราบม็อบเสื้อแดง ภาพ รอยเตอร์


ภาพของคนชุดดำที่ก่อจลาจลกลางกรุงเทพฯ ถูกแพร่กระจายไปตามอินเตอร์เน็ต  จาก ผู่จีดการออนไลน์

        ทันทีทีู่ถูกศาลฎีกาพิพากษาให้รัฐยึดทรัพย์สี่หมื่นหกพันล้านบาท นายทักษิณ ชินวัตร ผู้บัญชาการสูงสุดของกลุ่มเสื้อแดงและกลุ่มย่อยอื่นๆที่แตกกิ่งออกมา ก็เริ่มงัด แผนชุมนุมอุบาทว์ ออกมาทำร้ายประเทศไทย โดยมี เป้าประสงค์ ล้มเจ้า ล้มอำมาตย์ ซึ่งนายทักษิณมองว่าเป็นผู้่ทำรัฐประหารให้ตนต้องหลุดออกจากตำแหน่งนายกฯ รวมทั้งล้มนายกฯอภิสิทธิ์ ด้วยมองว่าถูกอำมาตย์ตั้งขึ้นมาเป็นข้ารับใช้กลุ่มเจ้ากลุ่มอำมาตย์ มิใช่รับใช้กลุ่มประชาชน ทั้งนี้ เป็น มายาคติทางการเมือง ที่แพร่สพัดอยู่ในค่ายทักษิณ


นายใหญ่ทักษิณ ชินวัตร ผบ.ชุมนุมเสื้อแดง กำลังอยู่ในสภาพน่าเวทนาที่สุด ภาพ ไทยทาวน์

        เพราะเหตุใดนายทักษิณจึงมี เป้าประสงค์ ดังกล่าว?
เพราะเป็นสาวกตัวฉกาจของ ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ ซึ่งสอนให้ทุกคนใฝ่หาึความหมายของชีวิตด้วยการแสวงหาและบูชา เงินทอง แล้ว อำนาจ จะตามมา ถือว่าศีลธรรมจริยธรรมคือเีครื่องประดับกายสวยๆงามๆเท่านั้น เชื่อว่าใครยิ่งมี เงินทอง มาก ก็จะยิ่งมีสิทธิ์เป็น พระเจ้า ได้ก่อนคนอื่นๆ เพราะิเงินทองสามารถซื้อหาได้ทุกอย่างแม้กระทั่้งชีวิตมนุษย์ โดยมีวิถีชีวิตแบบ ด้านได้อายอด ตัวกูำ-ของกู ตัวใครตัวมัน ฯลฯ

ดร.อิริค ฟรอม์ม นักจิตวิเคราะห์ ภาพ สิสโกลริง

นักจิตวิเคราะห์อิริค ฟรอม์ม ผู้ได้บวชเรียนในพระพุทธศาสนาในบั้นปลายชีวิต ได้วินิจฉัยคนที่นิยมเงินทองในลักษณะด้งกล่าวไว้ว่า เป็น โรคจิตวิปลาส (neurosis) คือ มีสภาพจิตวิตกกังวล รู้สึกไม่มั่นคง กลัวอย่างไร้เหตุผล และรู้สึกโศกซึมเป็นอาจิณ น่าสลดใจไหมที่รวยแล้วกลับหายใจเข้าออกเป็นความทุกข์ ไร้ความสงบสุข

        สาวกลัทธิอุบาทว์ดังกล่าวที่เป็นโรคจิตวิปลาสอย่างเดียว จะไม่ร้ายกาจเท่าีสาวกลัทธิเีดียวกันอีกคนหนึ่งที่มีบุคลิกภาพประเภท ก้าวร้าวทำร้ายสังคม (sociopath) ห่อหุ้มอยู่ด้วย

ดร.เฮนรี่ เอ เมอร์เรย์ นักจิตวิทยาผุ้ศึกษายุคลิกภาพของฮิตเบอร์ ภาพ เซลส์ไดล๊อค.คอม


