อย่านะครับ อย่าเข้าใจว่าผมกลายเป็นนักวิชาการ หรือผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงการคลัง นำเอาเรื่องการชั่งการตวง การวัดอะไรมาบรรยาย ไม่ใช่หรอก
ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นมาตรา ชั่ง ตวง วัด ในป่าในปางไม้หรือในชนบทเมื่่่อ ๔๐ กว่าปีก่อนโน้น ก็เกี่ยวกับเรื่องป่าเรื่องไม้ครับ
ขึ้นต้นเรื่องชั่งก่อนก็แล้วกัน สิ่่่่่่่่่่งแรกที่เราใช้ชั่งกันในป่าก็คือการชั่งข้าวสาร สมัยนั้นไม่ได้ตวงเป็นถังเป็นลิตรเหมือนเดี๋ยวนี้ (เดี๋ยวนี้เป็นกิโลกรัมแล้ว) ก็อยากบอกเอาไว้สักนิด อันว่าข้าวสารนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยห้าหรือเบญจปัจจัยของชาวปางไม้เขา คือสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้เป็นอันขาด ๕ ประการอันมี "พริก ฮ้า ยา เกลือและข้าวสาร" พริกคือพริกแห้งที่ต้องนำไปเก็บสต๊อคไว้เป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับฮา ก็คือปลาร้านั่นแหละ จะแกงจะยำ จะทำอะไรสำหรับกับข้าวพวกปางไม้แล้วดูเหมือนจะต้องใช้เสียแทบทั้งนั้น รวมทั้งยาคือยาฉุนพื้นเมืองเป็นตั้ง ๆ สำหรับคนงานมวนบุหรี่สูบ และยาแก้ไข้ซึ่งจะมีอยู่อย่างเดียวคือ
ควีนินน้ำสีเขียวใสน่าดู แต่เวลากินแล้วขมชะมัด เป็นไข้เป็นหนาวอะไรก็ขนานเดียวนั่นแหละ ครอบจักรวาล ตวงใส่ขวดส่งจากเมืองไปเก็บไว้เป็นสิบ ๆ ขวด ไม่ใช้ขวดละ ๘ ออนซ์ ๑๐ ออนซ์หรอกครับว่ากันขนาดขวดเบียร์ ขวดเหล้าโรงโน่นที่เดียว (สมัยนั้นยังไม่มีแม่โขง ขืนอ้างขวดแม่โขงเดี๋ยวจะหาว่าโกหก) เวลาให้พวกขมุ ที่ป่วยเป็นไข้กินก็แสนลำบากอยากเข็ญ บ้วนทิ้งเสียบ้าง อาเจียร โฮก โฮก ออกเสียบ้าง บางคนถึงขนาดต้องช่วยกันจับแขนจับขาบีบจมูกกรอกทั้ง ๆ ที่อายุถึง ๔๐-๕๐ปี ไม่ใช่เด็ก ๆ
ทีนี้ก็มีเกลือ นี่ก็สำคัญยิ่งขาดไม่ได้เหมือนกัน แต่ที่เปลืองและใช้กันมากที่สุดเห็นจะเป็นข้าวสาร ปางไม้ใหญ่ ๆ มี ขมุ หรือคนงานมาก ๆ เดือน ๆ ต้องใช้หลายกระสอบ บางปีเปิดการทำไม้
