วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตารอดปอดแฉ่ง ( 1 )



เป็นเรื่องสั้นสุดหรรษาชื่อเรื่องว่า... ตารอดปอดแฉ่ง   ฟังดูพิลึกอยู่  สงสัยว่า
จะเป็นคำร้องเล่น ๆ ประเภทกลอนพาไปแต่ท่านเจ้าคุณ (พระยาโกมารกุลมนตรี) เห็นว่าหน้า
จะมีเบื่องหลังเบื่องหน้าในคำร้องนี้จึงได้นำมาผูกเป็นเรื่องราวอ่านสนุกสนานครื้นเครงยิ่งนัก
อ่านได้...เรยยย์

                                                  
                                                  ตารอดปอดแฉ่ง

                    " ตารอดปอดแฉ่ง     ผัวนางแมงดา

             หกล้มหกลุก                     ผัวนางตุ๊กกะตา "

แม้...ด้วยบทประพันธ์สั้น ๆ ประกอบด้วยถ้อยคำเพียงสิบห้าสิบหกคำเท่านั้น  ท่านจินตกวี
ก็เล่าเรื่องราวประวัติของนายรอดให้เราทราบได้ท่านไม่ต้องใช้ศัพท์สูง ๆ  ท่านใช้แต่คำไทยล้วน ๆ  บทประพันธ์ของท่านก็น่าฟัง

                                                    ตารอดปอดแฉ่ง

นายรอดซึ่งท่านจินตกวี (พระยาโกมารกุลมนตรี)  กล่าวถึงนี้  มารดา    ( นามไม่ปรากฏ )
ชะรอยจะเป็นคนขี้โรค    เจ็บกระเสาะกระแสะมาแต่ตั้งครรภ์จนเวลาคลอด    อันเป็นเหตุให้
ทารกที่กำเนิดมาเป็นทารกขี้โรคไปด้วย   เมื่อคลอดออกมาก็ไม่ร้องเหมือนทารก  ทั้งหลาย
หมอตำแยต้องตบก้น ต้องใช้วิธีต่าง ๆ    อยูเป็นนานจึงร้องออกมาได้   ดังจมูกเป็นรอยเขียว
แสดงให้เห็นว่าโรคลมเป็นเจ้าเรือน   แม้เมื่อสายสะดือหลุดแล้วก็ไม่ก็ไม่ไคร่จะได้ถูกอาบน้ำ
เหมือนเด็กอื่น  จึงเป็นเด็กที่มีร่างกายผอมเกร่ง น่าสงสารยิ่งนัก เมื่อตอนฟันจะขึ้นก็เจ็บหนัก
ท้องเดินวันละหลายสิบครั้ง  ผอมและเห็นซี่โครงจนที่ก้นนั้นแทบจะไม่มีเนื้อเลย  แต่วาสนาจะ
ให้มีอายุอยู่ต่อมา  เผอิญถูกยากลางบ้านขนานหนึ่งซึ่งเข้าครั่งเกาะไม้  จันทร์แดง จันทร์ขาว
กะทือ กะชาย  พอฟันซีกแรกทะลุเหงือกขึ้มาแล้ว  ทารกนั้นก็โตวันโตคืน  เพราะเหตุที่นึกว่า
ลูกของตนจะตายแต่ไม่ตายนี้  บิดามารดาจึงขนานนามว่ารอด  หมายความว่ารอดจากความตาย


ในขณะที่ท่านจินตกวีประพันธ์ประวัติของนายรอดนี้  นายรอดมีอายุประมาณสี่สิบเศษแล้ว
ท่านจินตกวีจึงใช้คำนำหน้านามว่าตา  เพื่อแสดงให้เห็นว่า  นายรอดมีอายุในเวลานั้น  พอที่
จะเป็นตาคนได้แล้ว  ถ้าท่านไม่ใช้คำตานำนาม  เราอาจหลงว่าท่านเล่าประวัติของคนหนุ่ม ๆ 
นี่ต้องนับว่าเป็นความรอบคอบอันหนึ่งของท่านจินตกวีของไทย


อีกประการหนึ่ง  คำว่าตาที่ใช้นำหน้านามยังแสดงอาชีพนายรอดด้วย  เรารู้ได้อย่างแน่นอนว่านายรอดไม่ได้เป็นนักการเมือง  เพราะเราไม่เรียกนักการเมืองว่าตา    ท่านจะเป็นรัฐมนตรีหรือผู้แทนราษฎรประเภทใดก็ตาม  เราคงไม่กล้าเรียกท่านว่าตา   (เว้นแต่ท่านผู้นั้นจะเผอิญเป็นบิดาของมารดาเราเอง)  นายรอดไม่ได้เป็นพ่อค้าเพราะพ่อค้าเราก็ไม่ใช้ตาเป็นคำนำหน้า
นาม  พ่อค้าไทยที่ชื่อรอดก็เคยมมีมาแล้ว  แต่ก็ไม่ปรากฏว่าใครเคยเรียกว่า ตารอด


