เรื่องของหมากับคน
ที่กล่าวมาในตอนที่ ๑ เป็นเรื่องทำนองนิยาย ข้อสันนิษฐานอันเกี่ยวกับความผูกพันระหว่างคนกับหมาที่น่าเชื่อควรจะเป็นของนาย KONRAD Z. LORENZ ชาวเยอรมันผู้เชี่ยวชาญทางสัตว์ศาสตร์ ซึ่งกล่าวไว้ว่า ในสมัยยุคหิน คนเรายังท่องเที่ยวหากินกันเป็นฝูง ๆ พอตกค่ำก็ก่อกองไฟเข้า แล้วเอาเนื้อสัตว์ปิ้งกินและนอนหลับอยู่ข้าง ๆ กองไฟ ฝ่ายหมาซึ่งขณะนั้นเป็นหมาป่าออกหากินกลางคืนเป็นฝูงเห็นกองไฟ และได้กลิ่นเนื้อสัตว์ที่พวกคนเอามาเป็นอาหารก็จะต้องสนใจมาเรียงรายอยู่ในที่มืดรอบ ๆ วงที่คนได้พักค้างคืนอยู่แต่ไม่กล้าเข้าใกล้ ในยุคนั้น สัตว์ใหญ่ ๆ ที่ชอบจับคนกินเป็นอาหารก็มีอยู่มาก ดังนั้น ในตอนกลางคืน คนจึงต้องผลัดกันอยู่ยามระวังภัย คนที่อยู่ยามก็คงได้ลูกตาของหมาซึ่งสะท้อนอยู่กับแสงไฟนี่แหละแก้เหงา และหากเผลอหลับไปบ้างแล้วมีสัตว์ใหญ่เข้ามาหมาที่อยู่รอบนอก ก็จะต้องเห่าหอน และหนีกันเกรียวกราว ทำให้ยามตื่นจากหลับได้ หรือแม้ไม่หลับเสียงของหมาก็จะเป็นสัญญาณภัยบอกให้รู้ตัวล่วงหน้า
หมาอาจอยู่ในฐานะเป็นผู้เตือนภัยให้แก่คนเรามาอีกหลายร้อยปี โดยที่ฝ่ายคนไม่รู้ตัวและไม่เห็นประโยชน์ของหมาโดยชัดเจน แต่ต่อมาคงจะมีสักคราวหนึ่งที่คนได้ผลัดเข้าไปพักแรมในที่ ๆฝูงหมาตามเข้าไปไม่ถึง "คืนนั้นพวกคนคงจะวังเวงและเกรงภัยมิใช่น้อย และคุณของหมาก็คงปรากฏขึ้นในใจของคน" ต่อมาเมื่อได้กลับมานอนค้างในที่ ที่หมาตามมาถึง ก็อาจมีใครสักคนหนึ่งโยนเศษอาหารเนื้อหรือกระดูกออกไปนอกวง หมาก็จะเข้ามากินซึ่งเป็นการเข้ามาใกล้คนอีกขั้นหนึ่ง จากนั้นเป็นต้นมา หมาก็คุ้นเคยกับคนมากขึ้้นหมาบางตัวอาจตามคนไปล่าสัตว์ใหญ่ในเวลากลางวัน คนก็ได้อาศัยหมาซึ่งมีจมูกไวกว่าตามกลิ่นสัตว์ไป เมื่อพบแล้วก็เข้ารุมล้อมเห่าสัตว์นั้น ๆ ก็มัวพะวงอยู่กับหมา ทำให้คนเข้าถึงสัตว์ที่ถูกล่าและฆ่าเอาได้โดยง่าย เมื่อฆ่าสัตว์ตายแล้ว คนคงแล่เอามาแต่เนื้อทิ้งเครื่องใน กระดูก และเศษเนื้อไว้ให้หมากิน
หมาก็มีอาหารมากกว่าที่เคย ส่วนคนก็จะต้องเห็นประโยชน์ของหมา เพราะนอกจากจะช่วยเป็นยามในตอนกลางคืนแล้ว การล่าสัตว์โดยการมีหมานำไปยังทำให้คนได้สัตว์มาเป็นอาหารโดยแน่นอนขึ้นอีกด้วย หมานั้นมีสัญชาตญาณเป็นสัตว์ฝูงอยู่แล้ว จึงเลื่อมใสในอำนาจของคนและเห็นคนเป็นจ่าฝูง เกิดความภัคดีต่อคนมาจนถึงทุกวันนี้
