เรื่องทุกเรื่องเป็นอดีตไปหมดแล้ว เกิดจากความจำ เกิดจากอารมณ์ขำ อ่านแล้วไม่เครียด อ่านแล้วขำลึก ๆ นึกขึ้นมาที่ไรก็เบิกบานทุกครั้ง
วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ชื่อใครว่าไม่สำคัญ
ภาษาไทยของเราเป็นภาษามหัสจรรย์ที่สุดในโลก สามารถถอดเสียงสูงเสี่ยงต่ำได้ทุกเสียง แถมยังอ่านกลับหน้ากลับหลังได้ความหมายแตกต่างกันออกไป เอาคำที่มีความหมายคนละอย่างมาต่อกันเข้าเป็นคำเดียว ได้ความหมายขึ้นมาใหม่อีกก็ได้มหัศจรรย์จริง ๆ ครับ หยั่งคำอ่านกลับหน้ากลับหลัง หรือที่เราเรียกว่า "คำผวน" นี่ถึงกับมีบทกวีนิพนธ์อันลือชื่อเล่มหนึ่ง ชื่อ (ฟังแต่ชื่อก็เสียวแล้ว) ว่า สรรพลี้หวน แต่งโดยขุนพรหมโลกต้องนับว่าคนแต่งมีพรสวรรค์ (หรือพรนรกก็ไม่รู้) ในทางนี้จริง ๆ อ่านโดยไม่ผวนจะได้เรื่องได้ราวไปอย่างหนึ่ง ถ้าผวนจะได้ความหมายไปอีกอย่างหนึ่ง เสียดายว่าเป็นวรรณคดีต้องห้ามไม่งั้นจะโควตมาให้อ่านเป็น "แซมเปิิล" สักบท ใครอยากอ่านก็ไปขออ่านได้ที่เจ้าหน้าที่หอสมุดแห่งชาติ ดูเหมือนเขาเก็บไว้ชั้นสี่ ไม่บริการทั่วไป ดอกเตอร์ เคลาส์ เว้งก์ ชาวเยอรมันผู้เชี่ยวชาญวรรณคดีไทยเคยมาขอคัดลอกไป แกอ่านแล้วอุทานว่า นี่มันวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบันฑิตเชียวนะ จะหาคนแต่งอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว
เรื่องคำผวนนี้ บางคนมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เวลาคุยกันในหมู่เพื่อนสนิท เขาจะผวนให้เฮฮาสนุกสนานทันทีที่มีโอกาส เช่นผู้ว่าราชการจังหวัดบางคนไม่ขอเอยนามซึ้งในเรื่องศาสนา เช่น การบวชชี ผู้หญิงบวชไม่ได้ทุกคน ( ไม่รู้ไปอ่านมาจากคัมภีร์ไหน ) เรื่องโภชนาการก็เหมือนกัน อยากให้มีแรงดี ไม่ให้กำลังลดถอย ต้องกินอะไร ไม่กินอะไร บอกได้หมด รู้กระทั้งประวัติศาสตร์จีน โจโฉพ่อชื่ออะไร ปู่ชื่ออะไร
ในแวดวงดงขมิ้น มีพระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชียวชาญในด้านนี้ ชื่อเจ้าคุณเจีย ท่านสอบไดัเปรียญเก้าประโยครุ่นเดียวกับเจ้าคุณจวน ( ต่อมาได้เป็นสมเด็จสังฆราช) ทั้งสองรูปเป็นเพื่อนสนิทกันมาก เมื่อเจ้าคุณจวนได้เป็นสมเด็จสังฆราชแล้ว เจ้าคุณเจีย ยังติดแหงกอยู่แค่พระราชาคณะชั้นสามัญ ไม่ได้เลือนซักที พระผู้ใหญ่บางท่านให้ความเห็นว่าที่ไม่ได้สมณศักดิ์สูงขึ้นก็เพราะท่านเจ้าคุณเจียชอบพูดคำผวน ไม่เ้หมาะที่จะเป็นพระผู้ใหญ่ เจ้าคุณเจียเองก็ดูเหมือนจะรู้ดีในข้อนี้ แต่ท่านก็ไม่สนใจ ยังชอบพูดคำผวนอยู่ตามเดิม
