วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รายได้รายมีของข้ารัฐการทั่วโลก (ปี ๒๕๓๖ )


                                                        รายได้รายมี

     ในปี..ค.ศ. 1993 หรือปี ๒๕๓๖ ที่ผ่านมานานแล้ว มีผู้อยู่ไม่เป็นสุข ๆ กับเขา  ไปแสวงหา่ตัวเลขเกี่ยวกับรายได้รายมีของคนอเมริกา เอาตีแผ่ให้เห็นกันจะจะดังนี้

        
         ประธานาธิบดีคลินตัน ได้รับค่าจ้างให้เป็นประธานาธิบดีคิดเป็นรายวันแล้วก็ตกอยู่ราว ๆ วันละ หนึ่งหมื่นสามพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าบาทไทย ( ๑๓,๗๗๕ บาท )
    
         รองประธานาธิบดีแอล. กอร์   ได้วันละหนึ่งหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยเจ็ดสิบบาท ( ๑๑,๔๗๐ )

         รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ ได้เท่ากัน คือได้วันละ เก้าร้อยสี่บาทกับสี่สิบห้าสตางค์ ( ๙๐๔.๔๐ บาท)

          สมาชิกวุฒิสภา  ได้ค่าจ้างวันละ  แปดพันแปดร้อยแปดสิบห้าบาท ( ๘,๘๘๕ บาท )

          ประธานวุฒิสภาโรเบอร์ท  เบิร์ท ( Robert Byrd )  ได้วันละ  เก้าพันแปดร้อยห้าสิบบ
  ( ๙,๘๕๐ บาท )
         
          สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้วันละ   แปดพันเก้าร้อยยี่สิบบาท ( ๘,๙๒๐ บาท )

          ประธานรัฐสภาผู้แทนราษฎรทอมมัส  เอสโฟลีย์ (Thomas  S. Foley ) ได้วันละ  หนึ่งหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบแปดบาทขาดตัว ( ๑๑,๑๕๘ บาท )


          ประธานศาลสูงสุดซึ่งถ้าเทียบกับของไทยเราก็คือประธานศาลฎีกา  คนปัจจุบันคือท่านประธานคลาเรนซ์  ทอมมัส ( Clarence  Thomas ) ได้รับค่าจ้างเท่า ๆ กันกับ  ท่านประธานรัฐสภาโฟลีย์   ท่านอธิบดีศาลอุทรณ์ซึ่งเป็นสตรีชื่อ เฮเลน  ดับบลิว  นีส์ ( Helen W. Nies )  ได้เก้าพันสี่ร้อยห้าสิบหกบาทต่อวัน ( ๙,๔๕๖ บาท ) ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลทั่ว ๆ ไปได้วันละแปดพันเจ็ดร้อยสิบสองบาท ( ๘,๗๑๒ บาท )


        ผู้ว่ารัฐการที่ได้ค่าจ้างแพงที่สุดคือผู้ว่ามาริโอ  เอ็ม. คูโม ( Mario M. Coumo ) คือได้วันละแปดพันเก้าร้อยห้าสิบสี่บาท ( ๘,๙๕๔ บาท ) 

        ผู้ว่ารัฐการที่ได้รายได้น้อยที่สุดคือ  ผู้ว่าจิม  จี. ทัดเกอร์ ( Jim G. Tucker ) แห่งรัฐอาร์คันซอส์ คือได้รับเพียงวันละสองพันสี่ร้อยสิบบาท ( ๒,๔๑๐ บาท )  

      ค่าจ้างเฉลี่ยของผู้ว่าทั่ว ๆ ไปตกอยู่ประมาณวันละ ห้าพันหนึ่งร้อยหกสิบห้าบาท ( ๕,๑๖๕ บาท ) 

     วิศวกรอวกาศอเมริกามีรายได้วันละ  สี่พันกับห้าบาท (๔,๐๐๕ บาท ) 

     อาจารย์มหาวิทยาลัยวันละ  สามพันห้าร้อยห้าสิบห้า  ( ๓,๕๕๕ บาท )

     แพทย์ หรือหมอได้วันละ  สามพันสี่ร้อยสิบห้าบาท  ( ๓,๔๑๕  บาท )

     พยาบาล ได้วันละ  สองพันแปดร้อยสี่สิบห้าบาท  ( ๒,๘๔๕ บาท )

     บุรุษไปรษณีย์ ได้วันละ  สองพันหกร้อยสี่สิบบาท ( ๒,๖๔๐ บาท ) 

     ครูโรงเรียนประถม ได้ค่าจ้างวันละ สองพันสี่ร้อยเก้าสิบบาท ( ๒,๔๙๐ บาท )

