เบื่องหน้าเบื่องหลังภาพยนตร์เรื่องช้าง พ.ศ. ๒๔๖๕
เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๖๕ คณะสร้างภาพยนตร์ของบริษัท ยูนิเวอร์แซลเดินทางมาถึงประเทศไทยเพื่อสร้างภาพยนตร์ และเดินทางกลับเมื่อปลายมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๖ พร้อมด้วยกระป๋องฟีล์มเรื่อง "นางสาวสุวรรณ" ติดมือไปอเมริกาด้วย จนกระทั้ง พ.ศ. ๒๔๖๙ มีฝรั่งชาติอเมริกันนักสร้างหนังชื่อ มีเรียม ซี. คูเปอร์ และ เออร์ เนสท์ บี. โ้ดแส็ค เดินทางเข้ามาประเทศสยามสร้างภาพยนตร์เกี่ยวแก่สัตว์ป่าต่าง ๆ ให้แก่บริษัทพาราเม้าท์
ก่อนจะเล่าเรื่องของนักสร้างหนังสองคนนี้ ขอเปิดเผยปูมหลังของคนทั้งสองให้ทราบบ้างเล็กน้อย ทั้งคู่เป็นทหารผ่านศึกกองหนุนจากสงครามโลกครั้งแรก มีเรียม ซี.คูเปอร์ เกิดเมื่อ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ เป็นชาวเมืองแจ็คสันวิลล์ สำเร็จการศึกษาที่แอนนาโพลิส ยศชั้นสุดท้ายก่อนปลดประจำการเป็นนายพันเอก ส่วนเออร์เนสท์ บ๊.โช้คแส็ค เป็นชาวเมืองเค้าซิลลั๊ฟส์ รัฐไอโิอวา เกิดเมื่อ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ ก่อนสงครามมีอาชีพอยู่ในวงการภาพยนตร์ในฐานะเป็นช่างภาพที่โรงถ่ายของ แม็ค เซนเนท เมื่อปลดประจำการมียศแค่นายสิบเอก
ทั้งสองคนนี้มีความคิดเห็นเดียวกัน จึงได้ร่วมงานสร้างเรื่อง " Grass" ให้พาราเม้าท์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ เดินทางมาสยามครั้งนี้เพื่อสร้างภาพยนตร์เรื่อง "Chang" (ช้าง) ครั้งแรกมีการกำหนดว่าจะไปสร้างที่ อินโดจีน ซึ่งยุคนั้นเป็นเมื่องขึ้นฝรั่งเศส ต่อมาทราบว่าช้างในสยามน่ารักกว่าช้างเมืองอื่น ๆ จึงเปลี่ยนมาถ่ายทำในเมืองไทย นอกจากมีช้างจำนวนมากแล้วสัตว์ป่าอื่น ๆ ที่น่าดูและหายากก็มีอีกหลายชนิด ซึ่งเหมาะจะเก็บภาพเอาไว้บนฟิล์มทั้งนั้น
เมื่อตกลงเลือกเมืองไทยเป็นที่ถ่ายหนัง ฝรั่งสองนสยกำหนดเอาเมื่องน่านเป็นค่ายพักปักหลักเป็นสถานที่ถ่ายทำของเขา และปัญหาใหญ่อีกอย่างคือพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง จึงต้องหาล่ามที่รู้จักภาษาอังกฤษไว้ใช้หลายคน ขณะนั้นทางภาคเหนือคนพื้นเมืองยังใช้ภาษาลาวกันส่วนมาก ดังนั้นจึงต้องมีล่ามภาษาลาวไว้ด้วย จุดประสงค์ของการสร้างหนังเรื่องนี้จะแสดงความเป็นอยู่ของสัตว์ป่าทุกชนิดเท่าที่มีอยู่ในเมืองไทย ดังนั้น นอกจากช้างเป็นดารานำแล้ว ตัวประกอบก็ต้องมีเสือ, เม่น, งู, ลิง, ควายป่า, แพะ ฯลฯ ตลอดจนสัตว์ป่าอื่น ๆ เท่าที่จะหาได้ ทุกอย่างต้องการให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด
สถานที่ถ่ายทำคือ ตำบลท่าล้อ ริมฝั่งแม่น้ำน่าน ซึ้งภูมิประเทศสวยงาม มีทั้งป่าละเมาะ ท้องทุ่ง ทิวเขา และป่าทึบ และบางตอนต้องสร้างขึ้นเองด้วยฝีมือชาวพื้นเมือง ใ้ช้แรงงานประจำอย่างน้อยประมาณวันละร้อยคน และอย่างมากกว่าสองร้อย โดยจ้างเป็นรายวัน ในจำนวนมากบ้างน้อยบ้างตามความจำเป็น กว่าจะลงมือถ่ายทำได้ต้องตั้งค่ายพักอยู่เป็นเวลานาน เริ่มด้วยเสาะหาสัตว์ป่าต่าง ๆ มาสะสมไว้ก่อน ช้างเป็นตัวละครสำคัญของเรื่อง แต่ช้างที่แสดงในเรื่องมิใช่ช้างป่าที่เพิ่งจับมาสด ๆ ร้อน ๆ แต่เป็นช้างบ้านที่เขาเลี้ยงเอาไว้ใช้งาน จึงต้องป่าวร้องขอเช่าช้างเท่าที่หาได้ในเมืองนาน แต่ยังได้จำนวนไม่พอ ก็เที่ยวตระเวนหาเช่าจากตำบลต่าง ๆ จนถึงเมืองอุตรดิตถ์ รวมช้างเข้าแสดงประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบเชืือก
สำหรับสัตว์ดุร้ายอื่นที่ร่วมแสดงด้วยเช่นเสือนั้นหาเช่าไม่ได้ ไม่มีชาวบ้านคนใดนิยมเลี้้ยงเสือไว้ดูเล่นอย่างแมว การจะได้เสือมาร่วมใมแสดงก็ต้องป่าวประกาศให้พรานป่าจับเสือมาขาย ซึ่งสมัยนั้นพรานพื้นเมืองใช้วิธีจับเสือโดยการดักด้วยจั่นและใช้หมาเป็นเหยื่อล่อ การดักเสือด้วยวิธีนี้ไม่ค่อยได้เสืออย่างต้องการ เสือที่ดักได้มักตัวเล็กไม่น่าดู แล้วก็ไม่ได้จำนวนมากที่ต้องการ จึงต้องสั่งซื้อเสือลายพาดกลอนขนาดใหญ่แปดศอกจากมาเลเซีย ซึ่งสมัยนั้นใช้ชื่อว่ามาลายูและยังเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
ส่วนสัตว์ป่าอื่น ๆหาได้ไม่ยากเย็น เมื่อประกาศรับซื้อสัตว์อะไรก็มีพรานจัดหามาให้ตามต้องการ ใช้เวลาเตรียมตัวสะสมสัตว์ต่าง ๆ เป็นเวลากว่าหกเดือน ใช้เงินลงทุนในการซื้อสัตว์ด้วยงบประมาณเหยียบแสนบาท ซึ่งนับว่าเป็นเงินจำนวนมากทีเดียวในสมัยนั้น เมื่อได้สัตว์นา ๆ ชนิดพร้อมแล้วก็เริ่มลงมือถ่ายทำตามเนื้อเรื่องที่เขียนบทไว้เรียบร้อยแล้ว การถ่ายทำหนังเรื่องช้างนี้หาได้ดำเนินงานที่ภาคเหนืออย่างเดียวไม่ ส่วนใหญ่ปักหลักทำงานอยู่ที่จังหวัดน่าน แต่บางตอนยกกองไปถ่ายทำในป่าทางใต้ เช่นที่สุราษร์ธานี, ชุมพร, พัทลุง, และสงขลา
