วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ชั่ง ตวง วัดนี่

                                      ชั่ง  ตวง   วัด

                      อย่านะครับ   อย่าเข้าใจว่าผมกลายเป็นนักวิชาการ    หรือผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงการคลัง   นำเอาเรื่องการชั่งการตวง การวัดอะไรมาบรรยาย  ไม่ใช่หรอก
                      
                      ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นมาตรา ชั่ง ตวง วัด ในป่าในปางไม้หรือในชนบทเมื่่่อ ๔๐ กว่าปีก่อนโน้น   ก็เกี่ยวกับเรื่องป่าเรื่องไม้ครับ    

                      
ขึ้นต้นเรื่องชั่งก่อนก็แล้วกัน   สิ่่่่่่่่่่งแรกที่เราใช้ชั่งกันในป่าก็คือการชั่งข้าวสาร  สมัยนั้นไม่ได้ตวงเป็นถังเป็นลิตรเหมือนเดี๋ยวนี้ (เดี๋ยวนี้เป็นกิโลกรัมแล้ว)   ก็อยากบอกเอาไว้สักนิด    อันว่าข้าวสารนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยห้าหรือเบญจปัจจัยของชาวปางไม้เขา  คือสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้เป็นอันขาด ๕ ประการอันมี "พริก  ฮ้า  ยา  เกลือและข้าวสาร" พริกคือพริกแห้งที่ต้องนำไปเก็บสต๊อคไว้เป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับฮา   ก็คือปลาร้านั่นแหละ  จะแกงจะยำ จะทำอะไรสำหรับกับข้าวพวกปางไม้แล้วดูเหมือนจะต้องใช้เสียแทบทั้งนั้น    รวมทั้งยาคือยาฉุนพื้นเมืองเป็นตั้ง ๆ  สำหรับคนงานมวนบุหรี่สูบ    และยาแก้ไข้ซึ่งจะมีอยู่อย่างเดียวคือ
ควีนินน้ำสีเขียวใสน่าดู  แต่เวลากินแล้วขมชะมัด    เป็นไข้เป็นหนาวอะไรก็ขนานเดียวนั่นแหละ   ครอบจักรวาล   ตวงใส่ขวดส่งจากเมืองไปเก็บไว้เป็นสิบ ๆ ขวด  ไม่ใช้ขวดละ ๘ ออนซ์  ๑๐  ออนซ์หรอกครับว่ากันขนาดขวดเบียร์     ขวดเหล้าโรงโน่นที่เดียว   (สมัยนั้นยังไม่มีแม่โขง   ขืนอ้างขวดแม่โขงเดี๋ยวจะหาว่าโกหก) เวลาให้พวกขมุ ที่ป่วยเป็นไข้กินก็แสนลำบากอยากเข็ญ   บ้วนทิ้งเสียบ้าง อาเจียร โฮก โฮก  ออกเสียบ้าง  บางคนถึงขนาดต้องช่วยกันจับแขนจับขาบีบจมูกกรอกทั้ง ๆ ที่อายุถึง ๔๐-๕๐ปี  ไม่ใช่เด็ก ๆ
                    ทีนี้ก็มีเกลือ  นี่ก็สำคัญยิ่งขาดไม่ได้เหมือนกัน  แต่ที่เปลืองและใช้กันมากที่สุดเห็นจะเป็นข้าวสาร   ปางไม้ใหญ่ ๆ มี ขมุ หรือคนงานมาก ๆ เดือน ๆ ต้องใช้หลายกระสอบ  บางปีเปิดการทำไม้
ไกล ๆ  การขนส่งข้าวสารจึงเป็นเรื่องวุ่นวายพอดู    จึงมีพ่อค้านำเรือต่าง  ม้าต่าง  บรรทุกเข้าไปขายให้เป็นประจำ   พ่อค้าพวกนี้จะคอยติดตามอยู่เสมอว่านายห้างฝรั่งมันจะไปเปิดทำไม้ที่ไหน  ก็จะเข้าไปติดต่อบรรดาลูกช่วงผู้รับทั้งตัดฟันชักลากไม้    ว่าจะต้องการข้าวสารเดือนละเท่าไร   ซื้อขายกันในราคาไหน    พวกนี้รู้ดีว่าคนงานหรือพวกขมุปางไม้นนี้คนหนึ่งกินข้าวหมดเท่าไหร่ ๆ ต่อวัน
                    แรก ๆ เข้าไปคุมงานในป่า   ยังไม่ค่อยรู้อะไร เขาบอกว่า คนของผมซึ่งมีประมาณ ๓๐ กว่าคน    ต้องกินข้าวเหนียวที่เราเรียกว่าข้าวนึ่ง    หมดเดือนละประมาณเก้าแสน  ทำเอาตกใจ  ปีหนึ่งค่ารับจ้างทำได้ยังไม่ได้ถึงแสน  จะไปเอาเงินที่ไหนไปซื้อถึงขนาดนั้น   เขาพากันหัวเราะกันใหญ่  
ไอ้แสน ๆ ที่ว่านี่มันเป็นมาตราชั่งน้ำหนักของข้าวสารทางชนบทในภาคเหนือขณะนั้น  เขามีการชั่งน้ำหนักเป็นฮ้อย (ร้อย) แล้วก็ปั่น (พัน) หมื่น,  แสนขึ้นไปตามลำดับ  โดด ๆ งั้นแหละ  ไม่มีมาตราเป็นร้อยอะไรพันอะไรมาทดสอบดูที่หลัง  น้ำหนักของเขา ๘ ฮ้อย  เท่ากับ ๑ กิโลกรัม  ข้าวสารกระสอบหนึ่งมี  ๑๐๐  กิโลกรัม   ก็ตกเข้าไปตั้งเจ็ดแปดหมื่นแล้ว คนงาน ๓๐ เศษ  เดือน ๆ ไม่ถึงสิบแสนก็ดีถมไป    ข้าวสารแสนหนึ่ง  (ประมาณกระสอบเศษ ๆ )  ใช้ม้า หรือวัวต่างส่งถึงปางไม้ตกไม่ถึง ๑๕ บาท  ทำเอาตกอกตกใจไปได้
                    
