วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บันทึกของวันวลิต



                                                   บันทึกของวันวลิต

     ท่านผู้อ่านที่รัก....จากหนังสือพระราชพงศาวดาร  เราท่านย่อมทราบกันดีว่า  สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า  ของพวกเราชาวไทยนั้น  เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของ  สมเด็จพระมหาธรรมมาธิราช  ที่ประสูติแต่  สมเด็จพระวิสุทธิกษัตรีย์  พระราชธิดาของ  สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ  และ  สมเด็จพระนางเจ้าศรีสุริโยทัย  แต่ที่ไม่ค่อยจะทราบทั่ว ๆ ไปกันนั้นก็คือ นอกจากสมเด็จพระวิสุทธิกษัตรีย์พระราชมารดาที่แท้จริงแล้ว  สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้ายังทรงมีพระราชมารดาบุญธรรมอยู่อีกท่านหนึ่ง


     พระราชมารดาบุญธรรมของสมเด็จพระนเรศวรท่านนี้  เป็นเพียงหญิงสามัญชนธรรมดา ๆ แต่ทีมีบุญวาสนาได้ดำรงตำแหน่งนี้ก็เพราะพระพรหมลิขิตให้เป็นไป  นักเขียนชาวฮอลันดาผู้หนึ่งชื่อ  แวน  ฟลีท  หรือที่ออกเสียงเป็นสำเนียงไทยว่า  วันวลิต ซึ่งเข้ามาทำงานเป็นหัวหน้าสำนักงานของบริษัทอิสต์อินเดีย  ของฮอลันดาในสมัย  พระเจ้าปราสาททอง  คือในระหว่างปี พ.ศ. ๒๑๗๓  ถึง พ.ศ ๒๑๙๓  ได้ทำบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า



     .....คืนหนึ่ง  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จอยู่ในเรือเล็กในลำน้ำขณะนั้นได้บังเกิดพายุใหญ่ฝนตกหนัก  จนพระองค์ไม่สามารถจะเสด็จ  กลับพระราชวังได้......จึงได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นจากเรือเสด็จไปยังกระท่อมหลังหนึ่ง  ซึ่งมีหญิงชราที่ยากจนอาศัยอยู่  โดยที่หญิงชราผู้นั้นมิได้รู้จักพระองค์มาก่อน  เมื่อเสด็จเข้าไปในกระท่อมนั้นแล้ว  ก็ทรงตรัสออกมาด้วยพระสุรเสียงอันดัง  ฝ่ายหญิงชราได้ยินพระสุรเสียงอันดังก็ตกใจกลัวเป็นยิ่งนัก  กล่าวว่า  ลูกเอ๋ย  เจ้าไม่รู้หรือว่าพระเจ้าอยู่หัวของเรา  พระองค์อาจเสด็จประทับอยู่ใกล้ ๆ นี้ก็ได้......!



     ......สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงดังเช่นเดิมว่า  แม่เอ๋ย  แม้พระเจ้าอยู่หัวจะได้ยินเสียงของข้าก็ช่างปะไร  ถึงจะลงอาญาประหารชีวิตข้าเสียก็เป็นไรมี  ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เป็นคราวเคราะห์ร้ายของข้าเอง  คนอื่น ๆ ก็เคยได้รับเคราะห์เช่นนั้นมาแล้วมากต่อมาก  ใครจะได้รู้ตัวมาก่อนก็หาไม่.....



     ......หญิงชราผู้เป็นเจ้าของกระท่อมได้สดับพระสุรเสียงแล้วก็ยิ่งตกใจกลัว  รีบทรุดตัวลงแทบพระยุคลบาท  แล้วกล่าวคำวิงวอนด้วยความประหวันพรั่นพรึงว่า  ขออย่าให้กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยถ้อยคำเช่นนั้น......



     ......หญิงชรากล่าวด้วยว่า  เทพยดาฟ้าดินได้ส่งพระองค์ลงมาให้แก่พวกเราทั้งปวงแล้ว  ฉะนั้นพระองค์จะกระทำกรรมชั่วใด ๆ มิได้  เทพยาดาได้ส่งพระองค์ลงมาให้ลงพระราชอาญาและัให้ทรงตัดสินบาปกรรมของคนอย่างเรา   พวกเราจึงควรจะต้องอยู่ในโอวาทของท่านผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน.......