ไกล ๆ การขนส่งข้าวสารจึงเป็นเรื่องวุ่นวายพอดู จึงมีพ่อค้านำเรือต่าง ม้าต่าง บรรทุกเข้าไปขายให้เป็นประจำ พ่อค้าพวกนี้จะคอยติดตามอยู่เสมอว่านายห้างฝรั่งมันจะไปเปิดทำไม้ที่ไหน ก็จะเข้าไปติดต่อบรรดาลูกช่วงผู้รับทั้งตัดฟันชักลากไม้ ว่าจะต้องการข้าวสารเดือนละเท่าไร ซื้อขายกันในราคาไหน พวกนี้รู้ดีว่าคนงานหรือพวกขมุปางไม้นนี้คนหนึ่งกินข้าวหมดเท่าไหร่ ๆ ต่อวัน
แรก ๆ เข้าไปคุมงานในป่า ยังไม่ค่อยรู้อะไร เขาบอกว่า คนของผมซึ่งมีประมาณ ๓๐ กว่าคน ต้องกินข้าวเหนียวที่เราเรียกว่าข้าวนึ่ง หมดเดือนละประมาณเก้าแสน ทำเอาตกใจ ปีหนึ่งค่ารับจ้างทำได้ยังไม่ได้ถึงแสน จะไปเอาเงินที่ไหนไปซื้อถึงขนาดนั้น เขาพากันหัวเราะกันใหญ่
ไอ้แสน ๆ ที่ว่านี่มันเป็นมาตราชั่งน้ำหนักของข้าวสารทางชนบทในภาคเหนือขณะนั้น เขามีการชั่งน้ำหนักเป็นฮ้อย (ร้อย) แล้วก็ปั่น (พัน) หมื่น, แสนขึ้นไปตามลำดับ โดด ๆ งั้นแหละ ไม่มีมาตราเป็นร้อยอะไรพันอะไรมาทดสอบดูที่หลัง น้ำหนักของเขา ๘ ฮ้อย เท่ากับ ๑ กิโลกรัม ข้าวสารกระสอบหนึ่งมี ๑๐๐ กิโลกรัม ก็ตกเข้าไปตั้งเจ็ดแปดหมื่นแล้ว คนงาน ๓๐ เศษ เดือน ๆ ไม่ถึงสิบแสนก็ดีถมไป ข้าวสารแสนหนึ่ง (ประมาณกระสอบเศษ ๆ ) ใช้ม้า หรือวัวต่างส่งถึงปางไม้ตกไม่ถึง ๑๕ บาท ทำเอาตกอกตกใจไปได้
ทีนี้ก็มาถึงเครื่องตวง ส่วนมากก็จะเป็นการใช้ตวงข้าวเปลือก บางทีช้างทำงานมาก ๆ หญ้าน้ำไม่เพียงพอเราก็หาซื้อข้าวเปลือกไว้ให้ช้างกินเพื่อเพิ่มพละกำลัง (สมัยใหม่เรียกเพิ่มพลังงานยังกับช้างเป็นเครื่องจักร) ถ้าเป็นป่าแถวเมืองแพร่ เมืองน่านเขาจะตวงขายเป็นหาบ หาบหนึ่งมีสองกระบุง เรียกว่า่ "บุงหมื่น" เอาอีกแล้ว มาตราโดด ๆ ลอย ๆ มาอีกแล้ว บุงหมื่นนี่มีความจุประมาณ ๓๕ ลิตร หาบหนึ่งก็มี ๗๐ ลิตร ๓ ถังครึงนั่นแหละ ถ้าเป็นทางลำปาง พะเยาแถวนั้นเขาตวงด้วย
"ต๋าง" รูปร่างคล้ายกระบุงแต่เล็กกว่า ความจุประมาณ ๑๓-๑๔ ลิตร ทางลำพูน เชียงใหม่ ตวงกันด้วย "เปี๊ยด" มีขนาดใกล้เคียงกับต๋าง