ภาพยนตร์เรื่อง "ช้าง " สำเร็จด้วยความวิริยะและฝีมือของ มีเรียม ซี.คูเปอร์ และเออร์เนสท์ บี. โช็ดแส็ค โดยเรียบร้อย จนเป็นหนังมีชื่อเสียงโด่งดังรู้จักกันทั่วโลก แม้ในปัจจุบันยังกล่าวถึงหนังเรื่องนี้กันอยู่ แต่ตอนเข้ามาถ่ายทำนั้นไม่ค่อยมีผู้ใดทราบกันนัก มาทราบเอาเกรียวกราวตอนที่บริษัทพาราเม้าท์ส่งฟิล์มเข้ามาฉายในเมืองไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ (!!!!!!ตอนนั้นผมยังไม่เกิดแต่โชคดีมาก ๆ ที่ได้รับชมภาพยนตร์เืรื่องนี้นับว่าไม่เสียชาติเกิดเป็นคนไทยครับ.....!!) เล่ากันว่ามีฝรั่งสองนายดอดเข้ามาเอาของดีของเราไปหาเงินได้ทั่วโลกจนรวยไปตาม ๆ กัน
สมัยนั้้้นหนังสือพิมพ์ที่ลงพิมพ์เรื่องหนังล้วน ๆ ไม่ค่อยมี เมื่อเรื่อง "ช้าง" เข้ามาฉายครั้งแรกหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ " สารานุกูล " ของ "หลวงสารานุประพันธ์"มีส่วนได้ช่วยโฆษณาให้หนังเรื่อง "ช้าง" อย่างครึกโครม โดยจัดทำเป็นฉบับพิเศษหาเรื่องเกี่ยวกับช้างมาลงพิมพ์ ตลอดจนเกร็ดย่อยของการถ่ายทำอย่างน่ารู้ ผู้ที่เขียนเรื่องให้แก่สารานุกูลเป็นนักเขียนสมัครเล่นผู้หนึ่งใช้นามแฝงว่า
"หนานไผ่" เป็นผู้ติดตามกองถ่ายไปด้วย ได้เห็นการถ่ายทำและวิธีการพลิกแพลงต่าง ๆ ด้วยตาของตนเอง มีเบื่องหลังที่น่ารู้จึงขอคัดลอกข้อเขียนของเขามาลงด้วยเป็นบางตอน ซึ่งตามเนื้อเรื่องที่เห็นจากภาพฉายดูราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในป่าลึกห่างไกลไม่มีเส้นทางติดต่อกับตัวเมือง แต่มีกลเม็ดการถ่ายทำของผู้สร้าง ช่วยให้เวลาชมภาพยนตร์ดูสนุกตื่นเต้นแทรกบทตลกรู้ชีวิตการดำรงชีวิตในป่า ความผูกพันความรักความหวงแหน การดิ้นรนการต่อสู้ทุกอย่างมีครบ (ไม่พากษ์ไทยอย่างเดียว )
".....ตอนหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะเว้นกล่าวถึงเสียมิได้คือตอนที่นายกรุซึ่งเป็นพระเอกของเรื่องกับพวกช่วยกันจับลูกช้างได้จากหลุมที่นายกรุดักไว้ แล้วนำลูกช้างมาผูกไว้ใต้ถุนเรือน ภายหลังแม่ช้างมาทำลายเรือนของนายกรุเพื่อชิงลูกของมันคืนไป การแสดงตอนนี้เป็นไปโดยเรียบร้อยสนิทสนม แต่ทั้งนี้หาใช่เพราะช้างแม่ลูกได้รับการฝึกสอนบทบาทตอนนี้จนมีความชำนาญไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นความสามารถของผู้ทำภาพยนตร์ชัด ๆ เขาใช้ความเป็นอยู่ของช้างตามธรรมชาติจริง ๆ ต่างหาก สำหรับการทำภาพยนตร์ตอนนี้ข้าพเจ้าขอเล่าย่อ ๆ ได้ว่า เขาปลูกเรือนแบบชาวป่าขึ้นหลังหนึ่ง ส่วนภาพภูมิประเทศที่ดูเป็นป่านั้น ความจริงเป็นป่ากำมะลอสำเร็จขึ้นโดยฝีมือของพวกลาว ต้นหมากรากไม้ต่าง ๆพวกกุลีลาวปลูกขึ้นเสร็จภายในวันสองวันเท่านั้นเอง......"
