วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บทพิสูจน์

                                                           บทพิสูจน์


     ชายชาวสวนคนหนึ่งขึ้นต้นหมากจนถึงยอด  โยนหมากลงมาทั้งทะลาย  แล้วเกิดมืออ่อนเท้าอ่อนครูดลงมากองอยู่ที่โคนต้น  หน้าอกหน้าใจถลอกปอกเปิด  เขาลุกขึ้นได้ก็ก้มหน้าก้มตากระโดดข้ามท้องร่อง  แต่พลัดตกลงไป  และร้องขรมเพราะแสบหน้าอก  ครั้นตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ก็วิ่งหายไปทางท้ายสวน  คำว่า  ท้ายสวน   นี้คู่กับกับคำว่า หัวสวน ท่านไม่ใช้คำว่า หางสวน  เช่นเดียวกับคำว่า  หัวตรอก ท่านก็ใช้ว่า  ท้ายตรอก ไม่ใช้คำว่า หางตรอก และคำว่า  ปากตรอก ก็อย่างเดียวกัน  คือ ใช้ท้ายตรอก  ไม่ใช้คำอื่นที่ตรงข้ามกับปาก


        ชาวสวนอีกคนหนึ่งที่ยืนดูการขึ้นและตกต้นหมากของชายคนนั้น  เป็นผู้ที่นับถือข้าพเจ้าว่าเป็นคนฉลาดมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมด้วยกัน  ได้สอบถามข้าพเจ้าถึงการตกต้นหมากของชายคนนั้นว่า  จะพิสูจน์ถึงอะไรได้บ้าง  ข้าพเจ้าตอบว่า  " คนขึ้นต้นไม้ย่อมตกต้นไม้เป็นธรรมดา  และคนที่ไม่มีราคาย่อมจองหอง ฮิ ฮิ "


        " คม....คมมาก....ก้าก  ก้าก  และ ก้าก " เขาพูดพลางหัวเราะพลาง  ฟังคล้ายเสียงสิงโตหัวเราะถ้าสิงโตสามารถหัวเราะได้อย่างคนเรา


      ข้าพเจ้าออกจะเห็นด้วยกับคำสดุดีของชายอันเป็นผู้มีความเคารพนับถือข้าพเจ้าเป็นพิเศษ  เขาเคยกล่าวแก่ใคร ๆ หลายคนว่า  เขานับถือความคิดของข้าพเจ้า  แต่มีเพื่อนใจร้ายคนหนึ่งของข้าพเจ้าบังอาจกล่าวว่า  การที่อีตานั่น  บอกว่านับถือความคิดของข้าพเจ้านั้น  ก็เพราะเขารู้ว่าข้าพเจ้าไม่มีความรู้   ข้าพเจ้าฟังแล้วปวดใจมาก  คิดว่าถ้าสามารถทำมัมมี่ได้ก็จะทำเอาไว้ดูเล่นสักตัวหนึ่ง  ข้าพเจ้าหมายถึงเพื่อนใจร้ายคนนั้น


         ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยการพิสูจน์  เราจะพิสูจน์ใคร ๆ และอะไรต่อมิอะไรตลอดเวลา  และเราเองก็ถูกใคร ๆ และอะไร ๆ พิสูจน์เราอยู่เหมือนกัน  เพียงแต่กระทำกันอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น  แต่อย่าพลาดก็แล้วนะเออ..!! พลาดละก็....ฮึ่ม


