วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ภาพยนตร์ เพลง ในควานทรงจำ



                                  ภาพยนตร์เพลง สี่เรื่อง ที่ผมชอบ

                                           


   The Musical Film  หมายถึง ภาพยนตร์ที่นำเอาเพลงมาใช้ในการดำเนินเรื่อง หรือเล่าเรื่องก็คงไม่ผิดนัก ในเชิงวิชาการเราพอจะแบ่งภาพยนตร์เพลงออก ฝรั่งเรียกว่า สไตล์ [ Style ] และแบ่งตามประเภท [Type ] แบ่งตาม สไตล์เราแบ่งเป็น ๓ แบบ คือ เรียลิสม์ [Realism] คลาสสิคัลซีเนมา [Classical cinema] และเอกเพรสชันนิสม์ [Expressionism] ส่วนการแบ่งตามประเภทก็จำแนกได้เป็น ๓ แบบเช่นกัน คือ แบบสารคดี [Documentary] เรื่องเริงรมย์ หรือเรื่องแต่ง [Fiction] และภาพยนตร์ก้าวหน้า ที่นำเสนอความคิด


 ภาพยนตร์เพลงเรื่องแรก  หากไม่นับภาพยนตร์การ์ตูนเพลงของวอลต์ ดิสนีย์ ที่ผมพอจำได้ คงจะเป็นเรื่อง "เจ็ดคู่ชู้ชื่น"[Seven Brides for Seven Brothers] เรื่องที่สองได้แก่ Singing in The Rain, West side Story และ The Sound of Music ความจริงยังมีอีกหลายเรื่องขออภัยที่ไม่ได้เอามากล่าวไว้ในที่นี้ แต่ที่ผมชอบและจำเนื้อเรื่องได้ไม่เคยตกหล่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง "เจ็ดคู่ชู้ชื่น" กับ "มนต์รักเพลงสวรรค์" เพราะเนื้อเรื่องสนุก และที่สำคัญเพลงไพเราะมาก ๆ ฟังติดหู จึงอยากนำมาเล่าสู่กันฟังครับ

                            
                                          

                                Barn Raising Dance (7 Brides for 7 Brothers) 


 "เจ็ดคู่ชู้ชื่น"  ผมจำได้ว่าชมมาหลายครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย "เจน  เพาเวลล์" ที่เป็นทั้งดาราสาวสวย และนักร้องเสียงโซปราโน แสดงคู่กับ "โฮวาร์ด  คีล" ดาราและนักร้องร่างสูงใหญ่ เสียงแบริโทน

  เนื้อเรื่องย่อมีอยู่ว่า  พระเอกของเรา (โอวาร์ด คีล) เป็นหนุ่มใหญ่ชาวไร่แห่งป่าใหญ่ ของมลรัฐโอเรกอน (ยุคบุกเบิก ค.ศ.๑๘๕๐ หรือตรงกับปี พ.ศ.๒๓๙๓ ตรงกับสมัยราชการที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ได้ขี่รถม้ามุ่งเข้าเมืองด้วยจุดประสงค์ที่จะหาผู้หญิงสักคนมาเป็นคู่ครอง  เมื่อเขาได้ไปพักอยู่ในโรงแรมก็ได้พบเข้ากับหญิงสาวรูปร่างสันทัด หน้าตาดี  มีหน้าที่รับใช้งานทุกด้าน  เช่น ทำกับข้าว และทำความสะอาดสถานที่ ซึ่งถือว่าเป็นงานค่อนข้างจะหนัก  เขาจึงถูกชะตา  เข้าทาบทามขอแต่งงานด้วยในทันที


  ฝ่ายสาว (เจน  เพาเวลล์) ผู้ทรหดจากงานหนักก็วาดหวังอนาคตว่า การรับข้อเสนอจากชายหนุ่มน่าจะเป็นเรื่องที่ช่วยให้หล่อนมีอนาคตอันสดใส  มีบ้านช่อง และครอบครัวที่อบอุ่น  และคงจะทำงานหนักน้อยลง เรียกว่าความต้องการสอดคล้องกัน  จึงตกลงรับคำทาบทาม  และได้เดินทางมากับหนุ่มใหญ่เข้าสู่บ้านไร่ทามกลางขุนเขาในทันที

                                  

  แต่นางเอกของเราต้องฝันสลายเมื่อพบว่า  ที่บ้านไร่ชายแดนนั้น  สามีของเธอมิได้อยู่เพียงคนเดียว  หากแต่ยังมีน้องชายวัยหนุ่มที่เป็นชาวป่าอย่างเต็มตัว  ไม่รู้จักมารยาทของสังคมเมื่องใด ๆ ทั้งสิ้นอีก ๖ คนด้วยกัน  แต่เธอก็ใช้ความอดทน และความดีค่อย ๆ ฝึกฝน และอบรมน้อง ๆ ของสามีไปวันละเล็กละน้อย ไม่ว่าจะเป็นมารยาทในการกินอยู่ กิริยามารยาททั่ว ๆ ไป


  ด้วยความดี และความมีเมตตา ของพี่สะใภ้ ทำให้บรรดาน้อง ๆ ของสามีกลายสภาพจากหนุ่มบ้านป่าทีละน้อย ๆ จนกลายเป็นคนมีระเบียบพอที่จะเข้าสู่สังคมส่วนใหญ่ได้  เธอจึงยอมให้สามีพาน้อง ๆ เข้าไปร่วมงานการกุศลในเมืองได้ในวันหนึ่ง  การที่หนุ่ม ๆ มีโอกาสไปพบสาว ๆ ในเมือง ประกอบกับเป็นคนหมู่มากด้วยกัน ทำให้เกิดความเขม่นกันขึันเพราะความหึงหวง หนุ่มชาวป่าเป็นที่น่าหมั่นไส้สำหรับหนุ่มในเมือง เพราะไปจ้องสาว ๆ คนเดียวกัน  ทำให้เกิดบทบู๊ผสานกับบทตลกขึ้นด้วยความสนุกสนาน  แล้วหนุ่มชาวป่าก็กลับมาบ้านป่าตามเดิม

                                             

  เมื่อเริ่มเข้าเหมันตฤดู อากาศเริ่มหนาว หนุ่มทั้งหกต่างพากันเป็นไข้ใจ  อยากจะมีสาว ๆ ไว้กอดนอนเคี่ยงคู่ เช่นพี่ชายบ้าง  พอพี่ชายทราบเรื่องก็เข้าใจถึงความรู้สึกของน้อง ๆ ได้ป็นอย่างดี  ไม่ทราบจะแนะนำวิธีที่แยบคายอื่นใดได้  เพราะตนเองก็เป็นชาวป่าด้วยเลือดด้วยเนื้อ  จึงยุให้น้องชายพากันเข้าเมืองเพื่อไปฉุดสาว ๆ ที่ตนหวังปองมาเป็นคู่เสียเลย


  น้องชายพลอยเห็นด้วยกับคำแนะนำของพี่ชายคนดี  ต่างร่วมมือกันไปฉุดสาว ๆ ที่ตนเล็งเอาไว้ได้สำเร็จทั้ง หกคน แล้วทั้งหมดก็พากันหนีกลับบ้านไร่ชายแดนทันที  ในขณะที่พ่อแม่พี่น้องฝ่ายหญิงได้ส่งคนออกติดตามล่าอย่างกระชั้นชิด  แต่โชคดีเป็นของฝ่ายหนุ่มบ้านนอกชาวป่า  เพราะทันทีที่รถม้าของฝ่ายหนีผ่านพ้นชายเขาเข้ามา  ไม่ทันที่คณะติดตามจะไล่ทัน  ก็เกิดหิมะถล่มปิดหนทางเข้าสู่บ้านไรเอาไว้  พวกที่ติดตามจนปัญญา  และต้องเดินทางกลับด้วยความผิดหวัง  ได้แต่ต้องรอเวลาจนกว่าหิมะจะละลาย จึงต้องใช้
เวลาอีกหลายเดือน

                                          