                    ทีนี้ก็มาถึงเครื่องตวง      ส่วนมากก็จะเป็นการใช้ตวงข้าวเปลือก   บางทีช้างทำงานมาก ๆ  หญ้าน้ำไม่เพียงพอเราก็หาซื้อข้าวเปลือกไว้ให้ช้างกินเพื่อเพิ่มพละกำลัง (สมัยใหม่เรียกเพิ่มพลังงานยังกับช้างเป็นเครื่องจักร)  ถ้าเป็นป่าแถวเมืองแพร่     เมืองน่านเขาจะตวงขายเป็นหาบ    หาบหนึ่งมีสองกระบุง  เรียกว่า่ "บุงหมื่น"  เอาอีกแล้ว  มาตราโดด ๆ ลอย ๆ มาอีกแล้ว   บุงหมื่นนี่มีความจุประมาณ  ๓๕ ลิตร   หาบหนึ่งก็มี ๗๐ ลิตร  ๓  ถังครึงนั่นแหละ    ถ้าเป็นทางลำปาง   พะเยาแถวนั้นเขาตวงด้วย 
"ต๋าง" รูปร่างคล้ายกระบุงแต่เล็กกว่า     ความจุประมาณ ๑๓-๑๔ ลิตร  ทางลำพูน  เชียงใหม่  ตวงกันด้วย  "เปี๊ยด"  มีขนาดใกล้เคียงกับต๋าง
               