                  
          ชายคนหนึ่งได้สาวใช้ใหม่มาคนหนึ่ง  เป็นสาวใช้คนแรกในชีวิตของเขา  ได้มีญาติมิตรสนิทแนะนำให้ทดลองพิสูจน์ความซื่อสัตย์ของสาวใช้คนนั้น  เขาก็ดำเนินการไปตามที่ญาติมิตรแนะนำ  ได้แก่การแกล้งลืมธนบัตรฉบับละ ๒๐ บาทบ้าง ๕๐ บาทบ้าง  และ ๑๐๐ บาทบ้าง  ไว้ในกระเป๋ากางเกงที่ส่งไปให้เจ้าหล่อนนำไปซัก  ซึ่งหล่อนก็ซักด้วยมือ ไม่ได้ซักด้วยเครื่องซักผ้า  เพราะหมอนี่เคยรู้จักกับมหาเศรษฐีพันล้านผู้หนึ่งซึ่งไม่มีเครื่องซักผ้าใช้  มหาเศรษฐีอธิบายว่า  การซักผ้าด้วยมือนั้นช่วยรักษาเนื้อผ้าราคาแพงได้ดีกว่าซักด้วยเครื่อง  เพราะฉะนั้นตามบ้านผู้มีเงินมหาศาลทั่วไป  จึงนิยมซักผ้าด้วยมือยิ่งกว่าที่จะซักด้วยเครื่อง  ความเห็นของชายคนนี้เป็นเหตุให้ญาติมิตรหลายคนที่ปัญญาอ่อนพากันขายเครื่องซักผ้าไปเสียในราคาถูกเพื่อที่ว่า  ในบ้านของเขาจะได้ไม่มีเครื่องซักผ้า    และเพื่อที่ว่าคนทั้งหลายจะได้นับถือเขาว่า เป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งของเมื่องไทย



            ผลของการพิสูจน์ด้วยวิธีนี้ปรากฏว่าธนบัตรที่เขาแกล้งลืมไว้ในกระเป๋ากางเกงเละตุ้มเป๊ะหมดแทบไม่มีชิ้นดี  แฟนของสาวใช้เท่านั้นที่รู้ความจริง  ธนบัตรสีแดงที่ถูกขยำขยี้จนไมเป็นธนบัตรนั้นคือคูปองของห้างสรรพสินค้าที่ทำเลียนแบบธนบัตรใบละร้อย  อย่างไรก็ตาม ต่อมา  ชายหนุ่มเจ้าของบ้านก็ไว้ใจหล่อนจนสนิท



          เขาได้บอกให้หล่อนรู้ตัวว่า   หล่อนเป็นคนซื่อ  เขาไว้ใจหล่อนเต็มที่  และตราบใดที่เขามีหล่อนมาช่วยทำหน้าที่แม่บ้านอยู่ในบ้านของเขา  เขาสามารถนอนไม่ต้องปิดประตูห้องนอนก็ยังได้  ส่วนสาวใช้ก็ปูที่นอนและกางมุ้งอยู่หน้าประตูห้องของเขา  เพื่ออารักขานายจ้างไปในตัวตามวิสัยของคนใช้ที่ดี


          แต่ประตูห้องนอนของนายจ้างเป็นประตูชนิดเ้ปิดออกข้างนอกห้อง  มิใช่เปิดเข้า  ดังนั้นถ้าเขาจะเปิดประตูห้องออกมา   ประตูจะต้องมาโดนที่นอนหรือบางที่ก็โดนตัวสาวใช้  ซึ่งก็ทำให้หล่อนตื่น  แต่ถ้าจะเปิดกันจริง ๆ ก็คงจะยากหน่อย  เพราะต้องออกกำลังดันบานประตูเนื่องจากหล่อนตัวหนัก


        เป็นการยากที่จะสาธยายรายละเอียดของเหตุการณ์ชนิดเช่นนี้โดยมิให้กระทบกระเทือนแก่ความสงบเรียบร้อยและศิลธรรมอันดีของประชาชน  เพราะฉะนั้น  จึงข้ามไปเสีย แต่ขอเปิดเผยความจริงบางประการตามหลักที่ว่า  ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวไปปิด  นั้นก็คือต่อมา  นางสาวใช้นั้นก็ตั้งครรภ์กับนายจ้างของหล่อน  ส่วนคนที่โล่งอกจริง ๆ คือ แฟนของหล่อน ( มันคงอยากทิ้งอยู่แล้ว )


          เราพิสูจน์ธาตุแท้ของแมวด้วยการให้อยู่ใกล้ปลาย่าง  หรือพิสูจน์มดด้วยการให้อยู่ใกล้น้ำตาล  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือมดจะกินน้ำตาลและแมวก็จะกินปลาย่าง  ส่วนพังเพยที่ว่าใช้แมวไปขอไฟจะมีความหมายอย่างไรนั้น  ขอทุเลาไว้อธิบายในโอกาสต่อไป