คราวหนึ่งมีงานรัฐพิธีที่วัดพระแก้ว ขณะที่พระเถรานุเถระทั้งหลายกำลังรอ
ในหลวงเสด็จฯ อยู่ เจ้าคุณเจียชี้ไปที่รูปช้างแกะสลักสองตัว ถามว่า พวกท่านรู้ไหม ช้างสองตัว ตัวไหนตัวผู้ ตัวไหนตัวเมีย พระเถระบางองค์รู้ทันเจ้าคุณเจียก็ยืนยิ้มเฉย ๆ อีกหลายองค์อยากรู้จึงกรูเข้าไปจ้องแกะสลัก เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบได้ เจ้าคุณเจียจึงชี้ว่านี่ตัวเมีย ตัวนั้นตัวผู้ ครั้นถูกย้อนถามว่า รู้ได้อย่างไง " สังเกตดูหางกับคางมันซิ" เจ้าคุณเจียอธิบาย "ตัวเมียให้ดูหาง ตัวผู้ให้ดูคาง"
พระคุณเจ้าผู้แสนซื่อและบริสุทธิ์ต่างจ้องพินิจพิจารณาหางและคางของรูปแกะสลัก ขมวดคิ้วด้วยความกังขาเป็นกำลังว่า เจ้าคุณเจียท่านรู้ได้อย่างไงเพราะมันไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เจ้าคุณเจียหัวเราะชอบอกชอบใจอยู่องค์เดียว
เสฐียรพงษ์ น้องชายรู้จักกันแกเล่าว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องตั้งชื่อลูกเขาว่า
ชามาตร ถูกหาว่าแกล้งด่าเขา "ชาติหมา" คราวนั้นแก่ระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ไม่เฉพาะคำที่อาจจะผวนให้แปลควาหมายได้ แม้คำไม่ผวนเช่น "หมี" หรือ "ลูกหมี" แกก็จะไม่เอามาตั้งชื่อเล่นให้ลูกเต้าใครเป็นอันขาด เพราะกลัวเวลา่ลูกหายไป พ่อแม่ตามหาลูก ไม่รู้จะถามชาวบ้านว่าอย่างไรจึงจะสือสารกันรู้เรื่อง จะถามว่า "ทัศนาลูกหมีไหม" คนฟังอาจไม่รู้เรื่อง
ผมว่าไอ้น้องชายผมมันกำลังประสาท เรื่องพรรค์นี้คิดมากมันก็มากเรื่องไปเปล่า ๆ เคยได้ยินว่าสมัยก่อนเจ้านายท่านให้เปลี่ยนชื่อพืช สัตว์ เสียใหม่หลายอย่างกลัวว่าเวลาผวนแล้วจะฟังหยาบ เช่น ผักบุ้ง ก็ให้เรียกใหม่ว่า ผักทอดยอด ปลาสลิดเปลี่ยนเป็นปลาใบไม้ (อ้ายอย่างแรกน่ะพอจะรู้แต่อย่างหลังมันหยาบอย่างไรผมขอสารภาพว่าผมโง่จริง ๆ ใครจะให้ความกรุณาให้ความสว่างแก่ผมจะขอบคุณมาก) ชื่ออดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง อ่านออกเสียงเหมื่อนปลาตัวนี้ ยังดีที่ท่านไม่บ้าจี้ ไม่งั้นเราคงได้ชื่อนายก ฯ ชื่อไพเราะว่า "จอมพลใบไม้" จารึกไว้ในประวัติศาสตร์
เคยพูดไว้แล้วว่าธรรมเนียมการตั้งชื่อ เราเอามาจากพิธี "นามกรณัม" ของพรามหม์ แต่ก็ไม่เอามาทั้งหมด บางอย่างเราก็ไม่เอาตามเขา เช่นคนอินเดียชอบตั้งชื่อเลียนแบบสิ่งที่เคารพสูงสุด คือเอานามพระผู้เป็นเจ้ามาตั้งชื่อลูก เช่น ราม กฤษณะ ปารวดี
นารายณ์ เป็นต้น เขาถือว่าเวลาเวลาเรียกชื่อลูกจะได้รำลึกนึกถึงพระผู้เป็นเจ้า ได้อยู่ใกล้พระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา เขาไม่ยักคิดว่าเวลาโกรธลูกเผลอด่า "ไอ้หาราม" หรือ