                    ทีนี้ก็มาถึงการวัด     อันนี้แหละครับต้องใช้กันมากในการทำไม้    สมัยนั้นที่สำคัญก็คือการวัดไม้  ตัวเงิน ตัวทองมันอยู่ตรงนี้นี่ครับ     ไม้ซุงที่พวกเรารับจ้างชักลอกออกมาจากป่านั้น  ท่อน ๆ มันมีขนาดใหญ่ไม่เท่ากัน   เล็กบ้างโตบ้าง   ทั้งสั้นยาวก็ไม่มีขนาดจำกัด (เมื่อผมยังเป็นเด็ก ๆ อยู่นั้นฝรั่งมันใช้วัดกันเป็น "พิกัด"จำได้คลับคลายคลับคลาไม่กล้ายืนยัน)   คือเขาจะถือว่าไม้ท่อนซุงที่จะวัดกันเป็นเป็นพิกัดนั้นจะต้องมีความยาวท่อนละ ๔ วาหรือประมาณ ๘ เมตรเป็นเกณฑ์        ทีนี้ไม้ท่อนซุงที่ตัดกันตามลักษณะไม้จะให้ออกมาเป็นท่อนละ ๔ วาทุกท่อนไม่ได้     เขาจึงใช้วิธีวัดเอาความยาวของไม้ทั้งหมดในหมอนหรือในล๊อคนั้นมารวมกัน     สมมุติว่ารวมกันแล้วได้ ๔๐๐  วา  เขาจะถือว่าไม้หมอนนั้นมีร้อยท่อน   ทั้งที่บางทีอาจจะมีตัวจริงถึง ๒๐๐ ท่อนก็ใช้วิธีถัวเฉลี่ย  เช่นเดียวกับการวัดความโตของไม้   จะวัดกันตรงกึ่งกลางของไม้ทุกท่อนว่้ากันเป็นกำ  กำหนึ่มีประมาณ ๒๐ ซ.ม. เอามารวมกันทั้งหมดเอาจำนวนท่อนหารก็ได้ ก็ได้ตัวเลขเฉลี่ยออกมาว่าท่อนละกี่กำ
       
                     แล้วมีการตั้งเทเบิ้ลหรือตารางกำหนดเป็นเกณฑ์ตายตัวไว้ว่า  ถ้าถัวเฉลี่ย ๗ กำ  ราคาดูเหมือนจะเป็นพิกัดละ ๓ บาท ๘ กำพิกัดละ ๔ บาส ยิ่งถัวเฉลี่ยท่อนไม้โตขึ้นในราคาที่สูงขึ้นไปตามลำดับ   อันนี้ผมจำไม่ค่อยได้หมดตารงตารางกำหนดราคานี่    ทีี่นี้ก็มาว่ากันไม้ป่านั้น   นายห้างมันจ้างเราตัดฟันชักลากในสนนราคาเท่าไหร่ ๑๐ พิกัด  ๑๒  พิกัดแล้วแต่จะตกลง  ก็เอาจำนวนพิกัดที่ได้รับจ้างนั้นคูณกับจำนวนเงินในตารางราคา      สมมุติว่าไม้ที่ผมชักลากถัวเฉลี่ยท่อนละ  ๗ กำ   ราคาตามตารางกำหนดพิกัดละ ๓บาท   เขาว่าจ้างในราคา  ๑๐ พิกัด   ผมก็ได้รับค่าจ้างท่อนละ ๓๐ บาท   ถ้าไม้กองนั้นมี ๑๐๐ ท่อน   อย่างที่ยกตัวอย่างมาแล้ว ผมก็จะัได้รับเงินทั้งหมด ๓,๐๐๐ บาท  อย่างนี้แหละครับอาจจะดูงง อ่าน สองเที่ยวก็เข้าใจถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรอ่านผ่านไปก็แล้วกัน (เพราะป่าไม้ไม่มีให้สัมปทานอีกแล้วครับ)

                        เวียนหัวไม่น้อยทีเดียวในการวัดไม้เป็นพิกัด     ขนาดผมเขียนเองอ่านเองก็ยังงง ๆ อยู่เลย   ก็ด้วยความยุ่งยากภายหลังจึงเปลี่ยนมาคิดปริมาตรเป็นลูกบาศก์เใตรเป็นท่อน ๆ ไป  รวมทั้งหมดได้กี่ลูกบาศก์เมตร   รับจ้างลูกบาศก์เมตรละเท่าไหร่  ก็เอาตัวเลขคูณเข้าไปเป็นเงินค่าจ้างทั้งหมด

                         การวัดไม้เป็นพิกัดเป็นลูกบาศก์เมตรอะไรนี่ผมว่าออกจะเป็นมาตราวัดที่หนักไป  เอาวิธีวัดอย่างอื่นที่ชาวบ้าน ๆ มาว่ากันบ้างดีกว่า

                         มีมาตราวัดในสมัยนั้นอยู่อย่างหนึ่่ง     คือการวัดลำกล้องปืนซึ่งส่วนมากเป็นปืนแก๊ป หรือเป็บปืนคาบศิลาที่ชาวชนบทเขาใช้กันเป็นประจำสำหรับการล่าสัตว์ในป่านั่นแหละ    เห็นว่าแปลกดีจึงขอนำมาเขียนเล่าไว้สักเล็กน้อย    เจ้าของปืนแต่ละคนจะใช้ความกว้างของหัวแม่มือของตน   ทั้งมือซ้ายมือขวาวัดทาบลำกล้องปืน    ตั้งแต่โคนถึงปลายกระบอกสลับกันไปโดยเอ่ยคำพูดเรียกว่า "คำสรุปปืน"