                  
            นานมาแล้วมีหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งเข้ามาฉายในกรุงเทพฯ เป็นหนังธรรมดาที่มิได้มีความสำคัญแก่บรรดาคอหนังทั้งหลาย  เนื้อเรื่องก็ดูง่าย ๆ มีผู้แสดง ๓ คน คือ ผัวเมียคู่หนึ่งแล้วเพื่อนของผัวคนหนึ่ง  ชายทั้วสองนี้เป็นคนตีอีเตอร์รางรถไฟ (บ้านเราเรียกว่าคนซ่่อมและดูแลรางรถไฟ ) ต่อมาเพราะเหตุใดก็จำไม่ได้  อีตาผัวเกิดหูหนวกฟังอะไรไม่ได้ยิน  แล้วเมียกับเพื่อนของแกก็ลักลอบเป็นเป็นชู้กันจนตาผัวสงสัย  ฝ่ายนางเมียกับชู้ก็สงสัยเหมือนกัน  ในที่สุดก็คิดว่างแผนการพิสูจน์ว่าอีตาผัวหายหูหนวกหรือยัง  นางเมียจึงยืนคุยกับตาผัวซึ่งนั่งเก้าอี้อยู่ในบ้าน   ส่วนชายชู้ไปยืนอยู่ข้างหลัง   แล้วขว้างเหล็กก้อนหนึ่งลงบนพื้นสุดแรงเกิด ซึ่งทำให้เสียงดังมาก  ซึ่งตามธรรมดาแล้วอีตาผัวซึ่งไม่รู้อีโหน่อิเหน่อะไรจะต้องสะดุ้งตกใจแทบตกเก้าอี้หรืออย่างน้อยก็สะดุ้งโหยงให้เห็นกันว่าแก่ได้ยินเสียงแล้ว   แต่ตาผัวนั่นแกเก็บความรู้สึกเก่งมาก  แกไม่สะดุ้งเลย  แต่แกนั่งน้ำตาคลอไหลพราก  แกคงเสียใจให้แก่คุณงามความดีที่เมียพึงมีต่อผัว  และเพื่อนพึงมีต่อเพื่อน  ซึ่งได้วอดวายไปจากหัวใจของคนทั้งสองแล้วโดยสิ้นเชิง


          ข้าพเจ้าได้ชมภาพยนต์เรื่องนี้ที่โรงหนังอะไรก็จำไม่ได้ หนังจะทำเงินหรือเปล่าไม่แน่ใจแต่มันก็เป็นบทพิสูจน์สันดานมนุษย์ แต่เพื่อนผมที่ได้ไปชมหนังเรื่องนี้บางคนเมื่อดูออกมาแล้วก็แอบไปร่ำสุราถามว่าสงสารอีตาผัวในหนังเรื่องนั่นหรือไรก็็ได้รับคำตอบแบบไม่เป็นทางการและไม่เกี่ยวกับหนังเรื่องนั้นเลยว่า " เพราะถือสุ( รา )ภาษิตว่า  กินสุราดีกว่ามีอนุภรรยา"
        

          เรื่องหนังที่เล่าไปนั้นเป็นการพิสูจน์เพื่อหาความสุจริตหรือเพื่อประโยชน์แก่การทุจริตก็ตาม  เคยมีชายคนหนึ่งไปรักผู้หญิงและสารภาพรักแก่หล่อนตามระเบียบของท่านกามเทพ หล่อนถามว่า  ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่า  เขารักหล่อนจริง  พอดีแกเป็นคนสูบฝิ่น  ผู้หญิงจึงแนะนำว่าถ้าเลิกสูบฝิ่นได้แล้วค่อยมาเจรจากันใหม่  ต่อมาชายคนนั้นก็ลงแดงตาย  อันเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเขารักหล่อนจริงและยอมก้มหน้าไปหารักใหม่ในเมืองผี