     ......ยิ่งแม่เฒ่าอ้อนวอนต่อพระองค์  ให้ลดพระสุรเสียงลงเพียงใด  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยิ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงดังขึ้นทุกที  จนในที่สุดหญิงชรานั้นก็ได้ร้องขอให้พระองค์รีบเสด็จออกจากบ้านตนไปเสีย  เพราะถ้าหากประทับอยู่ต่อไป  ตนเองก็จะร่วมเป็นโทษด้วย



     ......สมเ้ด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงตรัสตอบต่อแม่เฒ่าว่า  พระองค์เสด็จไป  แต่จะขอน้ำจันท์เสวยก่อน.....


     ......หญิงชราได้ยินเช่นนั้นก็ตอบว่า  ลูกเอ๋ย  เจ้าก็รู้อยู่  เทศกาลนี้เป็นเทศกาลเข้าพรรษา เมื่อยังอยู่ในพรรษาฉะนี้แล้ว  ผู้ใดจะล่วงพระราชอาญาหาซื้อเหล้ามาดืมหาได้ไม่......


     .......แต่ถ้าเจ้าต้องการเสื้อผ้าที่แห้ง ๆ อย่างที่แม่นุ่งห่มอยู่นี้แล้ว  แม่ก็จะหาให้  แม่จะซักแล้วตากเสื้อที่เจ้านุ่งอยู่ให้แห้ง  เจ้าจงเข้าไปพักผ่อนนอนหลับเสียก่อนเถิด.....


     ......สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยอมรับผ้าผ่อนจากหญิงชรานั้นมาผลัดพระภูษาทรง  แล้วมอบพระภูษานั้นแก่หญิงผู้นั้นไปซักตากให้แห้ง  แต่ก็ยังคงตรัสเรียกเอาน้ำจันท์มาเสวยอยู่ดีตรัสว่าไม่มีพระราชประสงค์จะให้ข้อพระราชกำหนดอันเคร่งครัดของพระเจ้าแผ่นดินดังกล่าวนั้นมาผูกมัดพระองค์  หญิงชรานั้นจึงจำใจรินสุราใส่ถ้วยมาถวายแล้วสาบานว่าสุรานั้นตนได้ซื้อหามาไว้ตั้งแต่ก่อนเทศกาลเข้าพรรษา  เมื่อเข้าพรรษาแล้วก็ไม่ได้ดืมสุรานี้เลย  และเมื่อหญิงชราถวายสุราต่อพระเจ้าอยู่หัวพล่างก็ขอสัญญาจากพระองค์ไปพล่างว่า  จะมิทรงแพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้ใดทราบ......


      ( หมายเหตู  อ่านบันทึกของวันวลิตถึงตอนนี้มีข้อน่าคิดและน่าสังเกตได้สองอย่าง อย่างแรกก็คือ  สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าของเรานั้นก็ทรงโปรดเสวยน้ำจันท์เช่นเดียวกับสมเด็จพระเจ้าตากสิน  อย่างที่สอง ก็คือหญิงไทยในอดีตมีความก้าวหน้าในเรื่องสุรายาเมามาตั้งแต่โบราณกาล  มิพักแต่จะตะบันหมากตะพึดตะพืออยู่แต่เพียงอย่างเดียว )



     .....ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัว  เมื่่่่่่อเสวยน้ำจันท์แล้ว  แม่เฒ่าก็นำพระองค์ไปบรรทมบนเสื่อผืนเล็กของตน  แล้วจึงนำเอาพระภูษาทรงไปซักและย่างไฟให้แห้ง  เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรรทมตื่น  ก็ทรงผลัดพระภูษาที่แห้งแล้ว  ตรัสขอบใจหญิงชราแล้วทรงอำลา  แม่เฒ่ากล่าวว่า  ลูกเอ๋ย  เจ้าจงอยู่ที่นี่จนสว่างเสียก่อนเถิด  หรือถ้าจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ก็จงพายเรือไปเงียบ ๆ  อย่าให้มีเสียงดังไปถึงพระกรรณของพระเจ้าอยู่หัว  โทษภัยจะมีมาถึงตัวลูก  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสตอบว่า  ข้าจะทำดังว่านั้น แล้วก็เสด็จด้วยเรือเล็กตรงไปยังหมู่ตำรวจที่มาลอยเรือคอยอารักขาอยู่ไม่ไกลจากกระท่อมของหญิงชราผู้นั้น......


