วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

เจ็กหัวเราะ



                                                    เจ็กหัวเราะ



มนุษย์เรา  หรือมนุษย์เขาก็ตาม  เมื่อเกิดอารมณ์บางสิ่งบางอย่างมักจะแสดงอาการออกมาให้ปรากฏ  นั่นคือการหัวเราะที่ชาวบ้านเรียกว่าหัวร่อ  มีอาการต่าง ๆ กัน  เช่น  หัวเราะฮ่า ๆ หรือหัวเราะก๊าก  หรือหัวเราะคิก ๆ หรือหัวเราะงอหาย  หัวเราะจนเหยี่ยวราด  หัวเราะจนน้ำตาเล็ด ฯลฯ


ส่วนหัวเราะแบบนิยายจีนกำลังภายใน  ก็ต้องหัวเราะเคี้ยก ๆ ซึ่งเป็นอาการหัวเราะของพวกมารร้ายฝ่ายอธรรม


ทางการแพทย์บอกว่า  การหัวเราะทำให้ประสาททุกส่วนคลายความเคลียด  อารมณ์แจ่มใสเบิกบาน  ถ้าหัวเราะทุกวันจะทำให้อายุยืน  ใครอยากอายุยืนก็หาอะไรมาอ่านหรือสร้างความสนุกสนานกันไป  แต่ถ้าเรานั่งอ่านเรื่องขำ ๆ คนเดียวแล้วหัวเราะคนเดียว เป็นเวลานาน ๆ  ระวังเขาจะหาว่าเราบ้า ! 


เอาละครับเพ้อเจ้อมาพอสมควรแล้ว  จากนี้ผมจะพาไปพบกับ"เจ็กหัวเราะ" เจ็กที่จะเขียนถึง เป็นเจ็กมีอันดับรวมสี่ท่าน (สาเหตุที่ต้องใช้สรรพนามว่า ท่าน เพราะท่านเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดา)  ท่านหนึ่งเป็นนักการเมื่องและนักการทหารชื่อดังเมื่อเกือบสองพันปีมาแล้ว  อีกท่านหนึ่งเป็นนายทหารชั้นนายพลเหมือนกัน แต่คนละยุค  และเป็นนักปฏิวัติทั้งคู่  ส่วนอีกสองท่านเป็นฝ่ายบุ๋น  ท่านหนึ่งเป็นข้าราชสำนักภายใน  อีกท่านหนึ่งเป็นรัฐบุรุษอาวุโส


เจ็กท่านแรก  คือ โจโฉ ซึ่งอยู่ในสมัยราชวงศ์ฮันตอยปลาย  ท่านมีตำแหน่งเทียบได้กับนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุด  ในรัชสมัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้  โจโฉเป็นนักการเมื่องและนักการทหารที่มีความสามารถมาก (ไม่เหมื่อนนายทหารบางคนในเมื่องไทยที่ไม่รู้หน้าที่ของตนเอง ไม่อยากจะใช้คำว่าขี้ขลาดหรอกนะใช้ว่าเป็นโรคขึ้ขึ้นสมองมากกว่า )  เคยรบทัพจับศึกมานับครั้งไม่ถ้วน



แต่การทำศึกทางเรือที่เมืองกังตั๋ง โจโฉแพ้ยับ ผมจำได้แม่นยำ กระทรวงศึกษาธิการนำเอาเรื่องสามก๊กตอน  " โจโฉแตกทัพเรือ " มาใช้หลักสูตรมัธยมสาม มาให้ผมเรียนด้วยแถมทางโรงเรียน ( สหวิทย์ สุพรรณบุรี ) ) ยังได้จัดการแสดง งิ้ว (อุปรากรจีน) ให้พวกกระผมได้มีโอกาสแสดงอีกด้วยผมจึงจำเรื่องสามก๊กตอนนี้ได้แม่นยำไม่เคยลืม  การศึกคราวนั้นโจโฉเสียทหารถึงหนึ่งล้านคนเรียกว่าแพ้แบบหมดสภาพ  แต่โจโฉก็ยังมีอารมณ์ขันหัวเราะเยาะข้าศึกถึงสามครั้ง


ครั้งแรกขณะที่หนีซมซานไปกัีบทหารส่วนหนึ่งใกล้ถึงตำบลฮัวหลิม  โจโฉนึกขันขึ้นมาแหงนหน้าหัวเราะแบบเย้อฟ้าท้าดิน   พวกทหารที่ติดตามจึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า "แพ้กระเจิงมายังมีอารมณ์ขันอีกหรือท่านนายกฯ...?