                                                              หน้าเขียงค่อม
                                                              กล่อมสมบัติ
                                                              แสนสัตว์ม้วย
                                                              ต้วยก้วยมาดาย
                                                              ตุ๋มหาย
                                                              ต๋ายเหล่าอื่น
                                                              แห่เจ้าหมื่นเมือเมอง
                                                              ผักเหลืองเต็มซ้า

                       แล้วกลับมาตั้งต้นใหม่จากหน้าเขียงค่อมต่อไปอีกจนสุดปลายกระบอกปืน   ทีนี้พอหัวมือสุดท้ายไปตกที่ข้อความอะไรก็รู้ว่าปืนของตัวเองมีฤทธิ์มีอำนาจในการยิงสัตว์อย่างไรแค่ไหน

                       ถ้าตกหน้าเขียงค่อม   อันนี้ดี  ปืนกระบอกนี้ถ้าแบกเข้าป่าแล้วเป็นไม่ผิดหวัง  ต้องได้เนื้้อได้เก้งอะไรกลับมา  ก็ได้มาหั่นมาสับกันจนเขียงค่อม  คือเขียงกร่อนหรือสึกไปเพราะใช้งานมากนั่นเอง

                       กล่อมสมบัตินี่ไม่ไหว    แบกออกล่าสัตว์ไม่มีโชคไม่ได้ยิงอะไร ดีแต่สำหรับไว้เฝ้าบ้านกันขโมยเท่านั้น

                       แสนสัตว์ม้วย    อันนี้้แหละครับปืนใครปืนใครก็อยากให้ตกหมายนี้้  บางคนถึงต้องตัดส่วนเกินตรงปลายกระบอกปืนออกให้เหลือมันตรงแสนสัตว์ม้วยนี่แหละ   ก็ชื่อมันบอกอยู่ทนโท่และมีเป็นแสน ๆ ตัวก็ม้วยมรณาหมด

                       ต้วยก้วยมาตาย  นี่แย่เอามาก ๆ ก็กลับบ้านมือเปล่าแหละครับ

                       ตุ๋มหาย  คือ ปังหาย  ปังหาย   ยิงไม่ได้อะไรสักอย่าง  ตุ๋มนี่เป็นเสียงดังของปืนทางเหนือเขา   ทางภาคกลางปืนมันดังปัง   ฝรั่งดังแป๊ง   ขมุดังโต้ม  ได้ยินไปคนละหู

                       ต๋ายเหล่าอื่น  อันนี้ก็แย่    ยิงถูกเหมือนกันแต่ไปตายเสียที่อื่นหาไม่พบ ก็ครือ ๆ กับตุ๋มหายแหละครับ    เพียงแต่ยิงถูกแต่ไม่ได้กิน

                       แห่เจ้าหมื่นเมือเมือง    เห็นจะเป็นปืนของพวก บอดี่การ์ด ติดตาม เจ้าขุน เจ้าหมื่น  เข้าไปในเมืองอะไรทำนองนั้น  ล่าสัตว์ไม่ได้ผล

                       ผักเหลืองต็มซ่า  ใช้ได้   ก็จะเอาผักที่ในตระกร้าออกมาแกงทีไรผัวหาบเนื้อกวางเนื้อเก้งเข้าบ้านมาทุกที  จนผักเหลืองไปหมด   ได้แต่กินลาบกินแกงเนื้อว่างั้นเถอะ

                       เขียนมาถึงตอนนี้้ (ชักมันเขี้ยวมันเล็บ )  อยากต่ออีกสักนิด   ถ้าเป็นการพูดก็เห็นจะพอเรียกได้ว่าน้ำลายแตกฟองละครับ

                       มีการวัดอายุคนของชาวบ้านป่าอยู่อีกมาตราหนึ่่ง  อยากจะนำมาเขียนให้หมดกระบวนความเสียเลย     การวัดอายุคน นั้นทางภาคเหนือ  เขาวัดกันเป็นล็อค ๆ ล็อคละ  ๑๐ ปีดังนี้