ทีนี้ก็มาถึงการวัด อันนี้แหละครับต้องใช้กันมากในการทำไม้ สมัยนั้นที่สำคัญก็คือการวัดไม้ ตัวเงิน ตัวทองมันอยู่ตรงนี้นี่ครับ ไม้ซุงที่พวกเรารับจ้างชักลอกออกมาจากป่านั้น ท่อน ๆ มันมีขนาดใหญ่ไม่เท่ากัน เล็กบ้างโตบ้าง ทั้งสั้นยาวก็ไม่มีขนาดจำกัด (เมื่อผมยังเป็นเด็ก ๆ อยู่นั้นฝรั่งมันใช้วัดกันเป็น "พิกัด"จำได้คลับคลายคลับคลาไม่กล้ายืนยัน) คือเขาจะถือว่าไม้ท่อนซุงที่จะวัดกันเป็นเป็นพิกัดนั้นจะต้องมีความยาวท่อนละ ๔ วาหรือประมาณ ๘ เมตรเป็นเกณฑ์ ทีนี้ไม้ท่อนซุงที่ตัดกันตามลักษณะไม้จะให้ออกมาเป็นท่อนละ ๔ วาทุกท่อนไม่ได้ เขาจึงใช้วิธีวัดเอาความยาวของไม้ทั้งหมดในหมอนหรือในล๊อคนั้นมารวมกัน สมมุติว่ารวมกันแล้วได้ ๔๐๐ วา เขาจะถือว่าไม้หมอนนั้นมีร้อยท่อน ทั้งที่บางทีอาจจะมีตัวจริงถึง ๒๐๐ ท่อนก็ใช้วิธีถัวเฉลี่ย เช่นเดียวกับการวัดความโตของไม้ จะวัดกันตรงกึ่งกลางของไม้ทุกท่อนว่้ากันเป็นกำ กำหนึ่มีประมาณ ๒๐ ซ.ม. เอามารวมกันทั้งหมดเอาจำนวนท่อนหารก็ได้ ก็ได้ตัวเลขเฉลี่ยออกมาว่าท่อนละกี่กำ
แล้วมีการตั้งเทเบิ้ลหรือตารางกำหนดเป็นเกณฑ์ตายตัวไว้ว่า ถ้าถัวเฉลี่ย ๗ กำ ราคาดูเหมือนจะเป็นพิกัดละ ๓ บาท ๘ กำพิกัดละ ๔ บาส ยิ่งถัวเฉลี่ยท่อนไม้โตขึ้นในราคาที่สูงขึ้นไปตามลำดับ อันนี้ผมจำไม่ค่อยได้หมดตารงตารางกำหนดราคานี่ ทีี่นี้ก็มาว่ากันไม้ป่านั้น นายห้างมันจ้างเราตัดฟันชักลากในสนนราคาเท่าไหร่ ๑๐ พิกัด ๑๒ พิกัดแล้วแต่จะตกลง ก็เอาจำนวนพิกัดที่ได้รับจ้างนั้นคูณกับจำนวนเงินในตารางราคา สมมุติว่าไม้ที่ผมชักลากถัวเฉลี่ยท่อนละ ๗ กำ ราคาตามตารางกำหนดพิกัดละ ๓บาท เขาว่าจ้างในราคา ๑๐ พิกัด ผมก็ได้รับค่าจ้างท่อนละ ๓๐ บาท ถ้าไม้กองนั้นมี ๑๐๐ ท่อน อย่างที่ยกตัวอย่างมาแล้ว ผมก็จะัได้รับเงินทั้งหมด ๓,๐๐๐ บาท อย่างนี้แหละครับอาจจะดูงง อ่าน สองเที่ยวก็เข้าใจถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรอ่านผ่านไปก็แล้วกัน (เพราะป่าไม้ไม่มีให้สัมปทานอีกแล้วครับ)
เวียนหัวไม่น้อยทีเดียวในการวัดไม้เป็นพิกัด ขนาดผมเขียนเองอ่านเองก็ยังงง ๆ อยู่เลย ก็ด้วยความยุ่งยากภายหลังจึงเปลี่ยนมาคิดปริมาตรเป็นลูกบาศก์เใตรเป็นท่อน ๆ ไป รวมทั้งหมดได้กี่ลูกบาศก์เมตร รับจ้างลูกบาศก์เมตรละเท่าไหร่ ก็เอาตัวเลขคูณเข้าไปเป็นเงินค่าจ้างทั้งหมด