  เมื่อนางเอกของเราทราบเรื่องของน้อง ๆ สามีไปฉุดผู้หญิงมาเพราะคำแนะนำของสามี ก็โกรธสามีที่ชักจูงให้น้องทำผิดประเพณี จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น  สามีรู้สึกน้อยใจ  เลยเตรียมสัมภาระออกไปล่าสัตว์บนเขาอันเป็นที่ป่าลึก โดยไม่ย่อมกลับมานอนในบ้านตามปกติ


  ฝ่ายนางเอกก็จัดการแยกหนุ่มสาวออกจากกันเป็นสัดส่วน  และอยู่ในสายตาของหล่อนตลอดเวลา พวกหนุ่ม ๆ ก็ต้องผิดหวังกันอยู่หลายเดือน เพราะกติกาของพี่สะใภ้คนดี  ในระหว่างนั้นภาพยนตร์ได้ฉายภาพให้เห็นถึงความผิดหวัง และความว้าเหว่ของหนุ่ม ๆ กันอย่างได้อารมณ์ทีเดียว แม้แต่การผ่าฟืนตัดฟืนก็นำมาเข้าจังหวะกับเพลงอันเฉื่อย ๆ เนือย ๆได้เป็นอย่างดี และมีความไพเราะ  และในช่วงเวลาดังกล่าวที่ทุกคนล้วนแต่ต้องพบกับความว้าเหว่ทั้งสิ้น  นางเอกก็ได้คลอดลูกออกมา เป็นลูกที่พระเอกไม่เคยระแคะระคายมาก่อนว่า  ภริยาของตนตั้งครรภ์

                                         
            
  น้องชายคตนเล็ก (ผู้รับบทคือ รัสส์  แทมบลิน ) ได้บุกป่าเข้าไปตามพี่ชายให้ลงจากเขากลับมาบ้าน  พระเอกของเราทราบเรื่องทั้งดีใจและตกใจสำนึกผิดที่ตนได้ทอดทิ้งภรรยา และลูกไป  จนเมื่อได้เห็นหน้าลูกสาวแรกเกิดเข้าจึงได้สติรู้ผิดชอบชั่วดี  และได้ตั้งใจที่จะสั่งสอนน้อง ๆ ให้พาสาว ๆ กลับไปส่งคืนให้ครอบครัวเสีย เพราะได้เวลาที่หนทางเปิดหิมะละลายแล้ว


  ไม่ทันที่น้อง ๆ จะเอาลูกสาวชาวเมืองกลับไปส่งคืนบ้าน  พวกชาวเมืองกลับยกพวกออกมาตามจนถึงบ้านไร่เสียก่อน และไม่ทันที่จะเกิดเสียงปืนดังลุกลามใหญ่โตถึงกับเลือดตกยางออก  พวกพ่อ ๆ ของสาว ๆ ทั้งหลายเกิดได้ยินเสียงเด็กลูกสาวของนางเอกร้องไห้ ต่างก็พากันสอบถามลูกสาวของตนว่าเด็กที่ร้องไห้เป็นลูกของใคร.....!!!!!! เหมือนกับจะถามว่า "ใช่เป็นหลานของพ่อหรือเปล่า"


  เจตนาของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต้องการให้จบแบบอย่างมีควานสุขกันอยู่แล้ว  สาว ๆ ทั้งหกซึ่งก็ต่างก็แอบเห็นอกเห็นใจหนุ่ม ๆ ของพวกเธออยู่แล้ว ต่างก็พากันตอบเกือบพร้อมกันว่า เด็กคนที่ร้องนั้นเป็นลูกของตนทำให้พ่อทั้งหลายต่างพากันใจอ่อน และยอมยกลูกสาวให้แก่หนุ่มชาวไร่ทั้งหกคนด้วยการยื่นคำขาดให้ทำพิธีแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณี เรื่องราว "เจ็ดคู่ชู้ชื่น" ก็จบลงด้วยความสุข


  เจ็ดคู่ชู้ชื่น เป็นภาพยนตร์ของบริษัทเมโทรโกลด์วินเมเยอร์  เป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุก  มีฉากเต้นรำที่สวยงามและมีเพลงไพเราะหลายเพลง เช่น เพลง BLESS YOUR BEAUTIFUL HIDE, LONESOME POLECAT, WHEN YOU ARE IN LOVE, นอกจากนี้ดนตรีที่ใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังทำให้  อดอล์ฟ เดิช กับ ชอล แชปลิน  ได้รับรางวัล ตุ๊กตาทองไปครองอีกด้วย
                                        
                                          

  เจ็ดคู่ชู้ชื่น  เป็นภาพยนตร์ที่ฉายในระบบ ซีเนมาสโคป (จอกว้าง) และเป็นภาพยนตร์สีแอนสโก ผู้อำนวยการสร้างคือ  แจค คัมมิง และผู้กำกับการแสดงคือ สแตนลีย์  โดแนน ภาพยนตร์มีความยาวในการฉายประมาณ ๑๑๐ นาที นับว่าเป็นภาพยนตร์ที่น่าชมในแบบฉบับครอบครัวอีกเรื่องหนึ่ง จดจำชื่อเอาไว้นะครับ

เจ็ดคู่ชู้ชื่น [SEVEN BRIDES FOR SEVEN BROTHERS]

                                          ________________________


                                                    Sampan Chanpa


















วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

.. ถั่วในกำมือ ...




                                               
                               .. ถั่วในกำมือ ...(ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่น)

 
                                                            
                                                        
                                                          
                                                           ลิงกำถั่ว (ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่น)
มีเรื่องเล่าว่า...ในอินเดีย ลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้านในอินเดีย ลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้านเพราะชอบขโมยผลไม้ในสวน
 
ชาวบ้านจึงคิดวิธีจับลิงโดยใช้กล่องไม้ซึ่งมีฝาด้านหนึ่งเจาะรูเล็กๆ พอให้ลิงสอดมือเข้าไปได้ในกล่องมีถั่วซึ่งเป็นของโปรดของลิง วางไว้เป็นเหยื่อล่อ

วันดีคืนดี ลิงมาที่สวนเห็นถั่วอยู่ในกล่อง ก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบถั่ว
แต่พอถอนมือออกมาก็ติดฝากล่อง ... เพราะกำมือของลิงนั้นใหญ่กว่าฝา
กล่องที่เจาะไว้...ลิงพยายามดึงมือเท่าไรก็ไม่ออก

พอชาวบ้านมาจับ ก็ปีนหนีขึ้นต้นไม้ไม่ได้ เพราะมีมือเปล่าอยู่ข้างเดียว
สุดท้ายก็ถูกคนจับได้ ลิงหาได้เฉลียวใจไม่ว่า เพียงแค่มันคลายมือออกเท่านั้น
มันก็เอาตัวรอดได้

แต่เพราะยึดถั่วไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย จึงต้องเอาชีวิตเข้าแลก

....... มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เ
ราใฝ่ฝันอยากได้

จนถึงกับยึดไว้อย่างเหนียวแน่น เวลาประสบปัญหา

เพียงแค่คลายสิ่งที่ติดยึดนั้นเ
สียบ้าง ปัญหาก็คลี่คลาย

แต่เป็นเพราะเราไม่ยอมปล่อย

จึงเกิดผลเสียตามมาอย่างมากมาย.
..ไม่คุ้มกับสิ่งที่ติดยึด

ปัญหาทั้งหลายในชีวิตนั้น ถ้าเรารู้จักปล่อยวางเสียบ้าง

มันก็จะบรรเทาไปได้เยอะ

บ่อยครั้งการปล่อยวางไม่เพียงแต่
เป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาเท่านั้น หากแต่เป็นทางออกจากปัญหาเลยทีเดียว

                              ขอขอบคุณบทความดีดี จากเพื่อนคนหนึ่ง
 
                                                   ________________________
 
 Sampan Chanpa

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เซน อยู่เหนือตรรกะเหตุผล และถ้าเป็นภาษาก็ไม่สมบูรณ์



                                                       เซนอยู่เหนือเหตุผล



                                    