              เคยมีผู้สนใจในเรื่องภูตผีปีศาจถามข้าพเจ้าว่า  ผีผู้ชายกับผีผู้หญิงมีความปฏิพัทธ์รักใคร่กันเหมือนคนเราหรือไม่  ทั้งนี้ไม่นับหญิงชายที่จูงมือกันไปฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังในเรื่องรัก  เพราะเขาเคยเห็นชายหญิงคู่หนึ่งนัดกันไปทำลายตัวเอง  เสร็จแล้วผู้หญิงตายคนเดียว  ผู้ชายร่อแรก็จริงแต่ไม่ตาย  ต่อมาหมอนี่ก็ทะลึงไปมีแฟนใหม่  พิธีแต่งงานของเขาใหญ่โต  หรูหรามาก  เลี้ยงโต๊ะจีนชั้นดีถึง ๓๐๐ โต๊ะ มีแขกเหรื่อนำของขวัญและเงินสดไปให้มากมายก่ายกอง  และทันใดนั้นเขาก็ลืมแฟนเก่าของเขาที่ฆ่าตัวตายด้วยคำแนะนำของเขา  นี่ก็เป็นการพิสูจน์อย่างหนึ่งของความรัก  คือพิสูจน์ว่า  ไม่มีความรักของใครที่มีค่าพอที่เราจะเอาชีวิตไปบูชายัญให้มัน  และแผ่นดินไม่ไร้เท่าใบสาเกหรอกครับ!!!!


          ในการรับคนเข้าทำงานสมัยนี้ ก็เหมือนกับงานราชการทั่ว ๆ ไปที่จะต้องผ่านขั้นตอนของการทดลองงาน  ๖ เดือน  ระหว่าง  ๖ เดือนนี้  แม้ว่าเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ยาวพอที่ช่วยให้คนเราสามารถอ่านใจของกันและกันได้บ้างไม่น้อยก็มากหรือไม่มากก็น้อย  บางคนทำงานตั้งเป็นเดือน ๆ ยังไม่กล้าใช้โทรศัพท์ในสำนักงาน  และขอร้องญาติมิตรไม่ให้โทรศัพท์ไปหาเธอด้วย  เพราะเกรงใจบริษัทจะหาว่าฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว  แต่บางคนไม่เช่นนั้น  ทะลึ่งแอบโทรศัพท์ทางไกลก็มี  ทางบริษัทต้องติดต่อตรวจสอบว่าหมายเลขที่ปรากฎในใบแจ้งหนี้โทรศัพท์เป็นของใครกัน  ในที่สุดก็สืบทราบได้แน่นอนว่าเป็นโทรศัพท์จากนางสาวคนหนึ่งติดต่อไปหาญาติของหล่อนในต่างจังหวัด  การสืบสวนนี้ทำให้บริษัทต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท โดยหัวหน้าเอาไว้เอง ๑,๒๐๐ บาท อีก ๘๐๐ บาทให้ลูกน้องที่ช่วยกันสืบสวนเรื่องนี้แบ่งกันเอง


             นายอารมณ์  อายุ ๒๓ ปี หลงรักนางสาววัชรี อายุ ๒๐ ปี แต่บิดาของนางวัชรีเป็นคนดุมาก  คนทั้งสองจึงแอบติดต่อกัน  โดยมีแม่ครัวเป็นคนกลาง  แต่ไม่ใช่ถึงกับเป็นสื่อ เพราะเขารักกันอยู่ก่อน  ยายแม่ครัวเพียงแต่ทำหน้าที่บุรุษไปรษณีย์  ได้ค่ายาดองคราวละก๊งสองก๊งพอเป็นกำลังใจให้เดินเหินคล่อง  ต่อมา  ท่านบิดาของนางสาววัชรีรับจดหมายที่หมอนั่นเขียนมาถึงลูกสาว   โดยที่หล่อนแกล้งวางจดหมายนั้นไว้ในที่ซึ่งบิดาควรจะมองเห็นได้ไม่ยากนัก  แต่รายละเอียดมิได้แจ้งว่าวางไว้ตรงไหน  บิดาจึงสอบถามลูกสาวว่า  ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใคร  พ่อและแม่ชื่ออะไร  ลูกสาวจึงอธิบายจบแล้ว  บิดาบอกว่าไม่รู้จัก  ไม่เคยได้ยินชื่อพ่อแม่และนามสกุลของหมอนี่  แต่ท่านก็เปิดโอกาสโดยกล่าวว่า  ถ้าลูกสาวท่านรักใคร่ชอบพอกับชายหนุ่มจริง   ก็ขอให้เข้าตามตรอกออกทางประตู