"......เมื่อเสร็จจากปลูกบ้านและทำป่าแล้ว เขาก็นำลูกช้างมาผูกไว้ใต้ถุนเรือนตามท้องเรื่อง ตัวเรือนนั้นมีพื้นต่ำกว่าหลังช้าง พอจัดการผูกช้างเสร็จแล้วก็ปล่อยแม่ช้างออกมาเพ่นพ่านอยู่แถวนั้นก่อน ลูกช้างได้ยินเสียงหรือได้กลิ่นแม่ของมันก็ร้องเอ็ดขึ้น ส่วนแม่ช้างได้ยินเสียงลูกร้องก็วิ่งเข้าไปหา แต่ก็เข้าใต้ถุนเรือนไม่ได้ เพราะพื้นเรือนต่ำกว่าหลังของมัน และด้วยความอยากได้ลูกของมันคืนมา จึงจำเป็นที่แม่ช้างจะต้องทลายเรือนหลังนั้นให้พินาศเสียก่อน แล้วจึงจะเข้าหาลูกได้สมประสงค์ ข้อนี้แหละจึงสมเหตุสมผลเหมาะกับเนื้อเรื่อง ส่วนตอนที่ช้างทั้งโขลงพากันเข้ามาทลายหมู่บ้านก็มีสภาพทำนองเดียวกันนี้เอง ผิดแต่ซ่อนลูกช้างไว้เสียไม่ให้เห็น และต้อนฝูงช้างให้เข้าไปหาลูก....."
เป็นฉากสำคัญทั้งประทับใจคนดูและตื่่นเต้นมาก ต่างวิจารณ์การถ่ายทำกันต่าง ๆ นา ๆ และคงคลายสงสัยเมื่อได้อ่านเบื่องหลังของมัน คุณ " หนานไผ่ " เล่าตอนหวาดเสียวจากเบื่องหลังการถ่ายทำไว้ดังนี้
"......อีกตอนนับว่าสำคัญเหมือนกัน คือตอนที่เสือต่อสู้กับควายในท้องเรื่องที่เป็นภาพยนตร์แล้วคือตอนที่ควายของนายกรุออกจากคอกไปหาหญ้าและน้ำกิน และต้องผจญกับเสือใหญ่ตัวหนึ่ง ผลที่สุดควายเป็นฝ่ายปราชัย และเสือได้ควายเป็นอาหารอันโอชะของมัน.......!!! การทำภาพยนตร์ตอนนี้ไปจัดทำที่ตำบลเวียงเหนือในเขต โรงเรียนมิสชันนารีรังษีเกษม ใช้ที่เป็นรูปไข่ทำเป็นพะเนียดมีเนื้อที่หนึ่งพันห้าร้อยตารางเมตร ใช้ไม้ไผ่ทั้งลำปักเป็นพะเนียดสูงประมาณห้าวา เพื่อป้องกันเสือกระโดดออก ส่วนกล้องถ่ายตั้งอยู่ภายนอกพะเนียด โดยเป็นห้างสูงประมาณหกศอกเจาะช่องพอปากกล้องลอดเข้าไปข้างในได้ แล้วปล่อยเสือออกมาก่อน ปล่อยควายออกมาที่หลัง พอเจ้าควายออกมาพบเสือและได้กลิ่นก็ชะงัก แต่เจ้าเสือคงนอนนิ่ง