                                


                                          





   ถ้าท่านเคยชมภาพยนตร์จีนกำลังภายใน หรือภายนตร์ซามูไรของญี่ปุ่น เรามักจะได้ยินบทสนทนาแบบฟังไม่รู้เรื่อง หรือเมื่อฟังแล้วก็ต้องนำกลับมาคิดแล้วคิดอีก บางทีบทสนทนาอาจอยู่เหนื่อเหตุผล ล้ำลึกจนคนธรรมดายากจะเข้าถึง นั่นแหละคือการสือสารแบบเซน

  เซน  เริ่มต้นที่ประเทศจีน โดยพระโพธิธรรม (ชาวจีนเรียกว่าปรมาจารย์ตั๊กม้อ) พระอริยะชาวอินเดีย ที่เดินทางไปเผยแผ่ พุทธศาสนาที่ประเทศจีนเมื่อประมาณ ๑,๕๐๐ ปี ที่แล้ว ในชื่อว่า "ฌาน" เมื่อไปสู่เกาหลี เรียกว่า "เซิน" และเมื่อไปถึงญี่ปุ่น ก็กลายเป็น "เซน" ในที่สุด
 
   เซนไม่มีรูปธรรม  อยู่เหนือขอบเขตความคิดแบบ ตรรกศาสตร์ หรือ ตรรกะ ว่าด้วยเหตุและผลที่เราชอบพูดกันบ่อย ๆ จนคำว่า "เหตุผล" เราพูดกันไม่ค่อยเป็น อะไร ๆ ก็ตรรกะ จนมีเพื่อนฝูงมาคุยกันเล่น ๆ ว่า "เฮ้ย ไอ้ ตรรกะ กับ ตะกละ และตะกลาม มันเหมือนกันหรือเปล่า" พวกเราก็หัวเราะกันเป็นที่ครื้นเครง  เซน จะว่าไปอาจเป็นภาษาการสื่อสารไม่สมบูรณ์ ฟังแล้วคิด 

คิดทบทวนหลายรอบก็ยากที่จะเข้าใจ  แต่ที่แน่ ๆเซน จะชี้ตรงเข้าไปถึงแก่นของสัจธรรมด้วยวิธีการหรือคำพูดที่ชาวโลกอย่าเรา รู้สึกว่าเพี้ยน  เพื่อปลุกให้ตื่นขึ้นจากมายาสิ่งสมมุติไปสู่พุทธิปัญญา  หรือภาษาเซนเรียกว่า "ซานโตริ"
   
                                            


       นอกจากการนั่งสมาธิแล้ว  อาจารย์เซนมักจะให้ปริศนา หรือที่เรียกว่า "โกอาน"
แก่ศิษย์ ซึ่งโกอานนี้ไม่สามารถตอบได้ด้วยความคิดแบบเหตุผลของชาวโลก แต่ต้องหาคำตอบจากความบริสุทธิ์ภายใน เช่น "หน้าตาของเจ้าเป็นเช่นไรก่อนที่พ่อแม่เจ้าจะเกิด" หรือ "จงไปตามหาเสียงของการตบมือข้างเดียว" เป็นไงครับ จะตอบอย่างไร มันยิ่งกว่า ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่ แต่ของเซนเมื่อศิษย์เข้าถึงซาโตริแล้ว ก็จะสามารถพบคำตอบได้ในที่สุด



                                   
                                                               Musashi



  เราลองมาอ่าน นิทานเซนเรื่องนี้กันดีไหม  


                                                       "เรื่องประตูสวรรค์"






   กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว (แต่ไม่ใช่นานมากนานจนจำไม่ได้นะครับ จะเป็น เซนเข้าไปแล้วเรา) มีทหารลูกพระอาทิตย์ แต่งเครื่องแบบครบเครื่องพร้อมทั้งดาบซามูไร  ปีนป่ายขึ้นเขาไปหาอาจารย์ ฮากูอิน  ความต้องการก็อยากไปคุยกับพระ  ให้พระแก้ข้อสงสัยที่ตัวเองก็ชักจะไม่เชื่อครามครัน  มันเป็นหลักความคิดนึกที่เก็บงำไว้แต่ผู้เดียวนานมาแล้วจะเอ่ยปากกะผู้ใด  ก็กลัวคนอื่นเขาหาว่า เป็นคนไม่มีศาสนา สู้อุสาห์ถ่อร่างมาไกล มาหาพระอาจารย์องค์ที่ทุกคนในญี่ปุ่นเขาลือกันว่าท่านเก่ง


  ทหารคนนั้นเอยปากถามท่านอาจารย์ว่า  "ท่านอาจารย์ขอรับ ถ้าเราจะมาว่าให้ตรงตามความเป็นจริงกันแล้วนรกสวรรค์เป็นของมีจริงหรือ?"

  ท่านอาจารย์  หันขวับมาจ้องหน้าเจ้าของคำถามทันที และแทนที่จะแก้ข้อสงสัย  หรืออธิบาย  ท่านกลับย้อนถามเอาทหารคนนั้นว่า  "เธอน่ะใคร?"

  "กระผมเป็นซามูไร ครับ" ทหารคนนั้นแจ้งสถานะความเป็นนักรบของตนโดยซื่อ  ท่านอาจารย์กลับขึ้นเสียง เอาอีกว่า "อาไร! ทหารทะแหนอะไรนี่!  เจ้านายคนไหนนะช่างไปเอาคนอย่างเธอนี่น่ะ!  มาเป็นลิ้วล้อไพร่พล? หน้ายังกับขอทานแน่ะ!"

  โดนหลู่เกียรติเข้าจัง ๆ เช่นนั้น  ทหารคนนั้นโกรธพลุ่งจัดลุกขึ้นฉับไว ใช้มือขวากุมด้ามดาบ  ยังไม่พออีกท่านอาจารย์ ฮากูอิน  ยังสำทับกล่าวต่อไปอีกว่า  "ฮึ มีดาบด้วยหรือ! คมหรือเปล่านะ ตัดหัวฉันได้ไหมนั่น"เหมือนอย่างกะเอาน้ำมันสาดใส่ไฟที่เริ่มคุ ทหารผู้ปริ่มล้นด้วยศักดิ์ศรี ไม่ฟังอิร้าค่าอิรมอันใด  มือตีนหน้าตามันเป็นไปของมันเอง  ชักดาบออกจากฝักเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว.... ก็พอดี  ได้ยินท่านอาจารย์ เปลี่ยนระดับเสียงด้วยน้ำใจกรุณาปราณี เยี่ยงพระมาโปรดสัตว์หน้าโง่ ว่า

  "นี่ไง ลูกเอ๋ย ประตูนรกแล้วละ ! ที่เธอกำลังเป็นอยู่ทั้งเนื้อทั้งตัว ขณะนี้นี่แหละ  กำลังเหยียบประตูนรกแล้วละ  ถ้ามีประตูแล้ว นรกจะมีหรือไม่มีล่ะ?"