พฤติกรรมอันโดดเด่นของหมาพอมาอยู่กับคนแล้ว มีผู้บันทึกไว้มากมาย แต่ทีผมประทับใจมากมีอยู่ ๒ ตัว ตัวหนึ่งประทับใจในด้านความจงรักภักดีต่อผู้เป็นเจ้าของ ส่วนอีกตัวหนึ่งชอบใจในด้านความเก่งกล้าของมัน
หมาที่ผมซาบซึ้งในความจงรักภักดีของมัน คือ หมาของ ซาบินุส นักกฎหมายชาวโรมัน ในตอนท้ายของชีวิต ซาบินุส ทำให้จักรพรรดิไทเบริอุส กริ้วมาก จึงถูกตัดสิ้นประหารชีวิต หมาที่เขาเลี้ยงไว้แต่เล็ก ๆ ได้ติดตามไปอยู่เป็นเพื่อนเขาในคุกใต้ดิน และในวันประหารก็เดินตามไปจนถึงตะแลงแกง
เมื่อซาบินุสสิ้นชีวิตแล้ว เจ้าหมาผู้ภักดีก็ยังนอนอยู่ข้าง ๆ ศพนั่นเอง แม้จะถูกพวกเพชฌฆาตเตะถีบและขว้างปาตะเพิดไล่อย่างไรมันก็ไม่ยอมลุกหนีไป ตามประเพณีในกรุงโรมสมัยนั้น ศพนักโทษประหารจะต้องโยนทิ้งไว้ในหลุมตื้น ๆ สักสอง- สามวันแล้วจึงจัดการต่อไป ระหว่างนั้นจะมีการจัดทหารยามมายืนเฝ้าศพป้องกันการขโมย ทหารพวกนี้เห็นอาการทุกข์โศกของหมาแล้วก็สงสารปลอบโยนให้มันกลับบ้าน
ตอนแรกมันทำท่าจะเชื่อ แต่พอเหลียวไปเห็นร่างที่มันแสนรักนอนจมกองเลือดไม่ไหวติงอยู่ มันก็จากไปไม่ได้ ต้องกลับมาเฝ้าศพและครางหงิง ๆ ต่อไปใหม่ ที่น่าสลดใจยิ่งขึ้นก็คือ ในตอนเย็นเมื่อทหารยามหิ้วอาหารมาฝากมัน แทนที่เจ้าหมาผู้ภักดีจะกินอาหารนั้น มันกลับคาบชิ้นขนมปังไปยังศพนายแล้วพยายามป้อนเข้าปากที่หุบแน่นอยู่อย่างนั้น.......
วันต่อมา ทางการได้นำศพของซาบินุสไปโยนทิ้งในแม่น้ำไทเบอร์ เจ้าหมาผู้ติดตามศพอยู่อย่างใกล้ชิดก็กระโดดตามศพลงไปในแม่น้ำ มันทำอย่างที่มันคิดว่าจะช่วยนายไม่ให้จมน้ำตายมันดำลงไปงับเสื้อของเขาไว้ได้และพยายามฉุดศพขึ้นมาสู่ผิวน้ำแล้วลากเข้าหาฝั่ง แม้ศพจะหลุดจากปากถึงสองครั้ง มันก็ดำลงไปงับขึ้นมาใหม่ได้ทุกครั้ง และครั้งสุดท้ายนี้มันงับไว้แน่นไม่ยอมปล่อยให้หลุด แต่ตัวมันเองหมดแรงเสียแล้ว ศพจึงดึงเจ้าหมาผู้ภักดีให้จมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำด้วย.......
ยังจบไม่ลงหน้ากระดาษหมดเสียก่อน พบกันครั้งต่อไปในไตรภาคของสัตว์เลี้้ยงที่ใกล้ชิดเราที่สุดครับ..........!!!!!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น