แต่กระนั้นปรากฏว่าเจ้าควายมิได้ถอยห่างไปจากเจ้าเสือเลย มิหนำซ้ำยังพยายามเข้าไปหาเจ้าเสือจนใกล้ พอได้ระยะเอื้อมถึงเจ้าเสือใช้เท้าหน้าตบหน้าเจ้าควายก่อน สำหรับเจ้าควายตัวนี้ข้าพเจ้าเห็นว่ามันดุและเปรียวพอใช้ มันไม่ยอมทำท่าหงอยเจ้าเสือเลย พอถูกเสือตบหน้า เจ้าควายก็เกิดบ้าเลือดขึ้นมาทันที และดุราวกับควายป่าก็ไมปาน เจ้าควายไม่ยอมให้เจ้าเสือตบซ้ำ รี่เข้าขวิดเจ้าเสือสวนควันอย่างว่องไวปลายเขาจมอยู่ที่ซี่โครงเสือประมาณหนึ่งคืบ แต่ต่อจากนั้นเจ้าควายก็คุมเชิงเจ้าเสือแจ ถ้าเจ้าเสือขยับตัวแม้แต่นิดหนึ่งก็โจนเข้าขวิดทันที ผลที่สุดของการสงครามระหว่างเสือกับควายนี้ก็ปรากฏโดยชัดเจนว่าเสือเป็นฝ่ายปราชัย ส่วนในท้องเรื่องจริง ๆ นั้นอุปโลกน์ให้เสือเป็นฝ่ายชนะควายและได้กินควาย ทีจริงก็น่าเสือจะเป็นฝ่ายแพ้ เพราะข้าพเจ้าทราบมาเลา ๆ ว่าเสือตัวนี้ได้มาจากเวียงจันทน์ กว่าจะมาถึงทีทีถ่ายทำภาพยนตร์เจ้าเสือก็บอบแบบเต็มที พอปล่อยออกจากกรงก็ดูเชื่องซึมจนจะกลายเป็นแมวไปเสียแล้ว ถ้ามีผู้บอกว่าเสือสู้กับควายแล้ว ควายคงจะไม่โง่ให้เสือเถือเอาตามชอบใจ ถึงวัวก็เถอะเสือคงจะทำเล่นง่าย ๆ เหมือนอย่างที่เขาเข้าใจกันอยู่ทุกวันนี้ว่าเสือต้องกินวัว หรือวัวกลัวเสือเสียจริงจัง แม้เพียงเห็นรูปเสือก็ขนหยอง....!!!
"........เจ้าเสือตัวที่สู้กับควายนี้ถูกขวิดเสียบอบร่อแร่เต็มทน อยู่ไปก็ไม่รอด เขาจึงสำเร็จโทษให้ตายเร็ว ๆ เสียด้วยไรเฟิ้ล และถลกเอาแต่หนังศรีษะเท่านั้น ถึงเจ้าเสือจะทำความยุ่งยากให้แก่พวกทำภาพยนตร์จนถึงต้องเสียลูกปืน ก็ยังไม่สู้เจ้าควาย การตอนจับเจ้าควายให้ออกจากเพนียดนั้นข้าพเจ้าออกรู้สึกลำบากใจแทน เจ้าควายบ้านตัวนี้ตั้งแต่ถูกเจ้าเสือตบครั้งแรก ก็บังเกิดการบ้าเลือดเอามาก กลายเป็นควายป่าที่ดุร้ายที่สุด เมื่อหมดหนทางที่จับได้แล้วเขาก็ต้องปราบเสียด้วยปืน....."