คำว่า ตา ที่เราใช้นำหน้านามใคร นอกจากตาบังเกิดเกล้าของเราเองแล้วย่อมแสดงว่าผู้นั้นเป็นคนสูงอายุ  และผู้นั้นเป็นคนชั้นกรรมกร    คนสำคัญในประวัติศาสตร์ที่เรียกกันว่า ตา  ก็ดู
เหมือนจะมีน้อยคน  ที่นึกได้เวลานี้ก็คือ ตาม่องลาย ๑ ตาปะขาว ๑    ที่เรียกดังนี้ คงจะเรียกโดยให้เกียรติพิเศษเฉพาะบุคคลคือยกย่องว่าท่านทั้งสองที่  กล่าวนามมานั้น  มีเกียรติเสมอ
ตาบังเกิดเกล้าของผู้เรียก  คนสำคัญ ๆ ขนาดเดียวกับม่องล่าย  เช่นนายบุญนักล่าสัตว์  เรา
ก็เรียกแกว่าพรานบุญไม่มีใครยอมเรียกแก่ว่าตาบุญ  เมื่อได้พิเคราะห์ถ้อยคำในบทประพันธ์
โดยรอบคอบดังนี้แล้ว เป็นอันชี้ขาดได้ว่านายรอด ซึ่งท่านจินตกวีเรียกว่าตารอดนั้น  มีอาชีพ
ในทางสับปะเหร่อ  รับจ้างเขาเผาผีและฝังผี   และเป็นสับปะเหร่อธรรมดา ๆ     ไม่ใช่ชั้นสนม 
ถ้าเป็นชั้นสนมคงจะมียศบรรดาศักดิ์ท่านจินตกวีคงไม่กล้าเรียก ตารอด     นี่เพราะเป็นเพียง
นายรอดสับปะเหร่อ  ท่านจึงเรียกว่าตารอด


ตารอดสับปะเหร่อผู้นี้ชอบรสอาหารแปลก ๆ คือชอบรับประทานอวัยวะภายในของซากศพ
บรรดาศพที่ใครฝากหรือฝังในป่าช้าที่ตารอดครอบครองนั้น  ไม่มีอวัยวะภายในเหลือสักศพเดียว  แม้กระทั่งศพที่เขาจ้างตารอดให้เผาสด ๆ  ถ้าเจ้าภาพของศพไม่ระวังให้ดี   ตารอดก็
ลอบผ่าศพล้วงอวัยวะภายในออกมาต้มกับตะไคร้ใบมะกรูด    จิ้มน้ำส้มอย่างต้มเครื่องในโค
หรือสุกร  บางทีก็ย่างจิ้มน้ำปลาระยองหรือน้ำปลาแต้อิ้ว   และอวัยวะที่ตารอดชอบมากที่สุด
นั้นคือปอด ถ้าแกผ่าศพใดออกเห็นปอดน่ารับประทานแล้ว ตารอดเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสหน้าชื่น
ตาบาน     ด้วยเหตุนี้พวกเพื่อนสับปะเหร่อด้วยกันจึงตั้ง    สมญาแกว่า      "ตารอดปอดแฉ่งหมายความว่า  พอเห็นปอดดี ๆ เข้าแล้วตารอดเป็นยิ้มแฉ่ง"  อาจมีผู้ส่งสัยว่าคำว่าปอดแฉ่งเป็นนามสกุลของตารอด  ข้อนี้  ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าไม่ใช่นามสกุลเพราะจินตกวีนิพนธ์บทนี้
มีมาก่อน รัชการที ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  และคนไทยเพิ่งจะมีนามสกุลกันขึ้นในรัชการที่ ๖
นี่เอง  และตั้งแต่การจดทะเบียนนามสกุลของคนไทยจนมาบัดนี้ ข้าพเจ้ากล้าพะนันว่า ไม่เคย
มีใครจดทะเบียนนามสกุลว่าปอดแฉ่ง   การที่ไม่มีชื่อ ปอดแฉ่ง  ในทะเบียนนามสกุลเป็นที่ส่อให้เห็นได้ชัดว่าปอดแฉ่ง      เป็นเพียงสมญาของตารอด ประการ   ๑    วงศ์วานว่านเครือของ
ตารอดหมดสาบศูนย์ไปเสียก่อนรัชการที่  ๖  ประการ ๑  ถ้ามีหลานเหลนลื้ออยู่มาจนราชการที่  ๖  เขาคงจะใช้นามสกุลของเขาว่า  ปอดแฉ่ง  เพื่อแสดงให้ปรากฏว่าเขาเป็นเชื้อแถวของตารอดปอดแฉ่งผู้มีชื่อเสียงมาแล้วในกรุงสยาม......

นี่ก็เป็นที่มาของท่อนแรกที่ว่า   "ตารอดปอดแฉ่ง"  ส่วนท่อนที่สองคือ "ผัวนางแมงดา"  นั้น  ท่านก็ได้ขยายความเป็นมาไว้อย่างละเอียดว่าทำอย่างไรตารอดจึงเอานาง
แมงดาสาวใหญ่มาเป็นเมียได้  หากแต่ขอไว้ต่อคราวหน้านะครับ เรื่องของตารอดปอดแฉ่งยังไม่จบครับ


                                    __________________________________


                                                                                                                               Chanpa




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น