วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557

แคล้วคลาด





                        แคล้วคลาด
                                        


   แคล้ว คือชื่อเพื่อนของผม แคล้วมีบ้านอยู่ใกล้วัดใหม่ยายนุ้ย ความจริงชื่อของเพื่อนผมคนนี้ชื่อเต็ม ๆ ว่า “แคล้วคลาด” เพื่อนผมคนนี้ อยู่กับเมียสองคน (ความจริงเมียมีคนเดียว) อาชีพรับจ้างทั่วไปใครให้รับจ้างทำอะไร แคล้ว ทำให้ทุกอย่าง บางครั้งงานที่แคล้วทำก็เสี่ยงชีวิต เพราะไปรับจ้างทำสิ่งที่กฎหมายห้าม เช่น ไปหยิบของที่ผู้อื่นเขาไม่ยินยอม ไปให้คนที่จ้างให้มาหยิบ แคล้วมักจะทำสำเร็จเกือบทุกครั้ง จนเป็นที่พอใจกับผู้ว่าจ้าง เกือบลืมบอกไปว่า เมียแคล้ว มีลูกผู้ชายติดมาด้วยหนึ่งคนก่อนที่จะมาอยู่กับแคล้วอายุประมาณ ๕ ขวบครึ่ง และยังอยู่ในท้องซึ่งใกล้จะคลอดอีกหนึ่งคน แคล้วได้เมียคนนี้มาเมื่อ ๕ เดือนก่อน แต่ตอนนี้เมียแคล้วท้องได้ ๘ เดือน แต่แคล้วก็รักเมียและลูกติดเมียรวมทั้งเด็กในท้องซึ่งแคล้วก็ไม่แน่ใจว่าลูก ใครอีกหนึ่งคน แคล้ว ทำงานหาเงินทุกอย่าง เมียไม่ต้องทำไม่ว่าจะเป็นงานในบ้าน งานนอกบ้านแคล้วทำคนเดียว เพราะความรักเมีย จริง ๆ แล้วเมียของแคล้วคนนี้ มีคนที่สนิทกับแคล้วจะเรียกว่าเพื่อนตายก็ได้ วานให้แคล้วไปฉุดมาให้ แต่โชคร้ายเพื่อนตายของแคล้วถูกทางพ่อฝ่ายหญิงจ้างคนมาฆ่าตายเสียก่อนเพื่อน ของแคล้วเลยตายจริง ๆ แคล้วพาผู้หญิง (เมียของแคล้วในปัจจุบัน) มาให้เพื่อนไม่ทันเพราะ เพื่อนของแคล้วมาด่วนถูกฆ่าตายเสียก่อน แคล้วเลยตกที่นั่งลำบากเลยต้องรับเลี้ยงดูไว้ และต่อมาภายหลังก็ไปลักพาตัวลูกชายของเมียที่เกิดกับผู้ชายคนไหนก็ไม่รู้มา อีกคนหนึ่ง เพราะเมียแคล้วบอกว่าคิดถึงลูกคนนี้มาก สรุปง่ายว่า เมียของแคล้ว มีลูกมาก่อนหนึ่งคนกับชายคนไหนก็ไม่รู้ เพราะแคล้วเองก็ไม่เคยถามเมียส่วนลูกในท้องที่กำลังจะคลอดแคล้วก็คิดว่าเป็น ลูกของเพื่อนของแคล้วที่ถูกยิงตายเสียก่อน แต่ทั้งหมดนี้ แคล้วก็ไม่เคยถามเมียให้เสียน้ำใจและความรู้สึก คนในละแวกนั้นส่วนใหญ่ รวมทั้งผม และหลวงพ่อรู้จักแคล้วดีด้วยกันทุกคน แม้แต่ผู้รักษากฎหมายอย่างผู้กองจรูญก็รู้จักแคล้ว และพยายามจับตัวแคล้วแต่ก็ไม่มีหลักฐานจะให้จับได้เลยสักที เขาเล่ากันว่าแคล้วมีของดี เวลาหนีเจ้าหน้าที่ ที่ตามจับมักจะรอด แคล้วคลาด ทุกครั้ง สมกับชื่อ “แคล้วคลาด” จริง ๆ ผู้กองจรูญ เป็นคู่ปรับของแคล้ว และพยายามจับแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเลยสักครั้ง และแคล้วเองก็มักจะมาเล่าวีรกรรมให้ผมฟัง เสมอ ๆ ผิดกับผู้กองจรูญ แกไม่ค่อยพูดถามเรื่องแคล้วทีไรแกก็เปลี่ยนเรื่องคุยทุกครั้ง จนผมเองก็อดสงสัยไม่ได้