  ฉับพลันทันทีนั้นเหมือนกัน  นักดาบซามูไรของเราก็สำนึกตัว สำนึกบาป  มือไม้แข้งขาอ่อน ทรุดตัวลงกราบแทบเท้า  ไหว้แล้ว ไหว้อีก ขออภัยและยอมตัวเป็นศิษย์  ยอมหมดทั้งกายทั้งใจ ตั้งแต่บัดนี้ไป

  ท่านอาจารย์เลยถือโอกาสกล่าวชี้แจงขึ้นอีกวาระหนึ่งว่า  "นี่ไง  ลูกเอ๋ย ประตูสวรรค์ละ! ที่เธอกำลังเป็นอยู่ทั้งเนื้อทั้งตัวขณะนี้  กำลังเหยียบประตูสวรรค์แล้วละ  ถ้ามีประตูสวรรค์แล้ว  สวรรค์จริง ๆ จะมีหรือไม่มีล่ะ?!"
นิทานก็จบ

    จากเรื่องราวที่เล่ามานี้  เราท่านย่อมทราบในเนื้อนิทานเรื่องนี่เอง  แม้มันจะเป็นข้อความโต้ตอบสั้น ๆ แต่ก็บรรยายถึง มโนกรรม  วจีกรรม  กายกรรม  ที่ท่านอาจารย์เซนทั้งหลายใช้สอนศิษย์  ให้รู้เห็นกันเดี๋ยวนั้น ณ  ที่นั่งอันเดียวนั้น  ว่ามันเป็น อกุศลกรรมบท ซึ่งธรรมะหมวดสำคัญนี้  พวกเราใช้เรียนใช้ท่องกันถึง ๑๐ อย่าง  และแจกลูกออกไปอีก ๔๐ อย่าง  สวดเรียงข้อแต่ละอย่างใน ๔๐ อย่างนี้ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ถ้าจะอธิบายยกตัวอย่างเรียงลำดับข้อกัน  ต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ เสร็จแล้วยังเลือน ๆ  กลัวว่ามันจะเรียงข้อนั้นก่อน  ข้อนี้หลังพะวักพะวน

  ดูเอาเถิดท่านทั้งหลาย  มันเป็นการเหลือบ่ากว่าแรงเหลือเกินที่จะต้องมานั่งอธิบายข้อความที่ลึกลับ ละเอียดแต่นำสืบให้เห็นกันสด ๆ ไม่ได้  เกี่ยวกับนรกสวรรค์  ยิ่งในพวกคนหนุ่มที่ถือตัวว่ามีการศึกษาสมัยใหม่  หรือทรงศักดิ์เป็นชั้นนั้นชั้นนี้  ยิ่งแล้วใหญ่  คนผู้ทำหน้าที่ วิสัชนาจะไปทำอย่างไรกะคนพวกนี้ดีไม่ดี อาจผลักเจตนาอยากรู้อยากถามของเขา  ให้ลงเหวแห่ง มิจฉาทิฏฐิมืดมิดไปเสียอีก

  การที่ใครก็ตาม  เริ่มอยากรู้ และถามเรื่องตายเกิด หรือนรกสวรรค์  พึงให้รู้เถิดว่าเขากำลังบ่ายหน้าสนใจเรื่องของศาสนามาบ้างแล้ว  อย่าได้ไปตั้งข้อรังเกียจเขา  ถ้าชี้แจงให้เขาไม่กระจ่าง ก็ควรบอกให้เขาไปถาม คนที่สมควรต่อ ๆ ไป เยี่ยงน้ำใจนักกีฬา  บางทีเขาอาจไปโดนทีเด็ด  อย่างท่านอาจารย์ ฮากูอินในเรื่องนี้บ้างกระมัง


หมายเหตุการจะอธิบายเรื่องนรกสวรรค์นั้นเป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญ อธิบายสามวันเจ็ดวันก็ไม่เป็นที่สรุปดีไม่ดีอาจไปมีเรื่องกับผู้มาขอคำอธิบายอีก แต่อาจารย์ ฮากูอิน ท่านอธิบายแบบสด ๆ เข้าใจเลยภายในเวลาเล็กน้อยเท่านั้นเอง

                                          


                                            _______________________

                                                                                              Sampan Chanpa


























   
        

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เถรตรง



                                                       เถร ตรง
                                                         
                                     


  ใครก็ไม่รู้  ที่กล่าวคำคมว่า  นักการเมืองจะต้องพูด ดำเป็นขาว  พูดขาวเป็นดำ  ถ้าลงเป็นแบบนั้น  มะกอกสามตะกร้าก็ปาไม่ถูก  ตอนหาเสียงพูดว่าข้าไม่เอากะเอ็ง  เพราะเอ็งเป็นเผด็จการ ครั้นเลือกตั้งเสร็จ กลับไปอี๋อ๋อออเซาะกันซะแล้ว ชาวบ้านก็เลยเง็ง  ชักจะเหม็นเบื่อ


  ไม่แต่เมืองไทยหรอกที่เป็นแบบนี้   ที่ประเทศเยอรมันก็เป็นเหมือนกัน  กล่าวคือ ผู้คนกำลังเหม็นเบื่อนักการเมืองมืออาชีพ  พวกนี้มีเงินถุงเงินถังอุดหนุน  ไม่รู้ไปเอาเงินมาจากไหน  แต่ละคนรวยจนพุงกาง แต่งตัวสวยสุดหล่อ  พูดจาดี  ขยันกล่าวสุนทรพจน์  และขยันออก ที.วี. ถามอะไรตอบได้หมด เก่งที่ซู้ด !!!!

                                        


  ชาวบ้านเยอรมันเลยชักเซ็ง  เพราะนักการเมืองเขี้ยวลากดินเหล่านี้ ทำให้ประเทศเยอรมันเต็มไปด้วยมลภาวะ  แถมยังจะเอาขีปนาวุธมหาภัยของอเมริกามาตั้งไว้ในเยอรมันเสียด้วย  พวกหนุ่มสาวเยอรมัน ทนไม่ไหวจึงมีการชุมนุมประท้วงคล้าย ๆ กับเมืองไทยของเรา  แต่คนละเรื่องกับบ้านเรา ของเขาประท้วงนิวเคลียร์ และขีปนาวุธกันใหญ่   เรียกชื่อกลุ่มของตนว่าพวกกรีนส์

  คือพวกเขียว

  เพราะพวกนี้รักต้นไม้  ใครจะตัดต้นไม้  ถางป่าเพื่อเอาที่่่่่ไปทำสนามบิน หรือบ้านเราจะทำเขื่อน จะไม่ย่อมเด็ดขาด  นโยบายข้อแรกจึงมุ่งอนุรักษ์ธรรมชาติ ตรงข้ามกับบ้านเราตัดต้นไม้แหลก แจกโฉนด โหดจับเสือขาย ละลายเงินป้องกันน้ำ นักการเมืองบ้านเราทำทั้งนั้น มันบอกว่ามันยังรวยไม่พอ เอากับมันซิ..!!!! ส่วนของเยอรมันนั้นรักความเขียวของต้นไม้

  นโยบายข้อต่อไปคือ  แอนตี้ขีปนาวุธร้ายแรงของอเมริกัน  เกี่ยวกับแรงงาน พวกเขียวมีหลักการว่าต้องสร้างงานให้มากขึ้น  เพื่อแก้ปัญหาคนว่างงาน  วิธีสร้างงานทำอย่างไร ?  พวกนี้บอกให้ลดเวลาทำงานของกรรมกรลง  เมื่อเป็นเช่นนี้ทางโรงงานก็จะต้องรับคนงานเพิ่ม

  พวกเขียวเหล่านี้ ทีแรกก็ออกมาอาละวาดเยิ้ว ๆ อยู่ข้างถนน  พูดจาไม่ค่อยเข้าหูคน เป็นพวกเถรตรง มองเห็นเงาในกระจกยังเดินชนว่างั้นเถอะ คนตรงใจคิดอย่างไรปากก็พูดไปอย่างนั้น ถ้าถามผมว่าดีไหม ผมก็ว่าดีนะ ไม่ต้องอ้อมค้อม (circuitous) แต่ขอให้มีเหตุผล  ไม่ชอบอะไรกูก็ด่าแหลก  พวกนี้ไม่เคยหวังตำแหน่งหรือลาภยศอันใด

  ชาวบ้านเลยเชียร์กันใหญ่   เลยเลือกเข้าไปนั่งในสภาท้องถิ่น ลองดูก่อนหกเจ็ดคน  เอาเข้าไปเป็นฝ่ายค้าน  ปรากฏว่าได้ผล  เพราะพวกกรีนหรือพวกเขียวได้บอกไว้แต่แรกแล้วว่า เถรตรง ไม่ชอบอะไรก็ด่าแม่งเลย  ชนดะไม่กลัวใครเลย  ใครจะเส้นใหญ่มาจากไหน จะมีปลอกคอยังไงกูไม่สน  ประชาชนเลยชักจะชอบ

   ในการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ  จึงรบเร้าให้พวกกรีนส์ส่งสมาชิกเข้าสมัคร  ผลปรากฏออกมาว่าพวกกรีนส์ ได้รับเลือกเข้าสู่สภาใหญ่ของประเทศถึง ๒๗ คน ตะลึงกันไปหมดทั่วยุโรป พวกกรีนส์จึงนุ่งกางเกงยีนส์เข้าสภาใหญ่หน้าตาเฉย แถมใส่รองเท้ากีฬาเข้าไปด้วย

   ทำเอา "สภาผู้ทรงเกียรติ (ไม่จริง)" มัวหมองไปเยอะ  แต่ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติประเภทเขี้ยวลากดินทั้งหลายก็พูดไม่ออก  เพราะพวกกรีนส์ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฏหมายหรือผิดระเบียบของสภา  พวกกรีนส์ได้ชี้ให้เห็นว่า  เกียรติของสภาไม่ได้อยู่ที่เกือกหรือเสื้อนอกตัวละพัน  เพราะพวกกรีนส์ไม่ยอมใส่เสื้อนอก สาเหตุที่ไม่ยอมใส่ ก็เพราะไม่มีนี่หว่า

  พวกกรีนส์ได้บอกกับนักข่าวว่า  "เกียรติอยู่ที่อุดมคตินะ....ผมว่า....เกียรติมิได้อยู่ที่เกือกหรอก  เกือกคู่นี้ผมมีอยู่แล้วก็เลยใส่มา  ไม่มีเงินจะซื้อคู่ใหม่  ท่านรัฐมนตรีท่านใส่เกือกกันคู่ละสามพันผมว่าบ้านะ....หรือคุณว่าไง ? " 

  พวกนี้เป็นพวกเถรตรง  พูดภาษาดอกไม้หวานหูไม่เป็นชอบพูดทื่อ ๆ แถมยังขู่เสียด้วยว่า " คอยดูสิ...ถ้าสภางุุบงิบทำอะไรหรือมีข้อตกลงอะไรที่ไม่ชอบมาพากล  พวกเราจะเอามาแฉให้หมด ราษฎรมีสิทธิจะรับทราบ (อันนี้ใช้กับเมืองไทยไม่ค่อยได้เพราะมันหน้าด้านกันเกือบทุกคนแค่เรื่องทุจริตการรับจำนำข้าวมันยังตั้งหน้าตั้งตาโกงกันตาใส ๆ ไม่สนใครจะว่ากล่าวอย่างไรกูไม่รับรู้เพราะถือว่าพวกกูมีเสียงข้างมากมีอะไรไหม)  

                                                


  พวกสมาชิกเก่าที่่เป็นนักการเมืองอาชีพคร่ำหวอดถึงกับเสนอว่า  กรรมมาธิการสภาบางคณะเช่นกรรมาธิการทหารไม่ควรให้พวกกรีนส์ไปวุ่นวายด้วย

  เมื่อประเดิมเริ่มแรกที่ออกมาร้องปาว ๆ กันอยู่กลางถนนนั้นมีเพียงสมาชิกไม่กี่สิบคน  เผลอแพล็บเดียวเพิ่มขึ้นเป็นร้อย  ตอนนี้ได้ยินว่าสมาชิกขึ้นไปเป็นแสนแล้ว  อายุเฉลี่ยอยู่ในระหว่าง ๒๕-๓๕ ปี บางคนอายุตั้ง ๗๐ ปีแล้วยังกะเย้อกะแหย่งมาขอเป็นสมาชิกด้วย โดยอ้างว่า "เด็กพวกนี้มันเจี๊ยวสนุกดีว่ะ....."

  ได้ยินว่าร้อยละ ๓๐ ของสมาชิกเป็นผู้หญิง  และหัวหน้าใหญ่คนหนึ่งที่ได้รับเลือกตั้งเข้าไปนั่งในสภาแห่งชาติที่กรุงบอนน์นั้นก็เป็นผู้หญิง  ชื่อ เภตรา  เค็ลลี่  เธอบอกว่า "เรามิได้ต่อต้านอเมริกัน แต่เราต่อต้านสงคราม เอากะแม่...ซิ.......อย่ามาหาว่าเราเป็นซ้าย  เพราะเราไม่ใช่ซ้าย  ไม่ใช่ขวา......เราเป็นพวกเดินหน้า "

  พวกนี้คงจะดูหนังเรื่อง  "คานธี " กันคนละหลายรอบ เพราะย้ำหนักหนาว่า  "ยุทธวิธีของเราไม่ใช้ความรุนแรงในการต่อสู้ทั้งปวง  เราอาจจะถ่มน้ำลายใส่ตำรวจที่มาผลักอกเรา แต่เราจะไม่ยิงเขาหรือแทงเขาเป็นอันขาด..... เรายอมติดคุกเพื่ออุดมคติของเรา  ถ้าหากมันจำเป๋็น  และเราวิ่งหนีไม่ทัน "

                                                 




  พวกกรีนส์ส่วนใหญ่ที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นั้น มีการศึกษาดี บางคนเป็นครู  เป็นนักหนังสือพิมพ์ คนหนึ่งเคยเป็นนายพลในกองทัพ  อีกสองคนเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย  มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่เป็นกรรมกร....ขายแรงงานจริง ๆ เลย เขาบอกด้วยความภาคภูมิใจว่า "ผมเป็นช่างก่ออิฐ  แต่ผมสนใจปัญหาสังคมนะ"

  ช่างก่ออิฐคนนี้  พอเข้าประชุมสภาได้สองนัดก็ออกมาแถลงความรู้สึกว่า  "ผมคิดว่าพวกเราคงทำอะไรไม่ได้ในสภา  เพราะต้องประธานชี้จึงจะพูดได้.......เราจะต่อต้านนิวเคลียร์ต่อไป แต่ผมรู้สึกว่าเราจะต้องออกมาตั้งวงตะโกนกัน นอกสภาอย่างเก่า"

  ธรรมดาของสภาเปิดมักมีเหตุการณ์แปลก ๆ   ในเมืองไทยในอดีตก็เคยมีเรื่องตลกไม่ออกเหมือนกัน  รัฐมนตรีท่านหนึ่งตั้งคนล้มละลายเป็นเลขา ฯ เลยมีเสียงตะโกนบอกกันออกมา ท่านรัฐมมนตรีผู้นั้นท่านก็ดี
ท่านบอกว่า "งั้นเรอะ...ผมก็เปลี่ยนใหม่ได้......ผมจะไปรู้เรอะ  ไม่มีใครแขวนป้ายไว้นี่ว่า เขาเป็นคนล้มละลาย"

  ที่เยอรมันก็มีเรื่องคล้าย ๆ กัน  คือพวกกรีนส์ได้เข้าสภา ๒๗ คน  ก็มีพวกไม่ชอบขี้หน้าไปคุ้ยประวัติมาแฉโพยว่า สมาชิกกรีนส์คนหนึ่งชื่อ  เวอร์เนอร์ โวเกิล อายุ ๗๕ ปีนั้น  ในอดีตเคยเป็นพรรคนาซี  อีตาคนนี้แกก็ยอมลาออกทันที  แกบอกว่า  "ถ้าผมอยู่ในวันเปิดสภา  ผมก็จะต้องทำหน้าที่เป็นประธานสภาชั่วคราวก่อนจะเริ่มเลือกประธานตัวจริง  เพราะผมเป็นคนที่มีอาวุโสที่สุดในสภา  ผมลาออกให้เห็นเป็นตัวอย่าง  เผื่อบางทีจะทำให้พวกอดีตนาซีที่ยังหน้าด้านรับราชการอยู่จะได้รู้สึกละอายแก่ใจบ้าง"

  ฝ่าย ส.ส. หญิง เภตรา  เค็ลลี่  หัวหน้าของพวกกรีนส์พอเข้าสภาก  ก็เจอปัญหาเหมือนกัน  คือห้องน้ำในสภาสำหรับ "หญิง"  ปรากฏว่า คนแน่นเหลือเกิน แต่ละคนใช้เวลาในนั้่นกันนานเหลือเกิน  เพราะบรรจงแต่งแต้มตรงโน้นตรงนี้  มองแล้วมองอีกกว่าจะเสร็จ  คุณเภตราแกรำคาญเต็มแก่  ต้องตะโกนว่า "ขอไปเอาสบู่ล้างมือหน่อย !!"   พวกที่กำลังกะตุ้งกะติ้งแต่งหน้าแต่งคิ้วทาปากจึงยอมแหวกทางให้