             ปริศนาหรือรหัสข้อนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก  เพราะบางคนบอกว่า  ที่ว่าเข้าตามตรอกนั้นหมายถึงเริ่มรักกันด้วยการหลบ ๆ ซ่อน ๆ  แต่ออกทางประตูนั้นหมายถึงการลงเอยด้วยความเปิดเผย  มิใช่ลักลอบเข้าหาลูกสาวเขาแล้วเผ่นออกทางหน้าต่าง  เหมือนแมวถูกขว้างด้วยเกือก  อย่างไรก็ตาม  นางสาวได้ยื่นคำขาดแก่หมอนั่นว่า  ต้องไปหาคุณพ่อวันนี้ ( วันนั้น ) ให้ได้  แล้วเขาก็ถูกหล่อนและแม่ครัวตัวฉกาจควบคุมตัวไปในบ้าน   เหมือนนักโทษที่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วถูกคุมตัวไปเข้าคุก


             ต่อมา  เขาก็ได้ไปมาหาสู่หล่อนตามระเบียบ   คือ  ไปวันเสาร์วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ ไม่ไปไหนเลย  นั่งสนทนากันได้ทั้งวัน  จนหล่อนและบิดาเชื่อว่าเขาไม่มีบุตรและภริยา  เพราะถ้ามีจะมาได้อย่างไรกันตั้งแต่เช้าตรู่  โดยมาช่วยกันตักบาตร  แล้วกลับตั้ง ๔ ทุ่ม  สม่ำเสมอเป็นเวลาปีเศษ


               วันหนึ่ง  ท่านจึงเปรย ๆ ขึ้นต่อหน้าลูกสาวและชายหนุ่มนั้นว่า  คนที่จะมารักใครชอบพอลูกสาวของท่านนั้น  ถ้าเป็นคนดี  ทำมาหากินสุจริต  แม้จะยากจะจนก็ไม่รังเกียจ  มีพร้าขัดหลังมาเล่มเดียวก็พอ  ชายหนุ่มและหญิงสาวช่วยกันขบคิดปริศนาข้อนี้อย่างหนัก  เขาจึงไปถามน้าข้างบ้านว่าภาษิตนี้แปลว่ากระไร  คุณน้าข้างบ้านตอบว่า  ท่านหมายความว่า  เอ็งต้องมีงานทำ  และตั้งใจทำงานนั้นเป็นอย่างยิ่งหมายถึงคนที่เอาถ่าน  มิใช่คนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ  ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่า เอาถ่าน และ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ก็จริง  แต่เขาก็พยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีงานทำมั่นคงและมีความมานะบากบั่นในการทำงานจริง  วันว่างก็มาช่วยนางสาวตัดหญ้าและแต่งต้นไม้ประดับของท่าน


          ครั้นแล้วอภิมหาโลกาวินาศก็มาถึงจนได้  ท่านผู้อ่านที่ตั้งครรภ์แก่ ท่านผู้ป่วยหนักอยู่ในห้อง ไอ ซี ยู อย่าอ่าน ควรข้ามตอนนี้ไปเสีย เรื่องมีอยู่ว่า   ว่าที่พ่อตากับว่าที่ลูกเขยได้สนทนากันถึงความจริงใจที่คนรักกันต้องมีให้แก่กัน  ท่านได้สอบถามชายหนุ่มผู้มีชื่อข้างต้นนี้  อันข้าพเจ้าลืมเสียแล้วว่าชื่ออะไรนั้นว่า

               
      " เองรักลูกสาวเรามากแค่ไหน " 

      " กระผมรักคุณจิ๋ม ( หรืออะไรก็ตามที่คล้าย ๆ อย่างนี้ ) เท่าชีวิตของกระผมขอรับ " 

        ท่านถามต่อไปว่า " ถ้ามีคนจะมาทำร้ายลูกสาวของข้า  เองจะทำอย่างไร "

   เขากราบเรียนว่า " กระผมจะเข้าขวางทันที่และร้องบอกให้คุณ....เอ้อ....เอ๊ อะไรหว่า....รีบหนีไป  ถ้าขณะนั้นคนร้ายยิงหรือแทงก็ถูกกระผม  ไม่ถูกบุตรีอันเป็นประหนึ่งดวงใจท่าน  เพราะกระผมทราบว่า  ใครก็ตามที่ทำร้ายลูกสาวท่านก็เท่ากับทำร้ายท่าน "

       " สมมุติว่า  วันหนึ่งเอ็งกับลูกสาวเราพากันไปเที่ยวสวนสัตว์แห่งหนึ่งแล้วเสือหลุดจากกรงเดินมาที่เอ็ง  โดยมีสายตาจ้องจับอยู่ที่ร่างกายอรชรอ้อนแอ้นของลูกสาวข้าเองจะทำอย่างไร "