        เมื่อปี 2486 (ค.ศ. 1943) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ดร.เฮนรี่ เอ เมอร์เรย์ นักจิตวิทยาและผู้อำนวยการคลินิกจิตวิทยามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาบุคลิกภาพของนายอดอลฟ์ ฮิตเลอร์ แล้วรายงานต่อขุนพลกองทัพสัมพันธมิตร เพื่อประโยชน์ในการวางแผนยุทธศาสตร์สงคราม โดยสรุปสภาพนิสัยนายฮิตเลอร์ไว้ดังนี้ คือ (1) มีความขุ่นเคืองใจคุกรุ่นอยู่เป็นประจำ (2) ยอมรับคำตำหนิติเตียนผู้อื่นได้ไม่มาก (3) เรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นตลอดเวลา (4) ไม่มีความกตัญญูรู้คุณผู้อื่น (5) ชอบดูหมิ่นเหยียดหยามและโทษผู้อื่น (6) มีแค้นที่ต้องชำระอยู่เป็นปกติวิสัย (7) ต่อสู้อย่่างบ้าบิ่นหัวชนฝาัทั้งๆที่รู้ว่าตนกำลังพ่ายแพ้ (8) ชอบทำตามอำเภอใจและเชื่อมั่นในตนเองอย่างสุดโต่ง (9) ไม่มีอารมณ์ขำขัน (10) คิดแต่หาช่องทางเอาชนะตัวบทกฎหมาย ทั้งนี้ ล้วนบ่งบอกนิสัยของคนประเภท ก้าวร้าวทำร้ายสังคม อย่างชัดเจน

นายอดอลฟ์ ฮิตเลอร์ ผู้นำประเทศเยอรมันนีสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพ นิรนาม

        วิญญูชนทั้งหลายย่อมสามารถประเมินด้วยใจเป็นธรรมและจากข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องทั้งปวงได้ว่า นายทักษิณมีสีสันบุคลิกภาพเดียวกับนายฮิตเลอร์มากน้อยเพียงใด และต่างกันตรงความเข้มข้นในข้อใด 

        เมื่อเป็นทั้งโรคจิตวิปลาสและมีนิสัย ก้าวร้าวทำร้ายสังคม อย่างนายฮิตเลอร์ นายทักษิณจึงมิใช่สาวกธรรมดาๆของลัทธิอุบาทว์ดังกล่าว และเมื่อมีลมหายใจเข้าออกเป็น ความรุนแรง ดังเห็นได้จาก ระเบิดรายวัน และการซุ่มพิฆาตทหารที่ไม่ได้ใช้อาวุธสงคราม ก็ไม่มีอะไรจะปราบสาวกลัทธิอุบาทว์อย่างทักษิณได้ นอกจากการใช้ความรุนแรง แบบ เกลือจิ้มเกลือ

        ล่าสุด นายทักษิณเริ่มก้าวร้าวทำร้ายสังคมด้วยการหลอกลวงล่อลวงชาวชนบทจำนวนหมื่นๆคนจากภาคอีสานและภาคเหนือไปชุมนุมกันที่กรุงเทพมหานคร เพื่อเรียกร้องรัฐบาลให้ ยุบสภา ซึ่งย่อมส่งผลตามกฎหมายให้รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ต้องยุบโดยปริยาย ทั้งนี้ ด้วยข้ออ้างที่ปราศจากความเป็นจริงว่า นายอภิสิทธิ์ถูกอุปโลกน์ให้เป็นนายกฯโดยกลุ่มเจ้าและอำมาตย์ ทั้งๆที่นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังเหน็ดเหนื่อยที่สุดกับม็อบเสื้อแดง ภาพ รบ.ไทย

ชาวชนบทจำนวนมากได้ไปร่วมชุมนุม เพราะมีความรู้สึกว่าเคยได้รัีบบาดแผลทางใจจาก ข้าราชการ เลวๆบางคนเมื่อสมัยนานมาแล้ว หรือได้ยินเขาเล่าว่า ข้าราชการ คือ ข้ารับใช้ ของกลุ่มเจ้ากับกลุ่มอำมาตย์ที่ส่งไปทำหน้าที่ ปกครอง ชาวชนบทอย่าง ไพร่ หากเป็นจริง ก็น่าจะเรียกร้องให้ปลด ข้าราชการ นั้นๆ มิใช่ ยุบสภา

จริงๆแล้ว ชาวชนบทดังกล่าวต่างก็ได้รับการอุปถัมภ์เป็นการส่วนตัวจากส.ส.ในเขตตนเป็นอย่างดีอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุให้ ยุบสภา แต่ประการใด และว่าตามรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ยังไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองใดๆที่เป็นเหตุสมควรพอที่จะนำไปสู่การยุบสภาโดยชอบได้

การเผขิญหน้ากันระหว่างม็อบเสื้อแดงกับตำรวจหลังคำพิพากษา ภาพ ผู้จัดการออนไลน์

 ฉะนั้น หากมีการยุบสภาตามข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุสมควรและไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ต่อไปใครใคร่นึกอยากยุบสภาก็ไปชุมนุมใช้กฎหมู่ข่มเหงกฎหมายบงการให้รัฐบาลยุบ ชาติบ้านเมืองก็จะถูกอนาธิปไตยปกครอง ไม่มีใครอยากมาลงทุนหรือท่องเที่ยวที่เมืองไทยต่อไป แผ่นดินไทยก็จะ ล่มจม ลงไปเรื่อยๆ   