การวัดไม้เป็นพิกัดเป็นลูกบาศก์เมตรอะไรนี่ผมว่าออกจะเป็นมาตราวัดที่หนักไป เอาวิธีวัดอย่างอื่นที่ชาวบ้าน ๆ มาว่ากันบ้างดีกว่า
มีมาตราวัดในสมัยนั้นอยู่อย่างหนึ่่ง คือการวัดลำกล้องปืนซึ่งส่วนมากเป็นปืนแก๊ป หรือเป็บปืนคาบศิลาที่ชาวชนบทเขาใช้กันเป็นประจำสำหรับการล่าสัตว์ในป่านั่นแหละ เห็นว่าแปลกดีจึงขอนำมาเขียนเล่าไว้สักเล็กน้อย เจ้าของปืนแต่ละคนจะใช้ความกว้างของหัวแม่มือของตน ทั้งมือซ้ายมือขวาวัดทาบลำกล้องปืน ตั้งแต่โคนถึงปลายกระบอกสลับกันไปโดยเอ่ยคำพูดเรียกว่า "คำสรุปปืน"
หน้าเขียงค่อม
กล่อมสมบัติ
แสนสัตว์ม้วย
ต้วยก้วยมาดาย
ตุ๋มหาย
ต๋ายเหล่าอื่น
แห่เจ้าหมื่นเมือเมอง
ผักเหลืองเต็มซ้า
แล้วกลับมาตั้งต้นใหม่จากหน้าเขียงค่อมต่อไปอีกจนสุดปลายกระบอกปืน ทีนี้พอหัวมือสุดท้ายไปตกที่ข้อความอะไรก็รู้ว่าปืนของตัวเองมีฤทธิ์มีอำนาจในการยิงสัตว์อย่างไรแค่ไหน
ถ้าตกหน้าเขียงค่อม อันนี้ดี ปืนกระบอกนี้ถ้าแบกเข้าป่าแล้วเป็นไม่ผิดหวัง ต้องได้เนื้้อได้เก้งอะไรกลับมา ก็ได้มาหั่นมาสับกันจนเขียงค่อม คือเขียงกร่อนหรือสึกไปเพราะใช้งานมากนั่นเอง
กล่อมสมบัตินี่ไม่ไหว แบกออกล่าสัตว์ไม่มีโชคไม่ได้ยิงอะไร ดีแต่สำหรับไว้เฝ้าบ้านกันขโมยเท่านั้น
แสนสัตว์ม้วย อันนี้้แหละครับปืนใครปืนใครก็อยากให้ตกหมายนี้้ บางคนถึงต้องตัดส่วนเกินตรงปลายกระบอกปืนออกให้เหลือมันตรงแสนสัตว์ม้วยนี่แหละ ก็ชื่อมันบอกอยู่ทนโท่และมีเป็นแสน ๆ ตัวก็ม้วยมรณาหมด
ต้วยก้วยมาตาย นี่แย่เอามาก ๆ ก็กลับบ้านมือเปล่าแหละครับ
ตุ๋มหาย คือ ปังหาย ปังหาย ยิงไม่ได้อะไรสักอย่าง ตุ๋มนี่เป็นเสียงดังของปืนทางเหนือเขา ทางภาคกลางปืนมันดังปัง ฝรั่งดังแป๊ง ขมุดังโต้ม ได้ยินไปคนละหู
ต๋ายเหล่าอื่น อันนี้ก็แย่ ยิงถูกเหมือนกันแต่ไปตายเสียที่อื่นหาไม่พบ ก็ครือ ๆ กับตุ๋มหายแหละครับ เพียงแต่ยิงถูกแต่ไม่ได้กิน
แห่เจ้าหมื่นเมือเมือง เห็นจะเป็นปืนของพวก บอดี่การ์ด ติดตาม เจ้าขุน เจ้าหมื่น เข้าไปในเมืองอะไรทำนองนั้น ล่าสัตว์ไม่ได้ผล
ผักเหลืองต็มซ่า ใช้ได้ ก็จะเอาผักที่ในตระกร้าออกมาแกงทีไรผัวหาบเนื้อกวางเนื้อเก้งเข้าบ้านมาทุกที จนผักเหลืองไปหมด ได้แต่กินลาบกินแกงเนื้อว่างั้นเถอะ