       " กระผมจะขวางหน้าคุณ....เอ้อ....เธอไว้แล้วร้องตวาดเสือด้วยเสียงอันดังที่สุดในชีวิต  ล่อให้เสือกัดผม  กระผมก็ทำได้แค่นี้แหละขอรับ  ต่อจากนั้นก็คงจะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่สวนสัตว์จะช่วยป้องกันอันตรายให้เธอ....และถ้ากระผมตาย.......  กระผมก็จะตายอย่างกามนิต ขึ้นไปรอวาสิฏฐีอยู่  ณ แดนสุขาวดีขอรับ


         " เป็นเอามาก " ท่านพูดเบา ๆ แล้วเดินไปหาคุณวัชรีที่กำลังนั่งฟังการสนทนาอยู่ที่โซฟาตัวหนึ่ง  พลางก้มลงบีบคอและคำรามลั่น  นางสาววัชรีก็ดิ้น  ท่านร้องถามเขาว่า  ถ้าเอ็งเห็นลูกสาวของข้าถูกทำร้ายแบบนี้ เอ็งจะทำประการใดให้ว่ามา


       ชายหนุ่มด้วยความกลัวว่าที่พ่อตา   และด้วยจิตใจที่กล้าหาญ  ได้กระโดดถีบสะโพกว่าที่พ่อตาสุดแรงเกิด   ว่าที่พ่อตากระเด็นไปอยู่บนโซฟาอีกตัวหนึ่ง  ส่วนชายหนุ่มเสียหลักตัวลอยเพราะถีบแรงมากถึงกับหงายหลังตึง  นอนทำนัยน์ตาปริบ ๆ อยู่บนพรมปูพื้นห้อง  พอได้สติก็วิ่งออกไปจากบ้านท่านอย่างไม่คิดชีวิต  มีท่านและนางสาววัชรีตามมาติด ๆ 

       "กลับมาก่อนเว้ย....." ท่านร้องขรม  กระโดดชูกำปั้นเต้นเร่า ๆ ขอให้กลับมาก่อน  ข้ายินดียกลูกสาวให้เองแล้ว  ไม่เรียกร้องสินสอดแม้แต่บาทเดียว  และจะยกที่ดินให้อีกหลายขนัด....... กลับมาเว้ย.....กลับมาเดี๋ยวนี้แหละ


       นายอารมณ์หันมายกมือไหว้ท่าน  และโบกมืออำลานางสาววัชรีก่อนที่จะวิ่งเลี้ยวปากตรอกหายวับไปกับตาคุณพ่อและลูกสาวคู่นี้


       " แล้วท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับจากการที่ถูกมัน....อ้า....ใช้เท้าผลักสะโพก " 

      " สองวันต่อมาจึงรู้ว่าสะโพกคลาก  เดินไม่ถนัด  ต้องเดินไปให้เขานวด  ประคบอยู่ตั้งหลายวัน  ถ้าเจอหน้ามันอีกหนเดียว.....ผมยิงมันไส้แตกแน่ ๆ ไอ้ผีทะเล...."

       " แล้วคุณหนูเล่าครับพบเห็นหรือได้ข่าวเขาบ้างไหม "  ข้าพเจ้าถามลูกสาวท่าน 

เธอสั่นศรีษะหลบนัยน์ตาพริ้ม  แล้วตอบว่า  " ไม่หรอกค่ะ...ช่างเถิด....นึกเสียว่าเราไม่ใช่เนื้อคู่กัน....แต่  คุณพ่อก็ไม่น่าจะไปทดสอบจิตใจเขาถึงขนาดนั้น  ทั้ง ๆที่คุณพ่อก็ทราบดีว่าเขาเป็นคนซื่อบื้อขนาดไหน "

        หล่อนกล่าวด้วยเสียงละห้อย


     " คนเรานั้น ถ้าไม่เข้าไปวุ่นวายกับ พรหมลิขิตของผู้อื่น
ได้ก็จะเป็นการดี " กะเหรี่ยงชราคนหนึ่งกล่าวที่หลังวัดใหม่ยายนุ้ย 


                              ___________
         
                                                                                                                                     สัมพันธ์ จันทร์ผา           

        
                     


        

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น