     วันวลิต  เขียนเล่าต่อไปอีกว่า


     ......ในวันรุ่งขึ้น  สมเด็จพระเจ้าอยูหัวก็มีพระราชดำรัสสั่งให้จัดเรือกัญญามีบุษบกไปรับหญิงชรา  ณ  กระท่อมน้อยที่พระองค์เสด็จมาประทับแรมเมื่อคืนก่อน  เรือกัญญาลำนี้เป็นเรือพระที่นั่งทรงของสมเด็จพระราชชนนี  ที่ทรงใช้งานในพระราชพิธีเต็มยศใหญ่  พระภูษาที่ทรงในคืนนั้น  ก็ให้อัญเชิญไปในเรือพระที่นั่ง  พร้อมกับมีพระราชดำรัสสั่งมหาดเล็ก  ให้นำพระภูษาทรงดังกล่าวไปแสดงต่อหญิงชราผู้นั้น  แล้วให้นำเอาตัวหญิงชราผู้นั้นเข้ามาเฝ้าพระองค์....



     .......ฝ่ายหญิงชราผู้นั้น  เมื่อเห็นมหาดเล็กพากันเดินเข้ามาหาตนก็ตกใจจนตัวสั่น  คิดว่าพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงทราบถึงเหตุที่เกิดขึ้นในบ้านของตนเองในตอนกลางคืนที่ผ่านมา  ถึงแม้ว่ามหาดเล็กจะปลอบประโลมว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสใช้ให้มารับ  หญิงชราก็มิได้เชื่อว่าตนจะพ้นพระราชภัย  เฝ้าแต่วิงวอนให้มหาดเล็กกลับไปกราบบังคมทูลว่า  ตนได้ตกใจตายเสียแล้ว.....


     ........และด้วยอาการอันน่าสมเพชในขณะนั้น  แม่เฒ่าคิดอยู่แต่เพียงว่า  จะหนีไปพึ่งพระสงฆ์ให้ช่วยชีวิตของตนไว้  แต่เหล่ามหาดเล็กก็มิได้ฟังเข้าเกาะกุมเอาตัวแม่เฒ่าไว่้โดยอาการสุภาพน้อบน้อมช่วยกันแต่งกายให้  แล้วนำขึ้นเรือกัญญาแจวมายังพระราชวังและนำขึ้เฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.....



     .......เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรเห็นหญิงชรานั้นแล้ว  ก็เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปรับมือแม่เฒ่า  แล้วตรัสว่าพระองค์คือคนที่เข้าไปนอนค้างคืนในกระท่อมของนาง  และแม่เฒ่านั้นได้มีอุปการคุณแก่พระองค์ถึงกับรับพระองค์เป็นบุตร  ฉะนั้น  ตั้งแต่เพลานี้เป็นต้นไป    เราจะเรียกท่านว่าแม่  และจะรักท่านเช่นเดียวกับมารดาบังเกิดเกล้าของเรา 


     มีพระราชดำรัสดังนี้แล้ว  ก็ทรงมีรับสังให้จัดตำหนักในพระราชวัง  ให้หญิงชราผู้นั้นได้พำนักอาศัย  แล้วทรงอุปการะเลี้ยงดูจนหญิงชราผู้นั้นถึงกาลเวลาแห่งตน  ประดุจว่าทรงเป็นพระราชมารดาของพระองค์โดยแท้จริง  เมื่อหญิงชรานั้นล่วงลับดับขันฑ์ไปก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระราชทานเพลิงศพเช่นเดียวกับพระบรมศพพระอัครมเหษีของพระองค์


         เรื่องของแม่เฒ่าผู้โชคดีก็เอวังลงด้วยประการฉะนี้    
     



    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น