                                                     สิบปี๋๋          อาบน้ำบ่หนาว
                                                     ซาวปี๋๋        แอ่วสาวบ๋ก๊าย
                                                     สามสิบปี๋   บ่หนายสงสาร
                                                     สี่สิบปี๋       เยียะก๋ารเหมือนฟ้าผ่า
                                                     ห้าสิบปี๋     สาวน้อยด่าบ๋เจ็บใจ
                                                     หกสิบปี๋     ไอเหมือนฟากโขก
                                                     เจ็ดสิบปี    มะโหกขึ้นเต๋ยตั๋๋ว
                                                     แปดสิบปี๋   ใค่หัวเหมือนให้
                                                     เก้าสิบปี๋    ไข้ก็ต๋ายบ๋ไข้ก็ต๋าย

                       สิบปี๋อาบน้ำไม่หนาวนี้    ก็เด็ก ๆ ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวนี่  พอขึ้้นซ๋าว   คือยี่สิบปีก็เป็น ทีวีรุ่นใหม่เอี่ยมเปิดปุ๊บติดปั๊บ   ใครชวนไปเที่ยวหญิงแล้วไม่มีขัดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงว่างั้น     สามสิบปีนี้คุณผู้หญิงคนไหนได้ร่วมหอลงโรงกับคนปูนนี้    มาตราวัดอายุบทนี้ก็ว่าเจ็ดวันไม่มีการเว้น......อ้า.....ดีดซ้อมดนตรีเลยแหละครับ   ตรงกันข้ามถ้าเป็นผู้ชายได้หญิงรุ่น  ๓๐ นี้เป็นภรรยาก็มองฟ้ามองดินเหลืองอ๋อยจนเดินโซซัดโซเซไปทีเดียว

                      พอขึ้นสี่สิบปี  เอาแล้ว  ไล้ฟบีกินฟอร์ตี้  เหมือนฝรั่่งเปี๊ยบ ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน  ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนือย   ทำงานอย่างกะฟ้าผ่าว่าเข้านั่น  ก็จะเป็นหลักเป็นฐานไง  พอถึงห้าสิบปีตอนนี้และครับ
คุณหญิงคุณนายทั้้้งหลายต้องระแวดระวัง
                   
                      คุณผู้ชายจะแอบไปมีอีหนูซุกซ่อนกันไว้ตามบ้านเล็กบ้านน้อยก็ตอนนี้แหละครับ  ก็ขนาดสาวน้อยด่าเป็นพ่อเฒ่าหัวงูยังไม่เจ็บอกเจ็บใจ    หัวเราะฮ่าฮ่า   สองสามวันซื้อรถเก่งใหม่เอี่ยมแอบพากันไปปิคนิค  พัทยา   หัวหิน  อะไรโน่นแล้ว   ไว้ใจยากจริง ๆ


                      พอหกสิบ  หักโหมโถมแรงกับอีหนูบ้านเล็ก  บ้านน้อยมาอย่างสมบุกสมบันโรคาพยาธิก็เริ่มเบียดเบียนซิครับ  ฮอร์โมนก็แล้ว    ยากำลังกี่ขนาน  ๆ ช้างเหยียบป่า  ม้าเหยียบกะโหลก  เลือดแรดเลือดค่างอะไรก็แล้ว   ติดหอบติดไอโครกครากเสียงยังกับกะเก้งคือฟานร้อง    เจ็ดสิบปีถ้าถึงก็ดีถมไป    แต่มาตราวัดอายุข้อนี้เขาก็ว่าเนื้อหนังมังสาเหี่ยวย่น  หย่อนยาน    เป็นปุ่มเป็นไฝฝ้า  ตกกระ  กระดำกระด่างดูไม่ได้  พอแปดสิบปีฟันหลุดหมดปาก   ทันตแพทย์สมัยก่อนไม่ได้มียั้วเยี้ยอย่างเดี๋ยวนี้   เวลาไค่หัว  คือหัวเราะ ก็เหมือนทารกที่ยังไม่มีฟันน้ำนมร้องไห้     ทีนี้พอเก้าสิบปี  บทบัญญัตินี้เขาให้เอวังเสียเลย  คือจะไข้ก็ช่างไม่ไข้ก็ช่าง   เด้ดสะมอเร่ไปเสียโดยดีก็แล้วกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น