    จนในที่สุดเรื่องมันเกิดขึ้นจนได้ วันนั้นแคล้วมาหาผมและบอกผมว่าจะไปทำเรื่องสำคัญ แต่ไม่บอกว่าเรื่องอะไร มันได้แต่บอกว่าฝากเมียใกล้คลอดให้ผมช่วยดูแลด้วย ผมพยายามถามมัน แต่แคล้วมันก็ไม่ยอมบอกผม เพียงแต่พูดเป็นนัย ๆ ว่า งานนี้เสี่ยงมาก และจะขอทำงานนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพราะคนว่าจ้างให้เงินก้อนใหญ่ที่เดียว

หลังจากนั้นอีกสามวันคนในตลาดลือกันว่า แคล้วมันเข้าไปขโมยพระเครื่องของผู้กองจรูญถึงในบ้านพัก แต่ถูกผู้กองจรูญนำกองกำลังเกือบสิบนาย ตามล่าตัวแคล้วไปติด ๆ จนแคล้วไปเกือบไม่รอด แต่ก็เหมือนปาฏิหาริย์ แคล้วของเราก็ แคล้วคลาด สมชื่ออีกจนได้ หลังจากนั้นผมก็ไม่เจอแคล้ว แต่พอวันที่ห้าที่แคล้วหายตัวไป แคล้วก็แอบมาหาเมียของมัน และให้เมียมาบอกผมที่บ้านของผมว่าอยากพบผมให้ผมไปหา ผมก็รีบไป พอเจอแคล้วผมก็ถามถึงเรื่องราวและสาเหตุ แคล้วเล่าว่า พันมันเรียกชื่อสั้น ๆ ของผม มีผู้ว่าจ้างให้กูไปขโมยพระเครื่องที่บ้านพักของผู้กองจรูญ เป็นเงินสามแสนบาท บอกที่เก็บพระให้เสร็จว่าอยู่ตรงไหน ผมถามแคล้วว่า รู้จักตัวผู้ว่าจ้างหรือเปล่า แคล้วบอกว่า ไม่รู้จักและไม่เห็นหน้า แต่มีคนที่เป็นนายหน้านำเงินมาว่าจ้าง รู้แต่ว่าผู้ว่าผู้จ้างเป็นผู้หญิง แต่นั่นไม่สำคัญ มันสำคัญตรงที่พอกูขึ้นไปขโมยพระได้ กูก็หนีไปข้างวัดใหม่ย้ายนุ้ย ผ่านทางสนามกีฬาหมู่บ้าน เข้าซอยข้างหมู่บ้านชลประทาน ผู้กองจรูญแกไวมากพาลูกน้องตามมาติด ๆ กูก็หนีสุดชีวิต แต่ซอยที่กูวิ่งเข้าไปมันเสือกเป็นซอยตัน แล้วมึงทำอย่างไรถึงรอดออกมาได้ ผมถามแคล้ว แคล้วบอกว่า ซอยยาวประมาณ ๑๐๐ เมตร กูหันไปเห็นผู้กองจรูญตามมาติด ๆ ห่างกันประมาณ ๕๐ เมตรเห็นจะได้ กูจึงตัดสินใจหยิบเหรียญห้าบาทสมัยเก่ามีเหลี่ยมหกเหลี่ยม รวมทั้งพระเครื่องของผู้กองท่องคาถากลั้นลมหายใจเดินฝ่าออกมาเลย พันมึงเชื่อไหมไม่มีใครเห็นกูเลย กูเดินสวนกับผู้กองเหมือนว่าแกมองกู แต่แกเหมือนไม่เห็นกู จึงรอดมาได้นี่แหละ ศักดิ์สิทธิ์ จริง ๆ แล้วหลังจากนั้นหละ ผมถาม แคล้วบอกว่า ได้เอาพระ

เครื่องจำนวนหนึ่งให้ผู้ว่าจ้างไป พร้อมกับรับเงินมาแล้ว ว่าจะพาเมียไปคลอดที่พิษณุโลก กูให้พระมึงองค์หนึ่ง ผมบอกว่าแคล้วเก็บไว้เองดีกว่า หลังจากนั้นผมก็ยังไม่เห็นมันอีก
จนในที่สุดผมบังเอิญพบผู้กองจรูญที่ตลาดแกนั่งดื่มกาแฟโบราณเจ้าเก่าและเจ้า เดียวในตลาดของหมู่บ้าน แกก็เรียกผมและชวนผมดื่มกาแฟผมเลยนั่งดื่มกาแฟกับผู้กองจรูญ ผู้กองถามผมว่าคุณเห็นไอ้แคล้วบ้างหรือเปล่า ผมก็ตอบแบบเชิงวิชาการว่าระยะหลังไม่ค่อยเจอแต่ข่าวว่าผู้กองตามจับมันอยู่ ไม่ใช่หรือครับ ก็จริงผมตามจับมันอยู่ไม่รู้ว่าเมียมันคลอดลูกหรือยัง ผมก็เลยบอกไปว่าคิดว่าน่าจะคลอดแล้วนะครับผู้กองถามทำไมหรือครับ คืออย่างนี้นะ ครู ความจริง