เขียนมาถึงตอนนี้้ (ชักมันเขี้ยวมันเล็บ ) อยากต่ออีกสักนิด ถ้าเป็นการพูดก็เห็นจะพอเรียกได้ว่าน้ำลายแตกฟองละครับ
มีการวัดอายุคนของชาวบ้านป่าอยู่อีกมาตราหนึ่่ง อยากจะนำมาเขียนให้หมดกระบวนความเสียเลย การวัดอายุคน นั้นทางภาคเหนือ เขาวัดกันเป็นล็อค ๆ ล็อคละ ๑๐ ปีดังนี้
สิบปี๋๋ อาบน้ำบ่หนาว
ซาวปี๋๋ แอ่วสาวบ๋ก๊าย
สามสิบปี๋ บ่หนายสงสาร
สี่สิบปี๋ เยียะก๋ารเหมือนฟ้าผ่า
ห้าสิบปี๋ สาวน้อยด่าบ๋เจ็บใจ
หกสิบปี๋ ไอเหมือนฟากโขก
เจ็ดสิบปี มะโหกขึ้นเต๋ยตั๋๋ว
แปดสิบปี๋ ใค่หัวเหมือนให้
เก้าสิบปี๋ ไข้ก็ต๋ายบ๋ไข้ก็ต๋าย
สิบปี๋อาบน้ำไม่หนาวนี้ ก็เด็ก ๆ ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวนี่ พอขึ้้นซ๋าว คือยี่สิบปีก็เป็น ทีวีรุ่นใหม่เอี่ยมเปิดปุ๊บติดปั๊บ ใครชวนไปเที่ยวหญิงแล้วไม่มีขัดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงว่างั้น สามสิบปีนี้คุณผู้หญิงคนไหนได้ร่วมหอลงโรงกับคนปูนนี้ มาตราวัดอายุบทนี้ก็ว่าเจ็ดวันไม่มีการเว้น......อ้า.....ดีดซ้อมดนตรีเลยแหละครับ ตรงกันข้ามถ้าเป็นผู้ชายได้หญิงรุ่น ๓๐ นี้เป็นภรรยาก็มองฟ้ามองดินเหลืองอ๋อยจนเดินโซซัดโซเซไปทีเดียว
พอขึ้นสี่สิบปี เอาแล้ว ไล้ฟบีกินฟอร์ตี้ เหมือนฝรั่่งเปี๊ยบ ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนือย ทำงานอย่างกะฟ้าผ่าว่าเข้านั่น ก็จะเป็นหลักเป็นฐานไง พอถึงห้าสิบปีตอนนี้และครับ
คุณหญิงคุณนายทั้้้งหลายต้องระแวดระวัง
คุณผู้ชายจะแอบไปมีอีหนูซุกซ่อนกันไว้ตามบ้านเล็กบ้านน้อยก็ตอนนี้แหละครับ ก็ขนาดสาวน้อยด่าเป็นพ่อเฒ่าหัวงูยังไม่เจ็บอกเจ็บใจ หัวเราะฮ่าฮ่า สองสามวันซื้อรถเก่งใหม่เอี่ยมแอบพากันไปปิคนิค พัทยา หัวหิน อะไรโน่นแล้ว ไว้ใจยากจริง ๆ
พอหกสิบ หักโหมโถมแรงกับอีหนูบ้านเล็ก บ้านน้อยมาอย่างสมบุกสมบันโรคาพยาธิก็เริ่มเบียดเบียนซิครับ ฮอร์โมนก็แล้ว ยากำลังกี่ขนาน ๆ ช้างเหยียบป่า ม้าเหยียบกะโหลก เลือดแรดเลือดค่างอะไรก็แล้ว ติดหอบติดไอโครกครากเสียงยังกับกะเก้งคือฟานร้อง เจ็ดสิบปีถ้าถึงก็ดีถมไป แต่มาตราวัดอายุข้อนี้เขาก็ว่าเนื้อหนังมังสาเหี่ยวย่น