"ไอ้กฤษณะฉิบหาย" ไม่กลัวพระผู้เป็นเจ้าแกกริ้วเอาหรือไง
ในแงนี้คนไทยไม่เอาอย่าง เรามีธรรมเนียมว่าไม่ละเมิดเบื่องสูง สิ่งเคารพสูงสุดเช่น พระรัตนตรัย สถาบันกษัตริย์ จะไม่นำเอามาตั้งชื่อลูกหลานเป็นอันขาด พระนาม
" สิทธัตถะ" ก็ดี "โคตมะ" ก็ดี หรือพระนามของราชวงศ์ชั้นสูงไม่นิยมนำมาตั้งชื่อ ไม่ถึงกับมีกฏหมายห้ามแต่เป็นมารยาทอัดีงามไม่พึงละเมิด นี่คือข้อแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรมแขกอย่างหนึ่ง
ในส่วนที่เหมือนกันก็มี คือชื่อแขก (เข้าใจว่าไม่ทั้งหมด) มักจะมีชื่อบ้านเกิดหรือเมืองมาตุภูมินำหน้าชื่อจริง เช่น วอลโปละ ราหุล คำแรกเป็นชื่อบ้านเกิด คำหลังเป็นชื่อจริง
ธรรมเนียมแบบนี้มีประโยชน์แก่อนุชนผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ไม่น้อย แม้จะมีคนชื่อราหุลตั้งสี่คน ล้วนแต่เป็นคนเด่นดังในประวัติศาสตร์มีผลงานคนละหลายกุรุส ไม่มีวันสับสนว่าใครเป็นใคร ผลงานไหนเป็นของใครเป็นอันขาด เพราะชื่อหน้าจะเป็นตัวบ่งชี้
ในบางจังหวัดของประเทศไทย เช่นจังหวัดนครราชสีมารับเอาลัทธิธรรมเนียมอย่างนี้มาด้วย ไม่ทราบว่ารับมาได้อย่างไร ทำไม่จังหวัดอื่นจึงไม่มีก็ไม่รู้ ฝากนักวิชาการค้นคว้าด้วย ชาวโคราชจะตั้งนามสกุลตามตำบลหรืออำเภอของตน เช่น นายลี เกิดอยู่อำเภอขุนทด นามสกุล"ดุนขุนทด"นางมา เกิดอำเภอกระโทก นามสกุล "ดีกระโทก"เป็นต้น
เห็นนามสกุลปั้บรู้ทันทีว่าเป็นชาวอำเภอไหน หรือ บรรพบุรุษมาจากถิ่นไหน มันดีในแง่การศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของคนแต่น่าเสียดายว่าคนรุ่นใหม่กำลังจะละทิ้งลัทธิธรรมเนียมอันดีงามนี้เสียเขาว่า มันเชยส์ ฟังไม่ไม่ไพเราะ อายคนอื่นเขา จึงพากันเปลี่ยนชื่อสกุลใหม่ให้
"หะรูหะรา" กว่าเดิม อย่างเจ้าลี ดุนขุนทด เพื่อนผมก็เปลี่ยนซะโก้ว่า "สหชาติโกสีย์"เป็นต้น
ต่อไปอีกร้อยสองร้อยปีลูกหลานเหลนโหลนของตระกูลนี้อยากจะสืบหา "รูท" รากเง่าของตัวเองก็คงทำไม่ได้แล้ว เพราะข้อมูลมันเปลี่ยนแปลง
ผมอยากยกตัวอย่่างสักเรื่องหนึ่ง เชื่อว่าชาวพุทธที่สนใจศาสนาทุกคนคงเคยได้ยินชื่อ พุทธโฆสาจารย์ ( อย่างน้อยก็ได้ยินเดี๋ยวนี้แหละ ) ท่านผู้นี้เป็นพระอรรถกถาจารย์ชื่อดังฝ่ายเถรวาท หรือ หินยาน ( คำนี้ก็เหมือนกัน เดิมเขาเขียน หีนยาน คนบ้าจี้ไปลดเสียงให้สั้นเสีย ) ท่านแต่งหนังสืออธิบายพระไตรปิฎกมากมายกว่าใคร หนังสือของท่าน พระสงฆ์