        นอกจา่กมีจิตวิปลาสและบุคลิกภาพแบบนายฮิตเลอร์ แล้ว นายทักษิณยังมีใจคอโหดเหี้ยมขนาดได้แอบแฝง กองโจรติดอาวุธสงคราม ไว้ในกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง เพื่อซุ่มพิฆาตกลุ่มทหาร ซึ่งใช้เพียงแก๊สน้ำตากับกระสุนยาง และเพื่อสาดกระสุนใส่กลุ่มเสื้อแดงที่ถูกหลอกลวงมาสังเวยเลือดกับชีวิตให้นายทักษิณโดยมิรู้ตัว แล้วใส่ร้ายรัฐบาลว่า ได้เข่นฆ่าประชาชน เป็นการปูทางให้นายทักษิณได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินอีก

เมื่อฝุ่นมรณะหายตลบลง นับผู้เสียชีิวิตไดุ้ถึง 21 ราย บาดเจ็บกว่า 800 ราย น่าสังเกตว่ามีทหารหลายรายุถูกสังหารด้วยกระสุนปืนเข้าที่ศีรษะอย่างแม่นยำ โดยน่าจะซุ่มยิงจากชั้นบนอาคารใกล้เีคียงด้วยอาวุูธสงครามติดลำกล้องส่องทางไกลกับแสงเลเซอร์ทันสมัย

         ณ วันนี้ นายทักษิณได้ยกระดับความชั่วร้ายของตนจากระดับนัึกการเมืองโกงกินชาตินับแสนล้านบาท ขึ้นสู่ระดับ อาชญากรทำลายความมั่นคงแห่งชาติ และ อาชญากรทำลายความสงบสุขบ้านเมือง ฉะนั้น รัฐบาลน่าจะพิจารณาดำเนินคดีกับนายทักษิณและสมุนด้วยข้อหาเป็น กบฏต่อแผ่นดิน และอาจพิจารณาดำเนินคดีกับอาชญากรดังกล่าวที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court) ด้วยข้อหา ทำลายความสงบสุขบ้านเมือง

        พฤติการณ์ทั้งหลายของนายทักษิณบ่งบอกว่าเป็นคน สติแตกปัญญาดับ เพราะคิดเป็นแต่เข้าข้างตัวเองแบบ คนหลงรักตัวเอง (narcissist) โดยเฉพาะตามข้อ (8) ดังกล่าว ส่งผลให้มองไม่เห็น ความโง่งี่เง่า ของตน ซึ่งกำลังประจานตัวเองและสร้างศัตรูให้กับตัวเองโดยมิรู้ตัว สื่อต่างชาติเริ่มมองเห็นธาตุแท้ของนายทักษิณชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

        ท่านพุทธทาสสอนไว้ว่า ไปทะเลาะถุ้งเถียงกับเสือ ดีกว่าไปทะเลาะกับคนโง่ คนโง่ไม่มีเหตุผล หรือมีแต่เหตุผลของคนโง่

         การเจรจากับนายทักษิณหรือสมุนก็คือการไปทะเลาะถุ้มเถียงกับคนโง่ เป็นทางเลือกที่รัฐบาลพึงตัดออกไปอย่างเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้น มีรัฐบาลที่ไหนในโลกยอมรับอำนาจเถื่อนของกฎหมู่ให้อยู่เหนือกฎหมาย?

ส่วนการแสดงเมตตาจิตยื่น ดอกไม้ ต่อคนอย่างทักษิณจะไม่ได้ผลดีแต่ประการใด เพราะจะพบแต่เล่ห์เหลี่ยมโกหกเอาตัวรอดแบบคน สติแตกปัญญาดับ เป็นที่เลื่องลือกันว่า นายทักษิณเป็นคนไม่มีความกตัญญูรู้คุณใครอยู่แล้ว แม้กระทั่้งต่อแผ่นดินไทยที่ให้กำเนิด การเติบโต และโอกาสทำมาหากินจนร่ำรวยมหาศาล

