วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เรื่องของหมากับคน ตอนที่ ๒

                                                       เรื่องของหมากับคน

          ที่กล่าวมาในตอนที่ ๑ เป็นเรื่องทำนองนิยาย          ข้อสันนิษฐานอันเกี่ยวกับความผูกพันระหว่างคนกับหมาที่น่าเชื่อควรจะเป็นของนาย KONRAD  Z.  LORENZ ชาวเยอรมันผู้เชี่ยวชาญทางสัตว์ศาสตร์      ซึ่งกล่าวไว้ว่า    ในสมัยยุคหิน  คนเรายังท่องเที่ยวหากินกันเป็นฝูง ๆ พอตกค่ำก็ก่อกองไฟเข้า    แล้วเอาเนื้อสัตว์ปิ้งกินและนอนหลับอยู่ข้าง ๆ กองไฟ   ฝ่ายหมาซึ่งขณะนั้นเป็นหมาป่าออกหากินกลางคืนเป็นฝูงเห็นกองไฟ   และได้กลิ่นเนื้อสัตว์ที่พวกคนเอามาเป็นอาหารก็จะต้องสนใจมาเรียงรายอยู่ในที่มืดรอบ ๆ วงที่คนได้พักค้างคืนอยู่แต่ไม่กล้าเข้าใกล้   ในยุคนั้น   สัตว์ใหญ่ ๆ ที่ชอบจับคนกินเป็นอาหารก็มีอยู่มาก   ดังนั้น  ในตอนกลางคืน   คนจึงต้องผลัดกันอยู่ยามระวังภัย  คนที่อยู่ยามก็คงได้ลูกตาของหมาซึ่งสะท้อนอยู่กับแสงไฟนี่แหละแก้เหงา   และหากเผลอหลับไปบ้างแล้วมีสัตว์ใหญ่เข้ามาหมาที่อยู่รอบนอก  ก็จะต้องเห่าหอน และหนีกันเกรียวกราว ทำให้ยามตื่นจากหลับได้    หรือแม้ไม่หลับเสียงของหมาก็จะเป็นสัญญาณภัยบอกให้รู้ตัวล่วงหน้า

           หมาอาจอยู่ในฐานะเป็นผู้เตือนภัยให้แก่คนเรามาอีกหลายร้อยปี   โดยที่ฝ่ายคนไม่รู้ตัวและไม่เห็นประโยชน์ของหมาโดยชัดเจน  แต่ต่อมาคงจะมีสักคราวหนึ่งที่คนได้ผลัดเข้าไปพักแรมในที่ ๆฝูงหมาตามเข้าไปไม่ถึง   "คืนนั้นพวกคนคงจะวังเวงและเกรงภัยมิใช่น้อย  และคุณของหมาก็คงปรากฏขึ้นในใจของคน"  ต่อมาเมื่อได้กลับมานอนค้างในที่ ที่หมาตามมาถึง  ก็อาจมีใครสักคนหนึ่งโยนเศษอาหารเนื้อหรือกระดูกออกไปนอกวง   หมาก็จะเข้ามากินซึ่งเป็นการเข้ามาใกล้คนอีกขั้นหนึ่ง   จากนั้นเป็นต้นมา     หมาก็คุ้นเคยกับคนมากขึ้้นหมาบางตัวอาจตามคนไปล่าสัตว์ใหญ่ในเวลากลางวัน  คนก็ได้อาศัยหมาซึ่งมีจมูกไวกว่าตามกลิ่นสัตว์ไป     เมื่อพบแล้วก็เข้ารุมล้อมเห่าสัตว์นั้น ๆ  ก็มัวพะวงอยู่กับหมา   ทำให้คนเข้าถึงสัตว์ที่ถูกล่าและฆ่าเอาได้โดยง่าย   เมื่อฆ่าสัตว์ตายแล้ว  คนคงแล่เอามาแต่เนื้อทิ้งเครื่องใน  กระดูก   และเศษเนื้อไว้ให้หมากิน  