  แต่ปัญหาที่หนักกว่านั้นคือ  มีชาวบ้านโทรเลขไปแสดงความยินดี บางคนก็โทรศัพท์ บางคนก็เขียนจดหมายไปให้กำลังใจถึง ๒๐๐ ฉบับ เธอนั่งตอบจดหมายจนตีสามก็ยังไม่เสร็จ  รู้สึกว่าจะไม่ไหว รุ่งขึ้นจึงมาบอกพรรคพวกว่า  ขออนุญาตจ้างเลขา ฯ สักคน

  แทนที่พรรคพวกจะเห็นใจ  กลับพูดเยาะว่า  "โอ้โฮ! เดี๋ยวนี้จะต้องมีเลขาแล้วเรอะ.....งานคงท่วมไหล่เลยนิ......  แล้วก็แอบไปนินทากันลับหลังว่า  "พอได้เข้าสภาก็ชักเจ้ายศ เจ้าอย่าง.....ฮิ.....ฮิ...... ทำยังกะเป็นเลดี้ไดขึ้นมาเชียว" เป็นงั้นไป

  พวก "ลัดดาซุบซิบ" แอบไปได้ยินก็เอามาตั้งฉายาว่า เธอคือ....... เลดี้ไดแห่งพรรคเขียว  ทำท่าจะเสียคนเอา! 

  การเล่นการเมืองก็อย่างนี้   เถรตรงนักก็ถูกเขาตุ๋น   กลมกลิ้งนักก็กลายเป็นปลาไหล.......ไม่พูดอะไรเสียเลยดีกว่า

  ก็ยังจะว่าเป็น  "พระเตมีใบ้" อีกนะ... !!

                                                    






                                              ______________________________________

                                                                                                                  Sampan Chanpa







































 












วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เรื่องของ รองเท้า





                                                เรื่อง ของรองเท้า


                                             

 เท้าเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างมนุษย์  ผู้ที่ไม่มีเท้าก็อาจจะได้ชื่อว่า เป็นผู้พิการขาดสิทธิทางกายภาพไป บางทีพวกเราก็เรียกว่า "ร่างกายไม่ครบสามสิบสอง" ถ้าถามว่าผู้ที่่พิการสามารถอยู่ในสังคมได้ไหม คำตอบง่าย ๆ ก็คือสามารถอยู่ได้ ถ้าเขาอยากจะอยู่  แต่ผู้พิการส่วนใหญ่มักจะคิดว่าถูกทอดทิ้งทางสังคมหรือเป็นภาระต่อสังคม ความจริงแล้วสังคมส่วนใหญ่ไม่ได้ทอดทิ้งท่าน

  เท้าของคนเราเป็นอวัยวะที่มี่ตำแหน่งที่อยู่ต่ำที่สุดของร่างกาย ถ้าท่านไม่อยู่ในสภาพที่กำลังนอนราบไปกับพื้นโลก  ปกติแล้วเท้าได้รับมอบหมายให้ทำหน้าทีหลายอย่าง ที่สำคัญที่สุดก็คือรับน้ำหนัก และใช้เป็นตัวขับเคลื่อนนำพาร่างกายไปในที่ ๆ อยากจะไป 

  เมื่อเท้ามีหน้าที่ขับเคลื่อน มนุษย์จึงจำเป็นต้องหาอุปกรณ์มาช่วยแบ่งเบาภาระของเท้าก็คือ "รองเท้า Shoes " สมัยก่อนพวกเราเรียกว่า "เกีอก Footwear"  และรองเท้าที่ผมมีความสนิทสนมมากที่่สุดคือยี่ห้อบาจา BATA  จริง ๆ แล้วบางท่านอาจจะนึกว่าเป็นยี่ห้อรองเท้าของคนไทย ผมไปอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ์ (ฉบับวันที่ ๒๒ ต.ค.) คุณกิเลน ประลองเชิง ตำนานบาจา คุณกิเลน บอกว่า เจ้าของรองเท้า บาจา ชื่อ นายโธมัส บาจา บริษัทบาจา เริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ๒๔๓๗ ร้อยกว่าปีที่แล้ว ปี ๒๔๔๐ ประการหลักการลูกค้าเป็นนายของเรา ผลิตรองเท้าผ้าใบขาย และในปี ๒๔๖๐ สามารถทำยอดขายได้
๒ ล้านคู่ต่อปี

                                                        


  ในปี ๒๔๗๕ นายโทมาส บาจา แกก็จากโลกใบนี้ไปไม่มีวันกลับ แต่ถ้าสมมุติว่าแกกลับมาคงจะดีใจแน่นอนว่ารองเท้ายี่ห้อ BATA ของแกเจริญรุ่งเรือง ผมพูดเองนะครับ สาเหตุการจากไปของอีตาโธมัส บาจา ก็คือเครื่องบินทีแกโดยสารไป มันตกครับ แต่บริษัทรองเท้าของแกกลับยิ่งเจริญรุ่งเรือง และในปี  ๒๔๘๒ ได้มีการขยายเครือข่ายออกไปถึง ๖๓ แห่ง ใน ๖๐ ประเทศ ยอดขายปีละ ๖๐ ล้านคู่

  ในปี ๒๔๘๒ บาจาต้องสะดุด  เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เข้ามายึดครองบริษัท ผมลืมบอกไปว่า รองเท้า บาจามีต้นกำเนิด ที่กรุงปราก ประเทศเช็ก  (ชื่อเดิม เช็กโกสโลวาเกีย ) พูดมาถึงตอนนี้ให้นึกถึง รองเท้า ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งวัยรุ่นสมัยผมอยากสวมใส่มากคือยี่ห้อ เช็กโก วัยรุ่นสมัยนั้นเรียกติดปากว่า รองเท้าเช็กโก  ป็นรองเท้าหนังกลับหุ้มข้อ ใครได้ใส่ บอกได้คำเดียวว่า เท่ห์ระเบิด เดียวนี้ใครใส่รองเท้าหนังกลับไม่ว่ายี่ห้อใด เราก็เหมาเข่งเลยว่า รองเท้าเช็กโก

                                             




  สุดท้ายบริษัท บาจาไม่ยอมแพ้ ได้ย้ายไปเปิดสำนักงานใหม่ที่ประเทศ แคนาดา  และในปี ๒๔๙๓ (หลังผมเกิด ๑ ปี) บาจาได้เข้ามาตั้งบริษัทในไทย  ในปี ๒๕๑๙ ได้เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต่อมาในปี ๒๕๓๗ ตั้งเป็นบริษัทมหาชน จนถึงปี ๒๕๕๓ บาจาได้บริการลูกค้าวันละ ๑ ล้านคน มีพนักงาน  ๔ หมื่นคน มีร้านค้าปลีก ๔,๖๐๐ แห่ง ใน ๕๐ ประเทศทั่วโลก


  ในประเทศไทย  มีโรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง  ผลิตได้ ๘ แสนคู่ แบ่งเป็น (รองเท้านักเรียน ๔๕๐,๐๐๐ คู่ ) มีร้านค้าปลีก ๕๗ แห่ง  เอเย่นต์ค้าส่ง ๓๔๖ แห่ง

ประวัติ!!!!..... บาจายาววนานกว่า ๑๐๐ ปี ยืนยันบริหารจัดการ  ยิ่งกว่ามืออาชีพ พูดง่าย ๆ ว่าเหนือกว่า
มืออาชีพ ธุระกิจสืบทอดมาจนถึง โทมัส เจ บาจา  ทายาทรุ่นที ๑๐  แบบนี้ไม่ใช่เรื่องดวงดีแล้ว หรือโชคช่วย แต่เป็นการแสดงถึงความสามารถเหนือมืออาชีพชนิดที่ทิ้งกันแบบไม่เห็นฝุ่น