ในช่วงที่คลื่นลมหยุดเงียบหลังพายุมรณะได้พัดผ่านไป รัฐบาลน่าจะทบทวนทางออกดังนี้ คือ (1) รอให้กลุ่มเสื้อแดงสลายตัวกลับบ้านในเวลาอันควร (2) หากยังไม่กลับ ให้ประกาศใช้ กฎอัยการศึก ทันที (3) จัดการกับการชุมนุมที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างเฉียบขาด ตามหลักสากลและด้วยกองกำลังติดอาวุธ (4) ออกกฎหมายจัดระเบียบสำหรับการใช้สิทธิ์ชุมนุมทางการเมือง เพื่อให้มีกติกาการชุมนุมที่แน่ชัดรัดกุมและสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย (5) สอบสวนเหตุการณ์พิฆาตทหารและกลุ่มเสื้อแดง เพื่อจับกุม                 
กองโจรติดอาวุธ ของนายทักษิณกับสมุน แล้ว เชือดคอไก่ให้ลิงดู เพื่อชาติบ้านเมืองจะได้กลับคืนสู่ปกติสุขเสียที

        หากพรรคร่วมรัฐบาลต้องการแ้ก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีกติกาใหม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง แล้วถอนตัวออกจากพรรคประชาธิปัตย์เพื่อล้มรัฐบาลยุบสภาโดยปริยาย เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งโดยไว ก็จะเป็นที่พอใจของนายทักษิณ ซึ่งมัี่นใจว่า วัฒนธรรมหาเสียงแบบเดิมๆของตนจะทำคะแนนให้สมุนพรรคของตนได้มากพอที่จะตั้งรัฐบาลโดยลำพังหรือกับพรรคร่วมได้อีก จากนั้น ตัวใครตัวมัน ก็แล้วกัน

ประธานาธิบดีจอนห์ เอฟ เคเนดี้ สหรัฐอเมริกา ภาพ ไอเซนสตาดต์

ประธานาธิบดีจอนห์ เอฟ เีคนเนดี้ สหรัฐฯ กล่าวไว้ว่า ใครที่ขัดขวางรัฐประหารโดยสงบ ย่อมทำให้รัฐประหารโดยความรุนแรงกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ หมายความว่า รัฐประหารคือส่วนหนึ่งของการวิวัฒนาการทางการเมืองที่จะต้องเกิดเมื่อถึงเวลา เพื่อสังคมส่วนรวมจะได้ก้าวสู่ความสงบสุข โดยมิจำต้องเป็นปรากฏการณ์ที่น่ารังเกียจเสมอไป บางประเทศมีรัฐประหารถี่ เพราะอยู่ในระดับวิวัฒนาการหนึ่ง ผู้นิยมกฎหมู่เหนือกฎหมายและต้องการสถาปนา คนหลงรักตัวเอง ขึ้นเป็นนายกฯ เพื่อสร้างสรรค์ความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนไปอีกหลายชั่วคน โดยมิต้องอาศัย ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะไม่ชอบรัฐประหารอย่างแน่นอน

รัฐบาลต้องไม่ลืมว่า กาอยู่ส่วนกา หงส์อยู่ส่วนหงส์  จึงมีหน้าที่เลือกอยู่กับกาหรือหงส์ กล่าวคือ อยู่กับลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ หรือ ลัทธิสัตว์ประเสริฐ ซึ่งตั้งอยู่บนพระธรรม โดยมีหลักปฏิบัติชีวิตประจำวันอยู่ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 อันเป็นวิถีชีวิตที่องค์การสหประชาชาติแนะนำให้ภาคีประเทศทั้งหลายนำไปพิจารณาประยุกต์กับสังคมตน

รัฐบาลต้องทำความรู้จักกับ กบฏ ของชาติอย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วจัดการกับกบฏคนนี้อย่างเหมาะสม ตามตัวอย่างวิธีจัดการกับนายฮิตเลอร์โดยสัึมพันธมิตร ซึ่งได้ยกกำลังพลนัึบแสนๆคนขึ้นบก เสริมด้วยพลร่มนับหมื่น เพื่อเผด็จศึกประเทศเยอรมันนีของฮิตเลอร์แบบ ม้วนเดียวจบ หลังจากที่ขุนพลทั้งหลายแห่งกองทัพสัมพันธมิตรได้อ่านรายงานดังกล่าวของดร.เมอร์เรย์แล้ว เพราะตระหนักกันดีว่า ขืนมัวทำหน่อมแน้มกับคนอย่างนายฮิตเลอร์ โลกเสรีประชาธิปไตยจะหายสาปสูญไปจากโลกนี้เสียก่อนอย่างแน่นอน

พระบรมมหาราชวัง ภาพ ธนรัตน์

ขืนมัวทำหน่อมแน้มกับคนอย่างนายทักษิณและสมุน ราชอาณาจักรไทยจะหายสาปสูญไปจากโลกนี้เสียก่อนอย่างแน่นอน.