วันที่แคล้วมันหนีผมเข้าไปในซอยผมเห็นพฤติกรรมของมันทุกอย่าง ตั้งแต่ทำพิธีท่องคาถากลั้นลมหายใจเดินออกมาระยะ ๕๐ เมตร มันไกลมากมันเดินกลั้นลมหายใจ จะล้มตั้งหลายครั้งผมเลยสั่งลูกน้องอย่าพึงจับมันทำเป็นมองไม่เห็นเสีย สงสารมันก็สงสาร เลยย่อมเสียระเบียบวินัยและหน้าที่ปล่อยแคล้วไป อีกอย่างหนึ่งผมเองก็ไม่อยากบอกกับครูเรื่องเมียของมัน ความจริงแล้วเคยเป็นภรรยาผมมาก่อนจนมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ผมเองก็แอบไปดูบ่อย ๆ แคล้วเองมันก็ไม่รู้หรอกว่าผมไป แต่เมียผมมันใจเด็ดไม่ย่อมคืนดีจะอยู่กับแคล้วท่าเดียว ผมเลยถามว่าแคล้วมันดีกว่าผมอย่างไร เธอก็บอกว่า แคล้วถึงแม้จะเป็นโจรแต่แคล้วไม่เคยล่วงเกินเธอเลยจนถึงทุกวันนี้ รักลูกของเราเองเหมือนลูกในไส้ แม้แต่ลูกในท้องแคล้วก็ไม่เคยถามว่าลูกของใคร งานการทำทุกอย่างไม่ยอมให้เมียผมช่วยเขาเลย แคล้วพูดสั้น ๆ ว่าเดี๋ยวกระเทือนถึงลูกในครรภ์ ฉันอยากกินอะไร แคล้วก็หาให้ฉันกินทุกอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยมีเงิน ผู้กองเล่ามาถึงตอนนี้ผมเห็นใบหน้าของท่านเหมือนอยากจะร้องไห้ ผู้กองพูดต่ออีกว่า ผมพึงจะรู้น้ำใจที่แท้จริงของผู้หญิงที่ผมรัก แม้ว่าผมจะมีหน้าที่การงานอันมีเกียรติ ก็ไม่สามารถสู้ความดีอีกด้านหนึ่งของแคล้วไม่ได้เลยจริง ๆ วันนี้ผมเลี้ยงกาแฟครูก็แล้วกัน ถ้าแคล้วกลับมาช่วยส่งข่าวบอกผมด้วยนะครับ ผมมีอะไรบางอย่างจะสารภาพกับเขา ผมรับปากผู้กองไปแบบไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน มันเป็นความลับที่เกี่ยวพันกันแบบน่าพิสดาร ซึ่งแม้แต่ผมเองก็นึกไม่ถึง และนี่ก็คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่แคล้วไม่เคยถูกผู้กองจรูญจับได้เลย ถึงแม้ว่าอยากจะจับ

                                        



                                   ---------------------------------------------------

                                                    สัมพันธ์ จันทร์ผา

 

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ธนาคารวิ่ง



                                               ธนาคารวิ่ง

  
                                     
                                       ภาพยนตร์เรื่อง  Mary Popins

        ในภาพยนตร์ เรื่อง Mary Poppins  ประธานธนาคาร ที่ Mr. Banks ทำงาน ฉวยเงิน tuppence = สองเพ็นนี  (มาจาก two pence) จากมือของ ไมเคิล ลูกชาย Mr. Bank แต่ไมเคิลไม่ย่อม พยายามแย่งเงินคืน พร้อมตะโกนดัง ๆ ว่า Give me back my money ! = เอาเงินของฉันคืนมาก

     เมื่อลูกค้าธนาคารคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจว่าธนาคารไม่ย่อมคืนเงินฝาก ซึ่งก็ส่อว่า ธนาคารไม่มีสภาพคล่อง อย่ากระนั้นเลย ขอปิดบัญชีบ้างจะดีกว่า ก่อนที่ธนาคารจะหมดเงินเกลี้ยงไม่มีเงินให้
                                        