หย่อนยาน เป็นปุ่มเป็นไฝฝ้า ตกกระ กระดำกระด่างดูไม่ได้ พอแปดสิบปีฟันหลุดหมดปาก ทันตแพทย์สมัยก่อนไม่ได้มียั้วเยี้ยอย่างเดี๋ยวนี้ เวลาไค่หัว คือหัวเราะ ก็เหมือนทารกที่ยังไม่มีฟันน้ำนมร้องไห้ ทีนี้พอเก้าสิบปี บทบัญญัตินี้เขาให้เอวังเสียเลย คือจะไข้ก็ช่างไม่ไข้ก็ช่าง เด้ดสะมอเร่ไปเสียโดยดีก็แล้วกัน
แล้วมีการตั้งเทเบิ้ลหรือตารางกำหนดเป็นเกณฑ์ตายตัวไว้ว่า ถ้าถัวเฉลี่ย ๗ กำ ราคาดูเหมือนจะเป็นพิกัดละ ๓ บาท ๘ กำพิกัดละ ๔ บาส ยิ่งถัวเฉลี่ยท่อนไม้โตขึ้นในราคาที่สูงขึ้นไปตามลำดับ อันนี้ผมจำไม่ค่อยได้หมดตารงตารางกำหนดราคานี่ ทีี่นี้ก็มาว่ากันไม้ป่านั้น นายห้างมันจ้างเราตัดฟันชักลากในสนนราคาเท่าไหร่ ๑๐ พิกัด ๑๒ พิกัดแล้วแต่จะตกลง ก็เอาจำนวนพิกัดที่ได้รับจ้างนั้นคูณกับจำนวนเงินในตารางราคา สมมุติว่าไม้ที่ผมชักลากถัวเฉลี่ยท่อนละ ๗ กำ ราคาตามตารางกำหนดพิกัดละ ๓บาท เขาว่าจ้างในราคา ๑๐ พิกัด ผมก็ได้รับค่าจ้างท่อนละ ๓๐ บาท ถ้าไม้กองนั้นมี ๑๐๐ ท่อน อย่างที่ยกตัวอย่างมาแล้ว ผมก็จะัได้รับเงินทั้งหมด ๓,๐๐๐ บาท อย่างนี้แหละครับอาจจะดูงง อ่าน สองเที่ยวก็เข้าใจถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรอ่านผ่านไปก็แล้วกัน (เพราะป่าไม้ไม่มีให้สัมปทานอีกแล้วครับ)
เวียนหัวไม่น้อยทีเดียวในการวัดไม้เป็นพิกัด ขนาดผมเขียนเองอ่านเองก็ยังงง ๆ อยู่เลย ก็ด้วยความยุ่งยากภายหลังจึงเปลี่ยนมาคิดปริมาตรเป็นลูกบาศก์เใตรเป็นท่อน ๆ ไป รวมทั้งหมดได้กี่ลูกบาศก์เมตร รับจ้างลูกบาศก์เมตรละเท่าไหร่ ก็เอาตัวเลขคูณเข้าไปเป็นเงินค่าจ้างทั้งหมด
การวัดไม้เป็นพิกัดเป็นลูกบาศก์เมตรอะไรนี่ผมว่าออกจะเป็นมาตราวัดที่หนักไป เอาวิธีวัดอย่างอื่นที่ชาวบ้าน ๆ มาว่ากันบ้างดีกว่า
มีมาตราวัดในสมัยนั้นอยู่อย่างหนึ่่ง คือการวัดลำกล้องปืนซึ่งส่วนมากเป็นปืนแก๊ป หรือเป็บปืนคาบศิลาที่ชาวชนบทเขาใช้กันเป็นประจำสำหรับการล่าสัตว์ในป่านั่นแหละ เห็นว่าแปลกดีจึงขอนำมาเขียนเล่าไว้สักเล็กน้อย เจ้าของปืนแต่ละคนจะใช้ความกว้างของหัวแม่มือของตน ทั้งมือซ้ายมือขวาวัดทาบลำกล้องปืน ตั้งแต่โคนถึงปลายกระบอกสลับกันไปโดยเอ่ยคำพูดเรียกว่า "คำสรุปปืน"