" การที่ผมเป็นลูกคนเดียวของพ่อ  ผู้เป็นตำนานบาจา เป็นเหมือนดาบสองคม  ในแง่ลบทุกคนตั้งความหวังจากผม  ผมก็ต้องการเรียกร้องความเป็นตัวของตัวเอง  อยากหลีกหนีให้ไกลจากเงาของพ่อและแม่ เมื่อใดที่ผมประสบกับความสำเร็จ  ผมก็จะกลายเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น   แต่เมื่อใดถ้าหากผมเกิดพลาดพลั้ง ขึ้นมาไม่ประสบผลสำเร็จ  ผมก็จะถูกตำหนิว่าผมทำธุระกิจของครอบครัวล้มเหลว  แต่ผมโชคดี ข้อเปรียบเทียบเหล่านี้ถูกลบไปจนหมดสิ้น"

  สันติ  วิลาสศักดานนท์  เขียนไว้ในคำนำ ว่า

"การฟันฝ่าอุปสรรคมาได้กระทั้งยามสงคราม  กลยุทธ์การเอาตัวรอด  กลยุทธ์การตลาดในการขยายธุรกิจ  การมองตลาด  หาโอกาสทำธุรกิจได้ตลอดเวลา  เป็นการแสดงถึงภาวะผู้นำ และวิสัยทัศน์  จนสามารถนำองค์กรอยู่ยืนยงมาได้"

  ในหมู่พ่อค้าคนจีน  มีคำกล่าวว่า ธุรกิจครอบครัวมักรุ่งเรืองอยู่ได้ ๓ ชั่วอายุคน  รุ่งเรืองรุ่นพ่อ  รุ่นลูกประคองไว้ได้  และมักมาเจ๊งที่รุ่นหลาน....!!!!

แต่บาจา ได้พิสูจน์แล้วว่า....ไม่ไช่

ข้อมูลบางส่วน ได้นำมาจาก  บทความไทยรัฐ ของ คุณกิเลน ประลองเชิง
                                                 
                                                   

                                                        ______________________

                                                                 สัมพันธ์ จันทร์ผา






วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อ่านมาอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น



             อ่านมาอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น

                                           



        โลกของเรานี้  ประชากร ของแต่ละประเทศย่อมมี พฤติกรรมที่แตกต่างกัน ออกไป พฤติกรรมเป็น ผลพวง ของนิสัย และนิสัยเป็น ผลพวง ของธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแต่ดั้งเดิม

มีคำถามว่า คนไทยมีนิสัยแตกต่างจากคนชาติอื่น ๆ อย่างไร เรามาดูนิสัยของคนในชาติอื่น กันก่อนดีไหม

( ผลรวมแบบกว้าง ๆ นะครับ ผู้อ่านอาจมีควาคิดต่างได้ )
                                             

                                                 


                                       

     มาดูชาติจีนกันก่อน   คนจีน จะประหยัด มัธยัสถ์ เอาการเอางาน มีเลือดรักชาติ ทะเยอทะยานไม่กลัวความลำบาก หนักเอาเบาสู้ แข็งแรง เก่งด้านค้าขาย อ่อนน้อมถ่อมตน ชอบสูบบุหรี่ ชอบพูดจาโหวกเหวก (คุณเห็นเป็นอย่างไร และปัจจุบันนี้จีนเป็นอย่างไร )


                      


                                    


  คนญี่ปุ่น จะสุภาพเรียบร้อย นิ่มนวล กดขี่ทางเพศ ล้างสมองได้ยาก มีความรับผิดชอบสูง ชาตินิยม มี ระเบียบวินัย สูง ตรงต่อเวลา ประหยัด มีความคิดสร้างสรรค์สูง หัวก้าวหน้า เครียด อารมณ์ทางเพศสูง ผู้ชายค่อนข้างซาดิสต์ ทระนงตน ใจเด็ด (ถ้าลดความทนงตนลงนิด ถ่อมตัวลงหน่อย คงจะไม่ก่อสงคราม ไปทั่วในอดีต)
         


                                          


                                                  


  คนอินเดีย จะชอบกิน อาหารเผ็ดร้อน พวกเครื่องเทศ ชอบแกงคั่ว พูดเก่ง ตื๊อเก่ง เจรจาการค้าเก่ง อดทนสูง ทำธุรกิจบางอย่างที่คนไทยทำไม่ได้ ขยัน ประหยัด ลูกเล่นแพรวพราว และสกปรก (สกปรกนั้นเป็นส่วนใหญ่ ที่สะอาดหูสะอาดตาก็มีอยู่มากเหมือนกัน ฝรั่งสกปรกก็มีมากเหมื่อนกัน)      





                                                  


                                
     คนเยอรมัน ตรงไปตรงมา จริงใจ ไม่ชอบเอาเปรียบใครและไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ รอบคอบในการใช้เงินมีการวางแผนชีวิตที่ดี (ถ้าไม่ก่อสงครามคงเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ ของโลกไปแล้ว)

     คนสวิตเซอร์แลนด์ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง สันโดษ รักอิสระ ไม่ชอบเป็นลูกจ้างใคร ไม่ชอบให้ใครมาบงการ เจ้าระเบียบ   เป็นระบบ เกลียดความวุ่นวาย         (คุณเชื่อไหมว่า ประเทศสวิตแทบไม่มีผลกระทบกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ เลย )
                               

                                           
                 

  คนอังกฤษ จะตระหนี่ ประหยัด มัธยัสถ์ สุขุมลุุ่มลึก ขี้เก๊ก ฟอร์มผู้ดี จริงจังกับชีวิต ทำงานหนักสู้ค่าครองชีพที่สูง ยิ้มยาก หน้าตาเครียดตลอดเวลา (ไม่รู้ว่าถูกยกย่องว่าเป็นผู้ดีอังกฤษได้อย่างไร หรื่อเป็นชาติเดียวในโลกที่ได้รับสมญานามว่า "ดินแดนที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ")                                               

                                              
  



  คนอเมริกัน รักอิสระเหนือสิ่งอื่นใด มีนิสัยหลากหลายตามเชื้อชาติของเขา ชอบเฮฮาปาร์ตี้ เปิดเผย พูดตรง ตรงต่อเวลา เอาแต่ใจตัวเอง มีอีโก้สูงมาก คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น (ตอนนี้เลยเริ่มจะชักหน้าไม่ถึงหลัง เพราะคนเราบางครั้ง จะเก่งหรือจะทำอะไรก็ต้องมีขอบเขต )                                        

                                          


  คนฝรั่งเศส รับผิดชอบสูง เจ้าสำอาง พิถีพิถันในการแต่งกาย รสนิยมสูง ครอบครัวจะมาก่อน นิยมใช้ขนมปังปาดจานจนเกลี้ยง ใช้รถคันเล็ก ๆ เพราะต้องการประหยัดพลังงาน (แต่ในอดีตก็พอ ๆ กับอังกฤษ เหมือนกัน นักล่าอาณานิคมทั้งคู่ )    


                                                    


  คนออสเตรเลีย ขี้เหนียว ขยันทำงาน ไม่ค่อยจะเปิดใจยอมรับคนผิวเหลือง ทำมาหากินเก่ง ใครด้อยกว่าจะโดนเอาเปรียบได้โดยง่าย (ในอดีตก็คนส่วนใหญ่เชื้อสายอังกฤษไปรุกรานเขาแล้วก็เหมาเอาเป็นชาติของตัวเอง ปัจจุบันก็กีดกันไม่ย่อมให้ผู้ลี้ภัยชาติอื่นเข้าประเทศ ความจริงก็เป็นเกือบทุกชาติ แต่ออสเตรเลียกีดกันมาก)
        



                                                