   เมื่อมีคนขอปิดบัญชีมากขึ้น ลูกค้าคนอื่นก็ยิ่ง panic= แตกตื่น และขอถอนบ้าง กลายเป็นฝูงคนมากลุ้มรุม ขอถอนเงินจนธนาคารไม่มีเงินให้ถอนจริง ๆ

    เหตุการณ์อย่างนี้เรียกว่า  ban run หรือ a run on the bank ซึ่งก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการวิ่ง  แต่หมายถึงการที่มีผู้ฝากเงินจำนวนมากขอถอนเงินพร้อม ๆ กันจนทำให้ธนาคารขาดสภาพคล่อง ไม่สามารถจ่ายเงินได้ ทำให้อาจต้องขายทรัพย์สินของตนในราคาขาดทุน และอาจล้มในที่สุด
                                          


   โดยทั่วไป bank runs เกิดขึ้นโดยความไม่ไว้ว่างใจธนาคาร เกรงว่าจะล้มละลายหรือไม่มีเงินจ่าย ดังนั้นจึงต้องรีบถอนเงินฝากออกมา  ถ้าไม่กี่คนคิดแบบนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ปัญหาคือยิ่งมีคนไปถอนเท่าไหร่ คนอื่นก็ยิ่งแตกตื่นตาม และไปขอถอนด้วย

   ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด bank run ที่เกิดกับธนาคารออมสินแตกต่างจาก bank runs ทั่วไปตรงที่ไม่ได้มีเหตุจาก ความแตกตื่น  แต่เป็นเรื่องการเมือง คือเป็นการประท้วงโดยคนที่ไม่ชอบรัฐบาล เพื่อกดดันไม่ให้ธนาคารออกเงินกู้ให้รัฐบาลเพื่อเอาไปจ่ายชาวนา เพราะถือว่าเป็นการออกเงินกู้ที่งุบงิบ  ไม่โปร่งใส

    ทำให้นึกถึงสำนวนอังกฤษที่น่าจะโดนใจรัฐบาลในขณะนี้คือ  Damned if you do, damned if you don't = ทำก็โดนด่า  ไม่ทำก็โดนด่า  ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็โดนสาปแช่งทั้งขึ้นทั้งล่อง                  
                                               



    ban runs อาจจะส่งผลกระจ่ายออกไปในวงกว้างมากกว่าที่คิด  เพราะทางธนาคารอาจต้องเรียกเงินกู้คืนก่อนกำหนด  ลูกหนี้ของธนาคารอาจติดขัด  หลายรายอาจถึงขั้นเจ๊ง  ธนาคารอื่น ๆ ในระบบที่มีการกู้ยืมกัน  ก็อาจถูกกระทบด้วย  เศรษฐกิจของประเทศโดยรวมก็อาจถดถ่อยด้วยหรือตกต่ำได้ ซึ่งจะเป็นวิธี shut down หรือทำลายประเทศที่ได้ผลมาก

        ในความเป็นจริงนั้นผมก็เชื่อว่าคนไทย ทุกคนอยากช่วยเหลือชาวนา ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของประเทศไทย แต่ไม่อยากที่จะช่วยคนที่โกงชาวนาเท่านั้นเอง และรัฐบาลก็ต้องเป็นผู้ให้คำตอบกับชาวนา และประชาชนทั้งประเทศได้ เพราะการรับจำนำข้าวเป็น นโยบายของรัฐบาล ซึ่งได้ตั้งงบประมาณไว้สูงมากแต่นำเงินมาให้ชาวนาไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเงินงบประมาณ แล้วเงินที่เหลือหายไปไหน ข้าวที่รับจำนำไว้ก็ไม่ย่อมนำออกมาขาย เป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล
                                            

    
         ประชาชน แห่ถอนเงิน ธ.ออมสิน จนบางสาขาเงินสดหมด บางรายปิดบัญชี หลังไม่พอใจที่ปล่อยกู้ให้ ธ.ก.ส. หวั่นเกิดหนี้เสีย ด้าน วรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผอ.ธนาคารออมสิน ยอมรับลูกค้าถอนเงินผิดปกติ ยืนยันไม่ได้ปล่อยกู้โครงการจำนำข้าว พร้อมสั่งแต่ละสาขาสำรองเงินสดเพิ่ม 1 เท่า

       เงินนั้นไม่เข้าใครออกใคร ใช่เงินต้องใช้ให้เป็น มิฉะนั้น เงินมันจะกลับมาใช้เรา  ทำให้เราทำในสิ่งที่ผิดศิลธรรมได้



                       ธนาคารออมสิน สาขาสะเดา จ.สงขลา ปิดธนาคารหนีแล้ว !!
                         