หน้าเขียงค่อม
กล่อมสมบัติ
แสนสัตว์ม้วย
ต้วยก้วยมาดาย
ตุ๋มหาย
ต๋ายเหล่าอื่น
แห่เจ้าหมื่นเมือเมอง
ผักเหลืองเต็มซ้า
แล้วกลับมาตั้งต้นใหม่จากหน้าเขียงค่อมต่อไปอีกจนสุดปลายกระบอกปืน ทีนี้พอหัวมือสุดท้ายไปตกที่ข้อความอะไรก็รู้ว่าปืนของตัวเองมีฤทธิ์มีอำนาจในการยิงสัตว์อย่างไรแค่ไหน
ถ้าตกหน้าเขียงค่อม อันนี้ดี ปืนกระบอกนี้ถ้าแบกเข้าป่าแล้วเป็นไม่ผิดหวัง ต้องได้เนื้้อได้เก้งอะไรกลับมา ก็ได้มาหั่นมาสับกันจนเขียงค่อม คือเขียงกร่อนหรือสึกไปเพราะใช้งานมากนั่นเอง
กล่อมสมบัตินี่ไม่ไหว แบกออกล่าสัตว์ไม่มีโชคไม่ได้ยิงอะไร ดีแต่สำหรับไว้เฝ้าบ้านกันขโมยเท่านั้น
แสนสัตว์ม้วย อันนี้้แหละครับปืนใครปืนใครก็อยากให้ตกหมายนี้้ บางคนถึงต้องตัดส่วนเกินตรงปลายกระบอกปืนออกให้เหลือมันตรงแสนสัตว์ม้วยนี่แหละ ก็ชื่อมันบอกอยู่ทนโท่และมีเป็นแสน ๆ ตัวก็ม้วยมรณาหมด
ต้วยก้วยมาตาย นี่แย่เอามาก ๆ ก็กลับบ้านมือเปล่าแหละครับ
ตุ๋มหาย คือ ปังหาย ปังหาย ยิงไม่ได้อะไรสักอย่าง ตุ๋มนี่เป็นเสียงดังของปืนทางเหนือเขา ทางภาคกลางปืนมันดังปัง ฝรั่งดังแป๊ง ขมุดังโต้ม ได้ยินไปคนละหู
ต๋ายเหล่าอื่น อันนี้ก็แย่ ยิงถูกเหมือนกันแต่ไปตายเสียที่อื่นหาไม่พบ ก็ครือ ๆ กับตุ๋มหายแหละครับ เพียงแต่ยิงถูกแต่ไม่ได้กิน
แห่เจ้าหมื่นเมือเมือง เห็นจะเป็นปืนของพวก บอดี่การ์ด ติดตาม เจ้าขุน เจ้าหมื่น เข้าไปในเมืองอะไรทำนองนั้น ล่าสัตว์ไม่ได้ผล
ผักเหลืองต็มซ่า ใช้ได้ ก็จะเอาผักที่ในตระกร้าออกมาแกงทีไรผัวหาบเนื้อกวางเนื้อเก้งเข้าบ้านมาทุกที จนผักเหลืองไปหมด ได้แต่กินลาบกินแกงเนื้อว่างั้นเถอะ
เขียนมาถึงตอนนี้้ (ชักมันเขี้ยวมันเล็บ ) อยากต่ออีกสักนิด ถ้าเป็นการพูดก็เห็นจะพอเรียกได้ว่าน้ำลายแตกฟองละครับ
มีการวัดอายุคนของชาวบ้านป่าอยู่อีกมาตราหนึ่่ง อยากจะนำมาเขียนให้หมดกระบวนความเสียเลย การวัดอายุคน นั้นทางภาคเหนือ เขาวัดกันเป็นล็อค ๆ ล็อคละ ๑๐ ปีดังนี้
สิบปี๋๋ อาบน้ำบ่หนาว
ซาวปี๋๋ แอ่วสาวบ๋ก๊าย
สามสิบปี๋ บ่หนายสงสาร