  คนนิวซีแลนด์ สุภาพ เรียบร้อย อ่อนโยน ไม่หยิ่ง ไม่ถือตัว อัธยาศัยดี ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่อวดรวย รักธรรมชาติ (แทบจะเรียกแบบภาษาชาวบ้านว่า "บ้านเหนือบ้านใต้"กับออสเตรเลีย แต่นิสัยต่างราวฟ้ากับเหวเลยก็ว่าได้)                           


                                           
  
                                          
  คนอิตาลี จริงจัง มุ่งมั่น ขยันงาน คุยตลก สนุกสนาน ใช้มือประกอบการพูด รักสะอาด รักง่ายหน่ายเร็ว การหย่าร้างสูง  (ในอดีตดินแดนนี้เคยรุ่งเรื่องมากเรารู้จักกันในนามว่า "อาณาจักรโรมัน" แต่อำนาจใด ๆ ในโลกนี้ ล้วนไม่ยั่งยืน )     


                                               

   

  คนสเปน ทะลึ่งทะเล้นนิด ๆ ขี้เล่น ไม่ชอบเครียด เอ็นจอยกับชีวิต แม้เศรษฐกิจของชาติจะไปไม่รอดแต่ก็ยังเฮฮาอยู่ เป็นคนไม่อ้อมค้อม  (มีส่วนร่วมสังฆกรรมกับอังกฤษและฝรั่งเศษ 

ล่าอาณานิคมกับเขาด้วยเหมื่อนกัน เดินเรือเก่ง และต่อเรือเก่งอีกต่างหาก)    


                               
                      

 


  คนแคนาดา มีส่วนผสมของชนชาติต่าง ๆ มาก คนเอเชียไปอยู่ที่นี่มาก คนแคนาดาจึงเป็น ลูกผสม โดยไม่รู้ตัว  ( แคนนาดาอยู่ติดกับอเมริกา แต่คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจนะครับว่าอเมริกาแทบจะร้องไห้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะดันไปขายดินแดนที่นึกว่ามันไม่มีประโยชน์ให้แคนนาดา เพียงราคาแค่ ๑ เหรียญ หนึ่งเหรียญจริง ๆ ครับ แคนนาดาก็ซื้อครับเหมือนได้เปล่า และที่ว่าอเมริกาแทบร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด ก็เพราะว่ามารู้ที่หลังว่า เป็นแหล่งน้ำมันที่มีมากมายมหาศาล แต่ก็ได้แต่นั่งน้ำลายยืด กระพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับบ้านพี่เมืองน้องอยู่ในเวลานี้ อ้อ !  เกือบลืมบอกไปว่าดินแดนนี้ คือ อลาสก้าในปัจจุบันครับพี่น้อง)

  คนไต้หวัน ผู้ชายต้องตักอาหารก่อน ครอบครัวมาก่อนเสมอ ผู้ชายทำงานบ้านเก่ง แต่อารมณ์ร้อน ชอบแต่งตัว ชอบทำหน้า ผู้ชายเกาหลี ซ้อมภรรยา มากที่สุด ถ้าแต่งงานกัน ผู้หญิงเกาหลีต้องนับถือญาติฝ่ายชายมากกว่าญาติตัวเอง  (ชาตินี้ว่าไปในอดีตก็น่าสงสารมากครับ เราเรียกว่า เกาะ ฟอร์โมซา จริง ๆ แล้ว ฟอร์โมซา คือภาษา ของชนพื้นเมืองเดิม ที่เดิมใช้ติดต่อพูดคุยกัน แต่เดี่ยวนี้มีผู้ใช้ภาษานี้น้อยมาก เกือบจะกลายเป็นภาษาตายไปแล้ว )

 

                                            

                                        


และนี่ก็เป็นนิสัยของพวกเราชาวไทยผู้น่าสงสาร  (อยู่ในขณะนี้) ความจริงน่าเวทนามากกว่า

   คนไทย ชอบกินอาหาร ชอบกินข้าว ร่าเริง เป็นกันเอง ชอบเล่นหวย ชอบการพนัน เชื่อโชคลาภ ชอบหวังน้ำบ่อหน้า เชื่อคนง่าย ด่วนสรุป ชอบต่างชาติโดยเอาเฉพาะพวกฝรั่ง ชอบเที่ยว ชอบชอปปิง ชอบซื้อสินค้าแบรนด์เนม นิยมความหรูหรา ทำนองรายได้ต่ำรสนิยมสูง การทำงานเป็นทีมไม่ค่อยจะได้รับความสำเร็จ ขี้อิจฉา ขี้หมั่นไส้ รับทุกอย่างที่ขวางหน้า จะเห็นได้ชัดคือ วันสำคัญ ๆ ของคนต่างชาติ คนไทยรับมาเป็นวันสำคัญของตัวหมด ชอบใช้ บัตรเครดิต เพราะเชื่อในเรื่องอนาคตยังมีความหวังและประการสำคัญ มีความเป็นไทยสูงใช้สิทธิและเสรีภาพเปลือง

   ผมไม่มีข้อคิดเห็นนะครับ เพราะผมเป็นคนไทยรักชาติไทยไม่อยากให้คนไทยในขณะนี้แตกความสามัคคีกัน  จนไม่เหลือความเป็นชาติ ทำให้ชาติอื่น รวมทั้งคนบางกลุ่มในชาติของเรา เอาความอ่อนแอของชาติเราไปกอบโกยผลประโยชนฺ์ใส่ตัวเอง ถ้าคนในชาติไม่รักสามัคคีกัน
แค่คิดน้ำตาก็จะไหลแล้ว แต่มันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ  " ไม่มีสันติภาพ และความสงบ เกิดขึ้นแน่ ถ้าโลกใบนี้ยังหวังกอบโกยและหาผลประโยชน์กันไม่มีที่สิ้นสุด"


                                                ___________________________



           

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์



                                วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์ 


      วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์ นิยามความรวยกับความจน มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่? ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า...

 ๑) ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็ก ๆ เป็นกระท่อมน้อย ๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ มันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

 ๒) มีที่ดิน แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่ง มันเยอะมาก จริง ๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงิน เขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้น ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ ๆ ด้วย


     เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่ายคือ ปลูกต้นไม้ ไม้ประดูููููููููุุุุุูู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปี ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น เป็นเรื่องแปลก ที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย..มันร้อน ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะ จะทำการเกษตรได้ ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ ไม่เอาๆ อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า

   แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญา จะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผม เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ...

 ๑) ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ 


 ๒) ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่
     สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า ลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้       เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ

 ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอน ให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน 

  
 ผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์มากที่สุด คืองานเกษตรซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่ม ในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหาร ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด


   
     ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เพราะว่าสะอาด จ้างเท่าไหร่ก็ไม่อยากให้ไปอยู่ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด สำคัญที่สุดคือ เรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง เพราะว่าคนเมืองเห็นแก่ตัว วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ เดี๋ยวก็ฆ่ากัน ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโล


   คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น เอื้ออาทรกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกัน ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ ถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบของใครของมัน บ้านคนละหลัง ครอบครัวคนละหลัง ไม่รู้จักกัน ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็ก ๆ เราก็ช่วยเหลือกันได้ คุยกันได้ แบ่งปันกันได้ ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้ 


      ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงิน ไม่ได้เรียนหนังสือสูุุุุุงๆ แต่เขาจะมีสิ่งที่ดีกว่านั้นเยอะ คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี ไม่มียาเสพติด ไม่มีการพนัน ไม่ม อาชญากรรม มันน่าอยู่ ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้นมันก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง 


   ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยา ไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่น ลูกผมเรียนหนังสือไม่เก่ง ปีนี้เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขา มีนักเรียน ๓๙ คน มันเดินสายกลางพอดีเลย (หัวเราะ) แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่า เป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้น ฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว 

          ผมเคยอยู่ในสังคมอย่างนั้นมาก่อน มันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจ แต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิตของคนอีสาน ที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา ทำให้ลูกอายุแค่ ๘ ขวบเป็นคนมีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมาก ๆ เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก สำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต ผมคิดว่าเขาคงมีความสุขแน่


                                    _____________________________