                                      


       เมื่อเวลา 14.20 น. หลังจากประชาชนหลายร้อยคน ร่วมตัวกันถอนปิดบัญชีกัน จน ผจก.ธนาคาร เผย ทางธนาคาร ไม่สามารถจ่ายเป็นเงินสดได้ เพราะทางธนาคาร เงินหมดเกลี้ยง !!
                                   
                                          _________________________

                                                                  Sampan Chanpa
   







    















  





วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

เรื่องของข้าว



                                                                 เรื่องของข้าว

                                                         

  เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการจำนำข้าว ของรัฐบาล กำำมะลอ Bogus  แต่เป็นข้าวในสมัยพุทธกาล ข้าวนอกจากเป็นอาหารหลักของคนไทยแล้ว แม้แต่ชาวต่างชาติำก็หันมานิยมรับประทานข้าวกันมากขึ้น ข้าวในสมัยพุทธกาลเราพอแบ่งออกได้เป็น ๒ ชนิด คือ ข้าวมธุปายาสและข้าวยาคู  "ข้าวมธุปายาส"  เป็นข้าวที่หุงด้วยน้ำนมเจือน้ำผึ้ง หรือบางที่ก็ใช้น้ำอ้อย มีลักษณะเป็นข้าวเปียก  ตามพุทธประวัติกล่าวว่า นางสุชาดาเป็นคนแรกที่ปรุงข้าวมธุปายาสมาถวายพระสิทธัตถะก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  ข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาปรุงนี้มาจากน้ำนมที่เข้มข้นเป็นพิเศษของแม่โค และน้ำผึ้งที่คั้นสด ๆ จากรวงของผึ้ง แต่เดิมนั้นนางสุชาดาจะหุงข้าว
มธุปายาสไปถวายเทวดาเพื่อแก้บน แต่เมื่อมาพบพระสิทธัตถะ  ซึ่งมีลักษณะงามราวกับเทวดา  จึงได้ถวายข้าวมธุปายาสแก่พระสิทธัตถะแทน

                                             
  

    สำหรับ "ข้าวยาคู" เป็นคำเรียกข้าวต้มหรือขนมชนิดหนึ่งที่ทำด้วยข้าวอ่อน  ในสมัยพุทธกาลจะแช่ข้าวหรือธัญพืชชนิดอื่นในน้ำในอัตราส่วน ๑ ต่อ ๑๖ แช่ทิ้งไว้จนเปลือกธัญพืชเหล่านั้นอ่อนตัว จึงนำมาเคี่ยวให้เหลือเพียงครึ่งเดียว ตามพุทธประวัติกล่าวถึงข้าวยาคูไว้ว่า มีพราหมณ์ผู้หนึ่งหุงข้าวยาคู  และทำขนมหวานมาถวายพระพุทธเจ้า และพระสาวกโดยที่ขนมอื่น ๆ นั้นเป็นขนมหวานส่วนข้าวยาคูไม่มีรสหวาน ในวินัยพระไตรปิฏก และพระสูตรอังคุตตรนิกาย  กล่าวถึงประโยขน์ของข้าวยาคูไว้ ๕ ประัการ คือ ช่วยบรรเทาความหิว  ช่วยบรรเทาความกระหาย  และทำให้ลมเดินสะดวก ช่วยชำระลำไส้  และช่วยย่อยอาหาร

                                                 
                               
         
  เรื่อง "ข้าว"  ในสมัยพุทธกาลอีกชนิดหนึ่ง คือ "ข้าวต้มลูกโยน" เป็นชื่อขนมอย่างหนึ่งทำจากข้าวเหนียวผัดกับน้ำกะทิที่ผสมเกลือ และน้ำตาลห่อด้วยใบมะพร้าวอ่อนหรือใบเตยเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม มียอดแหลม และไว้หางยาวที่ปลายยอดแล้วนำไปต้มให้สุก  เหตุของการห่ออาหารด้วยใบมะพร้าวหรือใบเตยแล้วไว้หางนั้นเนื่องมาจากครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์  เมื่อออกพรรษาก็เสด็จลงมาทางบันไดแก้ว  แต่ประชาชนจำนวนมากที่มาเฝ้าตักบาตรไม่สามารถเข้าถึงพุทธองค์ได้จึงจับหางของห่ออาหารหรือขนมทั้งหมดนี้โยนไป เพื่อจะได้ให้ตกลงสู่บาตรของพระพุทธองค์


                                                 
                                                                ___________________

สัมพันธ์ จันทร์ผา