     ช่างประปา  ได้ค่าจ้างวันละ สองพันสี่ร้อยเจ็ดสิบห้าบาท (๒,๔๗๕ บาท )

     ช่างฟิตรถยนต์  ได้ค่าจ้างวันละ หนึ่งพันแปดร้อยเก้าสิบห้าบาท (๑,๘๙๕ บาท)

     คนขับรถประจำทาง ได้ค่าจ้างวันละ หนึ่งพันแปดร้อยสี่สิบบาท  (๑,๘๔๐ บาท)

     พนักงานรับโทรศัพท์ ได้ค่าจ้างวันละ หนึ่งพันห้าร้อยสี่สิบบาท  (๑,๕๔๐ บาท)
         
     นักการภารโรง ได้ค่าจ้างวันละ หนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบห้าบาท (๑,๔๕๕ บาท)

    ลูกจ้างร้านขายของชำ ได้ค่าจ้างวันละ หนึ่งพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าบาท (๑,๑๗๕บาท)

     พนักงานรับใช้ตามร้านอาหาร ได้ค่าจ้างวันละ หนึ่งพันสิบห้าบาท (๑,๐๑๕บาท)   


     และถ้าจะแบ่งเกรดของคนอเมริกันออกเป็นสามเกรด  คือเกรดที่หนึ่งคนรวย  เกรดที่สองคนธรรมดา  และเกรดที่สามคนจน     และ  คนอเมริกันเกรดที่หนึ่งมีรายได้เฉลี่ยวันละ หกหมื่นสี่พันหกสิบห้าบาท (๖๔,๐๖๕บาท)     คนอเมริกันเกรดที่สองมีรายได้เฉลี่ยวันละ สามพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าบาท (๓,๑๗๕บาท) คนอเมริกันเกรดที่สามมีรายได้เฉลี่ยเพียงวันละเจ็ดร้อยเก้าสิบบาท (๗๙๐ บาท) เท่านั้นเอง คือได้เท่ากับนายพลของประเทศสารขัณฑ์ จึงจำเป็นต้องไปของานพิเศษทำกับท่านขุนส่า


      ส่วนคนจำพวกเต้นกินรำกินนั้น  ไมเคิล  แจ็กสัน (ตอนนั้นยังไม่เสียชีวิต) มีรายได้สูงสุด  คือมีรายได้คิดเฉลี่ยเป็นรายวัน  วันละสี่ล้านหนึ่งแสนเก้าพันห้าร้อยเจ็ดสิบห้าบาทถ้วน ๆ (ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ นะครับ) ลองเอา ๓๖๕ วัน คูณเข้าไปก็แล้วกัน ว่้าเป็นเงินเท่าไหร่ต่อปี คิดแล้วจะหงายหลังตกเก้าอี้


     ทีนี้ก็ลองหันมาดูรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อวันของคนธรรมดาสามัญ  คือคนที่ถ้าจะเปรียบให้ฟังอย่างไทย ๆ ก็คือคนเดินดินกินข้าวแกง  ของชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจกันบ้างคนสวิส มีรายได้เฉลี่ยวันละ สองพันสี่ร้อยสี่บาท(๒,๔๐๔บาท) คนญี่ปุ่นได้วันละหนึ่งพันแปดร้อยเจ็ดสิบสองบาท(๑,๘๗๒ บาท)  คนแคนาเดียนได้เท่า ๆ กับคนเยอรมัน คือได้วันละหนึ่งพันสี่ร้อยเจ็ดสิบสองบาท(๑,๔๗๒ บาท) คนฝรั่งเศส ได้น้อยลงมานิดหน่อย คือได้วันละหนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบบาท(๑,๔๕๐บาท) แต่ก็ยังดีกว่าคนอังกฤษที่ทำมาหาได้เพียงวันละหนึ่งพันสองร้อยกับห้าสิบบาทเท่านั้น (๑,๒๕๐บาท)


    สำหรับคนเอเชีย  คนบรูไน มีรายได้มากกว่าคนชาติอื่น ๆ คือมีรายได้เฉลี่ยวันละหนึ่งพันหนึ่งร้อยเก้าสิบแปดบาท (๑,๑๙๘ บาท) ได้มากเกือบจะเท่า ๆ คนอังกฤษ แต่สนนราคาค่าครองชีพของคนบรูไนถูกกว่าคนอังกฤษถึงสองจุดแปดเท่า  คนฮ่องกง มีรายได้สูงติดตามคนบรูไนอย่างใกล้ชิด คือมีรายได้วันละหนึ่งพันหนึ่งร้อยสิบห้าบาท (๑,๑๑๕ บาท) คนไต้หวัน ได้วันละเจ็ดร้อยบาท(๗๐๐ บาท)ขาดตัว  