ใช้เป็นหลักสูตรเรียนตั้งแต่ประโยคหนึ่งถึงประโยคเก้า คนมีผลงานมหึมาถึงขนาดนี้ แต่ประวัติความเป็นมากลับไม่ชัดแจ้ง ตำราส่วนมากกล่าวว่า ท่านเป็นชาวอินเดียภาคเหนือ เกิดที่ตำบลพุทธคยา สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ บวชแล้วเดินทางไปทำงานด้านการแต่งและแปลคัมภีร์ศาสนาที่ประเทศศรีลังกา
มีนักวิชาการหลายท่านตั้งข้อสังเกตว่า ท่านพุทธโฆสาจารย์น่าจะมิใช่ชาวเหนือ น่าจะเป็นชาวใต้มากกว่า สงสัยแถว ๆ แค้วนอันธระ ที่เขาตั้งข้อสังเกตอย่างนี้เพราะเวลาพระพุทธโฆสาจารย์พูดถึงภูมิภาคก็ดี ความเป็นอยู่ของประชาชนก็ดี ถ้าเป็นเรื่องทางภาคเหนือแล้วมักจะให้ข้อมูลผิดพลาด แต่ถ้าเป็นเรื่องทางภาคใต้ท่านจะมีความรู้ดีเป็นพิเศษ จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คนเราจะบรรยายเมืิองมาตุภูมิของตนผิด
เมื่อ ค.ศ. ๑๙๕๒ มีนักธรณีวิทยาสองคนขุดค้นพบที่ตั้งของหมู่บ้านโบราณแห่งหนึ่ง ที่แคว้นอันธระ ภาคใต้ของอินเดีย ชื่อของหมู่บ้านเป็นภาษาเตลคุ ถอดเป็นภาษาบาลีว่า "โมรณุฑ" (แปลว่าไข่นกยูง) การค้นพบหมู่บ้านโบราณแห่งนี้ สร้างความตื่นเต้นแก่นักวิชาการมาก เพราะมัน "ส่อง" ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระอรรถกถาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้อย่างชัดเจนขึ้น
ท้ายหนังสือ วิสุทธิมรรค ท่านเขียนถึงตัวท่านเองเอาไว้ แต่ไม่มีใครแปลออก พอค้นพบหลักฐานข้างต้น นักวิชาการต่างก็ถึง "บางอ้อ" ไปตาม ๆ กัน ท่านเขียนถึงตัวท่านดังนี้ครับ ( ขออนุญาตยกบาลีหน่อย )
พุทฺ ธ โฆ โส ติ ครู หิ ค หิ ต น า ม เ ธ ยฺ เยน เถเรน
โ ม ร ณฺ ฑ เ ข ฏ ก วฺ ตฺ พฺ เพน ก โ ต วิสุ ทฺ ธิ ม คฺ โ ค
แปลว่า "วิสุทธิมรรค แต่งโดยพระเถระที่ครูขนานนามให้ว่า พุทธโฆสะ ผู้เคยอยู่ใน
โมรัณฑ เขฏกะ"
คำที่เขียนตัวเอนนี่แหละครับ เป็นกุญแจไขถึงชาติภูมิ ของท่าน ซึ่งแต่ก่อนไมมีใครเคย
เฉลี่ยวใจ โมรณฺฑ แปลว่า "ไข่นกยูง" เขฏก เป็นคำสันสกฤตแปลว่า "หมู่บ้าน" เพราะฉะนั้น
โมรณฺฑเขฏก ก็หมายถึงหมู่บ้านโมรัณฑะ ที่ขุดพบที่แคว้นอันธระ นั่นแล
เข้าใจว่าสมัยนั้นใคร ๆ คงหมายถึงท่านผู้นี้ว่า "โมรัณฑ เขฏกะ พุทธโฆสะ" คำแรกบอกบ้านเกิด คำหลังบอกชื่อจริง ตามธรรมเนียมตั้งชื่อของคนอินเดียสมัยนั้น
เพื่อน ๆ ที่ามีนามสกุลบอกถิ่นเกิด ถ้าไม่อยากให้ลูกหลานลำบากในการค้นหา
" รูท " ในการข้างหน้า ก็อย่าเปลี่ยนใหม่เลยครับ ถึงมันจะเชยส์บ้างก็ช่างเถิด !!!!!!!
_____________________________
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น