สี่สิบปี๋ เยียะก๋ารเหมือนฟ้าผ่า
ห้าสิบปี๋ สาวน้อยด่าบ๋เจ็บใจ
หกสิบปี๋ ไอเหมือนฟากโขก
เจ็ดสิบปี มะโหกขึ้นเต๋ยตั๋๋ว
แปดสิบปี๋ ใค่หัวเหมือนให้
เก้าสิบปี๋ ไข้ก็ต๋ายบ๋ไข้ก็ต๋าย
สิบปี๋อาบน้ำไม่หนาวนี้ ก็เด็ก ๆ ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวนี่ พอขึ้้นซ๋าว คือยี่สิบปีก็เป็น ทีวีรุ่นใหม่เอี่ยมเปิดปุ๊บติดปั๊บ ใครชวนไปเที่ยวหญิงแล้วไม่มีขัดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงว่างั้น สามสิบปีนี้คุณผู้หญิงคนไหนได้ร่วมหอลงโรงกับคนปูนนี้ มาตราวัดอายุบทนี้ก็ว่าเจ็ดวันไม่มีการเว้น......อ้า.....ดีดซ้อมดนตรีเลยแหละครับ ตรงกันข้ามถ้าเป็นผู้ชายได้หญิงรุ่น ๓๐ นี้เป็นภรรยาก็มองฟ้ามองดินเหลืองอ๋อยจนเดินโซซัดโซเซไปทีเดียว
พอขึ้นสี่สิบปี เอาแล้ว ไล้ฟบีกินฟอร์ตี้ เหมือนฝรั่่งเปี๊ยบ ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนือย ทำงานอย่างกะฟ้าผ่าว่าเข้านั่น ก็จะเป็นหลักเป็นฐานไง พอถึงห้าสิบปีตอนนี้และครับ
คุณหญิงคุณนายทั้้้งหลายต้องระแวดระวัง
คุณผู้ชายจะแอบไปมีอีหนูซุกซ่อนกันไว้ตามบ้านเล็กบ้านน้อยก็ตอนนี้แหละครับ ก็ขนาดสาวน้อยด่าเป็นพ่อเฒ่าหัวงูยังไม่เจ็บอกเจ็บใจ หัวเราะฮ่าฮ่า สองสามวันซื้อรถเก่งใหม่เอี่ยมแอบพากันไปปิคนิค พัทยา หัวหิน อะไรโน่นแล้ว ไว้ใจยากจริง ๆ
พอหกสิบ หักโหมโถมแรงกับอีหนูบ้านเล็ก บ้านน้อยมาอย่างสมบุกสมบันโรคาพยาธิก็เริ่มเบียดเบียนซิครับ ฮอร์โมนก็แล้ว ยากำลังกี่ขนาน ๆ ช้างเหยียบป่า ม้าเหยียบกะโหลก เลือดแรดเลือดค่างอะไรก็แล้ว ติดหอบติดไอโครกครากเสียงยังกับกะเก้งคือฟานร้อง เจ็ดสิบปีถ้าถึงก็ดีถมไป แต่มาตราวัดอายุข้อนี้เขาก็ว่าเนื้อหนังมังสาเหี่ยวย่น หย่อนยาน เป็นปุ่มเป็นไฝฝ้า ตกกระ กระดำกระด่างดูไม่ได้ พอแปดสิบปีฟันหลุดหมดปาก ทันตแพทย์สมัยก่อนไม่ได้มียั้วเยี้ยอย่างเดี๋ยวนี้ เวลาไค่หัว คือหัวเราะ ก็เหมือนทารกที่ยังไม่มีฟันน้ำนมร้องไห้ ทีนี้พอเก้าสิบปี บทบัญญัตินี้เขาให้เอวังเสียเลย คือจะไข้ก็ช่างไม่ไข้ก็ช่าง เด้ดสะมอเร่ไปเสียโดยดีก็แล้วกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น