           หมาก็มีอาหารมากกว่าที่เคย   ส่วนคนก็จะต้องเห็นประโยชน์ของหมา   เพราะนอกจากจะช่วยเป็นยามในตอนกลางคืนแล้ว    การล่าสัตว์โดยการมีหมานำไปยังทำให้คนได้สัตว์มาเป็นอาหารโดยแน่นอนขึ้นอีกด้วย    หมานั้นมีสัญชาตญาณเป็นสัตว์ฝูงอยู่แล้ว    จึงเลื่อมใสในอำนาจของคนและเห็นคนเป็นจ่าฝูง     เกิดความภัคดีต่อคนมาจนถึงทุกวันนี้

         พฤติกรรมอันโดดเด่นของหมาพอมาอยู่กับคนแล้ว มีผู้บันทึกไว้มากมาย  แต่ทีผมประทับใจมากมีอยู่  ๒  ตัว ตัวหนึ่งประทับใจในด้านความจงรักภักดีต่อผู้เป็นเจ้าของ      ส่วนอีกตัวหนึ่งชอบใจในด้านความเก่งกล้าของมัน

         หมาที่ผมซาบซึ้งในความจงรักภักดีของมัน   คือ    หมาของ  ซาบินุส  นักกฎหมายชาวโรมัน   ในตอนท้ายของชีวิต  ซาบินุส ทำให้จักรพรรดิไทเบริอุส กริ้วมาก    จึงถูกตัดสิ้นประหารชีวิต   หมาที่เขาเลี้ยงไว้แต่เล็ก ๆ  ได้ติดตามไปอยู่เป็นเพื่อนเขาในคุกใต้ดิน   และในวันประหารก็เดินตามไปจนถึงตะแลงแกง

          เมื่อซาบินุสสิ้นชีวิตแล้ว  เจ้าหมาผู้ภักดีก็ยังนอนอยู่ข้าง ๆ ศพนั่นเอง  แม้จะถูกพวกเพชฌฆาตเตะถีบและขว้างปาตะเพิดไล่อย่างไรมันก็ไม่ยอมลุกหนีไป      ตามประเพณีในกรุงโรมสมัยนั้น   ศพนักโทษประหารจะต้องโยนทิ้งไว้ในหลุมตื้น ๆ สักสอง- สามวันแล้วจึงจัดการต่อไป  ระหว่างนั้นจะมีการจัดทหารยามมายืนเฝ้าศพป้องกันการขโมย      ทหารพวกนี้เห็นอาการทุกข์โศกของหมาแล้วก็สงสารปลอบโยนให้มันกลับบ้าน

         ตอนแรกมันทำท่าจะเชื่อ    แต่พอเหลียวไปเห็นร่างที่มันแสนรักนอนจมกองเลือดไม่ไหวติงอยู่  มันก็จากไปไม่ได้  ต้องกลับมาเฝ้าศพและครางหงิง ๆ ต่อไปใหม่    ที่น่าสลดใจยิ่งขึ้นก็คือ  ในตอนเย็นเมื่อทหารยามหิ้วอาหารมาฝากมัน     แทนที่เจ้าหมาผู้ภักดีจะกินอาหารนั้น   มันกลับคาบชิ้นขนมปังไปยังศพนายแล้วพยายามป้อนเข้าปากที่หุบแน่นอยู่อย่างนั้น.......

          วันต่อมา     ทางการได้นำศพของซาบินุสไปโยนทิ้งในแม่น้ำไทเบอร์   เจ้าหมาผู้ติดตามศพอยู่อย่างใกล้ชิดก็กระโดดตามศพลงไปในแม่น้ำ      มันทำอย่างที่มันคิดว่าจะช่วยนายไม่ให้จมน้ำตายมันดำลงไปงับเสื้อของเขาไว้ได้และพยายามฉุดศพขึ้นมาสู่ผิวน้ำแล้วลากเข้าหาฝั่ง   แม้ศพจะหลุดจากปากถึงสองครั้ง   มันก็ดำลงไปงับขึ้นมาใหม่ได้ทุกครั้ง     และครั้งสุดท้ายนี้มันงับไว้แน่นไม่ยอมปล่อยให้หลุด   แต่ตัวมันเองหมดแรงเสียแล้ว   ศพจึงดึงเจ้าหมาผู้ภักดีให้จมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำด้วย.......

       ยังจบไม่ลงหน้ากระดาษหมดเสียก่อน  พบกันครั้งต่อไปในไตรภาคของสัตว์เลี้้ยงที่ใกล้ชิดเราที่สุดครับ..........!!!!!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น