" เออว่ะ มีอะไรหรือเปล่า อั๊วหัวเราะเยาะขงเบ้งกับจิวยี่  เพราะมันสมองนิ่มทั้งคู่ ถ้าเป็นอั๊วจะเอาทหารมาซุ่มไว้ตรงนี้สักหมู่หนึ่ง  พวกเราก็คงจะเสร็จมันแน่ " โจโฉพูดแล้วก็หัวเราะร่วน


พอโจโฉพูดไม่ทันจะขาดคำ  ก็ได้ยินเสียงประทัด  และเห็นนายพลจูล่งคุมทหารออกโจมตี โจโฉพาทหารเผ่นแน่บ  จนถึงตำบลโลก๊ก  ทุกคนเปียกฝนหนาวสั่น  โจโฉจึงสั่งให้หยุดพักถอดเสื้อกางเกงตากแดดแล้วหุงหาอาหารกินกัน  แต่อาหารยังไม่ทันจะสุก  โจโฉเจ้าเดิมซึ่งนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ก็หัวเราะก๊ากออกมาอีก


"เมื่อใกล้สว่างท่านนายกฯ   หัวเราะและมีเรื่องมาครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้ท่านนายกขำอะไรอีกละครับ ?"


"ก็หัวเราะเยาะไอ้จิวยี่กับขงเบ้งนั่นแหละ  มันคิดโง่ ๆ"  โจโฉพูดพลางหัวเราะพลาง "ถ้าเป็นอั๊วก็จะเอาทหารมาสะกัดไว้ตรงนี้....."


แต่โจโฉไขเหตุที่หัวเราะข้าศึกยังไม่ทันจบ  เตียวหุยก็คุมทหารโผล่จากป่าว้ากเพ้ยเข้าใส่ โจโฉเลยต้องเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต


ครั้งสุดท้ายที่โจโฉหนีกระเซอะกระเซิงถึงตำบลฮัวหยง  ก็เกิดอารมณ์ขันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมาอีก  แต่คราวนี้ทหารที่ติดตามมาไม่ขำด้วยเพราะเห็นขำทีไรมีเรื่องมาสองครั้งแล้ว


"ถูกเส้นอะไรอีกล่ะท่านนายกฯ หัวเราะร่วนเดี๋ยวก็มีเรื่องอีกจนได้"  โจโฉก็ตอบอย่างเดิมว่า "หัวเราะเยาะจิวยี่กับข้งเบ้งโว้ย  มันโง่มากไอ้สองคนนี่  ฝีมือคนละชั้นว่ะ  ถ้ามันเอาทหารมาดักที่นี่  พวกเราก็จอดไม่ต้องแจว"


การหัวเราะครั้งที่่สามของโจโฉเจอกับขุนพลกวนอู  เกือบเอาชีวิตไม่รอด  ดีแต่ว่ากวนอูไม่อาจเนรคุณโจโฉ  จึงยอมปล่อยตัวไปทั้ง ๆ ที่เอาหัวเป็นเดิมพันไว้กับขงเบ้ง


โจโฉหัวเราะ  พร้อมกับพูดดูหมิ่นสติปัญญาของข้าศึกไปด้วยทุกครั้ง  แสดงว่าโจโฉมีความคิดลึกซึ้งมิใช่น้อย  แต่บังเอิญข้าศึกอย่างขงเบ้งกับจิวยี่ก็มิใช่ธรรมดา จึงทำเอาโจโฉเกือบตาย


            วันนี้จบแค่นี้ก่อนนะครับ



                                                           

  Sampan Chanpa


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น