".......ตอนควายสู้กับเสือนี้ ข้าพเจ้ายังเห็นว่าสู้ตอนเสือสู้กับคนไม่ได้ สัตว์ต่อสัตว์สู้กัน แม้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะล้มตายหรือตายทั้งสองข้างก็ไม่เป็นของอัศจรรย์อะไร แต่ถ้าเป็นมนุษย์แล้วใครเลยจะลงทุนเป็นผู้แสดงอย่างนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพวกทำภาพยนตร์ทำตอนคนกับเสือจะได้ผจญกันนี้สนิทแนบเนียนมาก อันเป็นภาพที่สามารถกระทำให้ผู้ดูหวาดเสียวมีความตื่นเต้นได้ แต่ไม่ทำให้ผู้แสดงมีอันตรายอย่างใดเลย
".......ตอนคนถูกเสือไล่นี้เขาถ่ายริมฝังแม่น้ำน่านตรงกันข้ามหน้าโรงทหาร พื้นที่ตรงนั้นเป็นเนินหรือดอยเตี้ย ๆ เขาจัดการตัดดอยจนไม่มีเลยทำให้ดูคล้ายหน้าผาชัน ตรงหน้าผาที่ตัดนี้ขุดเป็นหลุมกว้างประมาณห้าเมตรยาวแปดเมตร ลึกอยู่ในราวแปดเมตร บนดอยข้างหลุมก็สร้างเป็นป่าขึ้นให้เหมือนกับป่าที่มีเสืออยู่จริง ๆ ส่วนข้างหลุมทำเป็นที่ป้องกันมิให้เสืออ้อมมาทำร้ายคนได้ ผู้แสดงกับกล้องถ่ายอยู่ด้านหนึ่งของหลุม ส่วนเจ้าเสื้อปล่อยให้อยู่อีกด้านหนึ่งเมื่อผู้แสดงออกไปล่อ เจ้าเสือได้กลิ่นและเห็นคนก็วิ่งตรงเข้ามาจะทำร้ายแม้เสือกระโดดจนสุดกำลังอย่างใดก็ข้ามมาถึงฝั่งคนอยู่หาได้ไม่ทุกคราวที่เสือกระโดดมาหาคนเป็นตกลงในหลุม ซึ่งเบื่องล่างมีกรงและตาข่ายคอยรับ แล้วจับเสือขึ้นมาปล่อย ให้กระโดดทำร้ายจนตกหลุมกลับไปกลับมาดังนี้อีก เลยกลายเป็นภาพที่หวาดเสียวดูน่าตื่นเต้น.....!!! "
"........เมื่อการสร้างเรื่อง "ช้าง" สำเร็จเรียบร้อยแล้ว มีปัญหาตามมา คือเรื่องสัตว์ป่าต่าง ๆ ที่แสวงหามาแสดงในเรื่องเล่านั้นจะทำอย่างไรกับมันดี ตอนแรกก็หาซื้อสะสมด้วยความยากลำบากและราคาแพงครั้นจะนำกลับอเมริกาด้วยก็ไม่อาจทำได้ จึงนำออกขายทอดตลาด ปรากฏมีผู้นิยนซื้อสัตว์เหล่านั้นเหมื่อนกัน เพราะราคาเหมือนกับได้เปล่า แต่เลือกเอาแต่สัตว์เล็ก ๆ ที่นำไปเลี้ยงได้ ส่วนช้างที่เช่ามาก็จัดส่งคืนเจ้าขอวไป สัตว์ที่กลายเป็นราคาถูกที่สุดคือเสือ ซื้อมาตัวละหลายร้อยบาท เลหลังด้วยราคาถูกที่สุดก็ไม่มีผู้รับซื้อไว้ ครั้นจะปล่อยเข้าป่าไปตามเดิมก็ทำไม่ได้ แม้เสือจะถูกยิงตายในการแสดงหลายตัวก็ยังมีเหลืออยู่อีกหลายตัวเหมือนกัน เมื่อหาผู้ซื้อไม่ได้ก็จัดการประหารเสียด้วยลูกปืนถลกเอาแต่หนังและหัวของมันกลับไปด้วย.....!!!!!! "
นอกจากเรื่อง "ช้าง" มีเรียม ซี.คูเปอร์ และเออร์เนสท์ บี. โช็ดแส็ค ฝากฝีมือและชื่อเสียงไว้แก่โลกภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งคือ "คิงคอง" ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่แปดของโลก โดยถือว่าการถ่ายทำมีกลเม็ดอย่างพิสดารเพิ่งค้นคว้าได้เป็นของใหม่จนต้องปกปิดเป็นความลับ ครั้นถึงยุคไฮเท็คซึ่งการถ่ายทำภาพยนตร์ได้พลิกแพลงอย่างน่าพิศวง คำเปรียบเปรยนั้นก็ตกไป
นายกรุ, มีเรียม ซี.คูเปอร์, เออร์เนสต์ บี. โซดแสค,
Chanpa
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น