     คนเกาหลีใต้มีรายได้วันละสี่ร้อยสิบสี่บาทห้าสิบสตางค์ (๔๑๔.๕๐ บาท) คนมาเลเซียมีรายได้วันละสองร้อยกับสามบาท (๒๐๓บาท) คนฟิลิปปินส์มีรายได้วันละห้าสิบเจ็ดบาท(๕๗ บาท ) บาบูเมืองอินตระเดียมีรายได้วันละยี่สิบเอ็ดบาท (๒๑ บาท)


   ส่วนพี่ไทยเราตอนนั้น (ปี๒๕๓๖  นะครับอย่าคิดมาก) ดีกว่าใครต่อใครเยอะแยะ คือมีรายได้เฉลี่ยถึงวันละ หนึ่งร้อยกับสามสิบสามบาทหกสิบสตางค์ (๑๓๐.๖๐ บาท) ทั้ง ๆ ที่ข้าวสารบ้านเราถูกกว่าข้าวสารเมืองแขกเมืองจีนตั้งครึ่งตั้งค่อน



    และที่น่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่สุดนั้น  ก็เห็นจะได้แก่ทองคำสำรอง   ที่บรรพบุรุษไทยได้สั่งสมไว้ให้ลูกหลาน  นิตยสารเอเซียวีครายงานว่าในปัจจุบันนี้ ( ๒๕๓๖)  ไทยเรามีทองคำสำรองคิดเป็นมูลค่าถึงห้าแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันแปดร้อยห้าสิบล้านบาท


        เทียบกับอินเดียซึ่งมีเพียงหนึ่งแสนสี่หมื่นกว่าล้านบาท  หรือฟิลิปปินส์ซึ่งมีหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นล้าน  หรือพม่ารามัญที่มีอยู่เพียงเจ็ดพันกับสามสิบเก้าล้าน  ก็นับได้ว่าไทยเราเป็นเศรษฐีย่อยชาติหนึ่งในภูมิภาคส่วนนี้ของโลก


        ก่อนจะจบข้อเขียนนี้  ก็อยากจะขอรายงานสถิติต่าง ๆ ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของพี่ไทยในปีระกา ( ในขณะนั้น )ไก่ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไปซึ่งนิตยสาร นิวสวีค ได้ทำการสำรวจไว้ดังนี้


        พลเมื่องทั้งหมดห้าสิบเจ็ดล้านหกแสนคนเศษเศษ ( ปี ๒๕๓๙ ) ส่งสินค้าออกคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นเจ็ดแสนสามหมื่นกับหกร้อยล้านบาท  แต่ก็ขาดดุลการค้าไปถึงสองหมื่นกับสามร้อยเจ็ดสิบล้านบาท  แล้วก็เป็นหนี้ต่างชาติอยู่ถึงเจ็ดแสนกับเก้าพันแปดร้อยล้าน  คนไทยที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนจนถึงคนไทยทีมีอายุหนึ่งร้อย  มีรายได้เฉลี่ยปีละสองหมื่นห้าพันกับสามสิบสามบาท   สรุปความเจริญทางด้านเศรษฐกิจของไทยเท่ากับเจ็ดจุดเก้าเปอร์เซ็นต์  เทียบกับสถิติโลก  ก็ให้ดีใจไว้เถิดว่าพี่ไทยเราทำดีทำดี  จนได้รับการยกย่องว่าทำได้เก่งเป็นที่สามของโลกในรอบเดือน....เอ๊ย.....รอบปีที่ผ่านมา  เก่งใหญ่กว่าเรามีสองเก่ง  เก่งแรกคืออาบังมลายูที่กินหมูไม่เป็น  เป็นแต่เลี้ยงหมูขายให้แก่พี่ไทย  ปีระกาที่ผ่านมานี้  เศรษฐกิจของชาติมาลายูดินแดนแห่งมะละกอเจริญขึ้นถึงแปดจุดแปดเปอร์เซ็นต์  เก่งที่สองได้แก่พี่หลีขาว  พี่หลีทำได้ถึงแปดจุดสี่เปอร์เซ็นต์  ส่วนปัญหาเงินเฟ้อนั้น  พี่ไทยควบคุมได้ดีที่เดียว  คือปล่อยให้มันเฟ้อ ๆ ไปเพียงแค่ห้าจุดเจ็ดเปอร์เซ็นต์เท่านั้น  สวิสเซอร์แลนด์ที่ว่าแสนจะเก่งแสนจะดีก็ยังควบคุมได้แค่สี่จุดเก้าเปอร์เซ็นต์   ถึงตรงนี้อยากจะขอวงเล็บไว้เสียหน่อยหนึ่งว่า  วงเล็บเปิด  ชาติที่น่าจะล้มละลายไปภายในปีหน้านี้คือ  บราซิลกับมองโกเลีย บราซิลเจอปัญหาเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์  คือสูงถึงสี่ร้้อยกับสี่สิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์  มองโกเลียค่อยยังชั่วหน่อยคือสูงเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์ วงเล็บปิืด


       ทีนี้มาดูทางด้านสังคมกันบ้าง  ได้บอกแล้วว่าพี่ไทยมีพลเมืองทั้งหมดห้าสิบเจ็ดจุดหกล้านคน  ก็ต้องขอขอบคุณ มีชัย  วีระไวทยะ ที่ช่วยวางแผนการคุมกำเนิดไว้ให้  อัตราการเกิดของคนไทยจึงมีเพียงหนึ่งจุดสี่เปอร์เซ็นต์  ชาติที่มีอัตราการเกิดสูงที่สุดในโลกปัจจุบันนี้คือชาติอัฟกานิสถาน  ซึ่งทำสถิติไว้สูงถึงหกจุดเจ็ดเปอร์เซนต์  ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องการเกิดและการตาย  วิเคราะห์วิจัยเกี่ยวกับอัตราการเกิดสูงลิ่วของอัฟกานิสถาน ไว้ว่าเป็นเพราะรัฐบาลของประเทศนั้นประกาศเคอร์ฟิวบ่อยเกินไป  ส่วนอัตราการตายของเด็กระหว่างคลอดเด็กไทยพันคนตายตั้งแต่ออกจากท้องแม่ยี่สิบสี่คน  ซึ่งดีกว่าเขมรเยอะแยะ  อัตราการตายตั้งแต่แรกเกิดของเด็กเขมรที่สหประชาชาติทำสถิติไว้นั้น  สูงถึงหนึ่งร้อยกับสิบหกคน 


          แต่ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดนั้น ได้แก่สถิติผู้รู้หนังสือระดับอ่านออกเขียนได้  ไม่ใช่ได้แต่เซ็นชื่อ จัน หรือชื่อ สี ชื่อ สา แต่เพียงอย่างเดียว  คนไทยปีระกาสองห้าสามหกอ่านหนังสือออกเขียนหนังสือได้ถึงเก้าสิบสามเปอร์เซ็นต์  ในโลกนี้มีเพียงสี่ชาติเท่านั้นที่มีพลเมืองซึ่งอ่านออกเขียนได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์สี่ชาติดังกล่าวได้แก่  สวิสเซอร์แลนด์  ญี่ปุ่น เยอรมนี และอังกฤษเจ้าเก่า


          ทีนี้ก็ถึงเรื่องปัจจัยส่งเสริมการดำรงชีพของคนยุคใหม่  คนไทยสมัยที่กำลังแข่งกันหลีกภัยให้วุ่นวายไปทั้งเมื่องนี้  แต่ที่น่้าตกใจเป็นอย่างยิ่งนั้นได้แก่การสาธารณสุขและสุขาภิบาล  ปัจจุบันนี้จำนวนคนไทยที่รุมกันใช้หมอ  หรือใช้นายแพทย์ปริญญานั้น มีสถิติที่สูงอย่างน่าสยดสยอง  คนไทยในประเทศสยามที่มีนามประเทืองว่าเมืองทอง สี่พันสามร้อยหกสิบเอ็ดคนใช้หมอร่วมกันเพียงหนึ่งหมอเท่านั้น ( คิดว่าในปีปัจจุบัน ๒๕๕๕ คงต้องเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แพทย์หนึ่งคนต่อคนไข้ หกพันกว่า ๆ เพราะแพทย์ในปัจจุบันเริ่มเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อยเท่าที่สังเกต )  แต่อย่าไปคิดอะไรมากครับเราเรียนมาทางนี้ก็ช่วยสังคมไป ผมเรียนครูมาสอนหนังสือตั้งแต่ปี ๒๕๑๒ จนเกษียณก็ทำหน้าที่ไปให้สุดปลายทางอย่าไปสร้างความรำรวยจากอาชีพ ถ้าอยากรวยก็ไปเป็นนักการเมืองถ้าจะดี (แต่อายุจะสั้นเพราะมีผู้สาปแช่งตลอดเชื่อผม)
    


 เรื่องราวทั้งหมดได้นำข้อมูลมาจากปี ๒๕๓๖ ประมาณ ๒๐ ปีมาแล้ว

                                 __________________

                                                                                                       สัมพันธ์  จันทร์ผา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น