วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

คุณหนูที่รัก

                                                      คุณหนูที่รัก


"อุดมเอ๋ย" พ่อของเขาพูดกับเขาด้วยเสียงแจ่มใส่ ไม่มีลักษณะเหมื่อนคนที่กำลังจะตาย ในสองสามนาทีต่อมาเลย   "พ่อรักเอ็งมากขนาดไหน เป็นการยากที่เอ็งจะรู้ได้  ตอนที่เอ็งเกิดมานั้น พ่อวานเพื่อนคนหนึ่งผูกดวงดู แก่บอกว่าในชีวิตนี้ เอ็งจะต้องยากจนถึงกับอดยากอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นแล้วจึงจะสบาย แก่แนะนำให้พ่อตั้งชื่อของเอ็งว่า อุดม เพื่อให้ชีวิตเอ็งอุดมสมบูรณ์ต่อไป"

พ่อของอุดมเงียบไปอึดใจหนึ่ง  เหลือบมองไปทางประตูบ้านยิ้มน้อย ๆ แล้วพูดว่า  " อ้าว...อ้อ...มากันแล้วหรือ...เราไปกันเถอะ...จงเป็นคนที่มีคุณธรรมนะเอ็ง"

ท่านพูดจบก็หายใจออกเรื่อย ๆ และผายลมเสียงดังสนั่น  จนเตียงสั่นสะเทือน และมีเสียงเรอสองสาม
ครั้ง  ก็เงียบเสียง  อุดมวิ่งไปบอกนายแพทย์ข้างบ้าน  ท่านก็รีบมาดูและบอกว่าพ่อตายแล้ว ไม่ต้องเสียใจ ให้รีบบอกพี่ ๆ และญาติมาช่วยจัดการศพ ท่านสั่งด้วยว่า ถ้ามีอะไรก็ไปบอกได้

งานศพพ่อของอุดมผ่านไปอย่างรวดเร็ว  หลังจากสวดครบ ๗ วันก็เผา พิธีกรรมหลังจากนั้น เป็นเรื่องที่บาดตาบาดใจอุดมอย่างยิ่ง  เขารู้สึกว่าไม่มีงานอะไรในโลกนี้   ที่จะน่ากลัวและเศร้าโศกเสียใจยิ่งกว่างานศพ เพราะแม้แต่สัปเหร่อสามีภรรยาคู่นั้นก็แต่งชุดดำ  และมีท่าทางเหมื่อนคนในภาพยนตร์เรื่องผี

อุดมอยู่บ้านคนเดียวต่อมา  เขาอยู่บ้านชั้นเดียวค่อนข้างเก่า  มีสองห้องเท่านั้น และมีครัวต่างหาก ไม้พื้นครัวค่อนข้างเก่าและผุ มีรูหนูแทะไว้ด้วย  แต่อุดมไม่มีปัญญาที่จะทำอะไรให้ดีกว่านั้นได้ ขณะนั้นเขาอายุ ๑๘ ปี การคิดจะเรียนต่อก็หมดหนทางที่จะเป็นไปได้ เพราะการเป็นนักเรียนนักศึกษาจะต้องมีผู้ปกครอง  ในเมื่อไม่มีใครยอมเป็นผู้ปกครองให้เขา ก็เป็นอันไม่ได้เรียน

นายแพทย์ที่ดูแลรักษาพ่อของเขาจนวาระสุดท้าย  สอนเขาว่า ถ้าเขายังไม่มีงานทำ  หรือยังไม่ร่ำรวย จงอย่าขายบ้านเป็นอันขาด  เพราะการไปเช่าบ้านเขาอยู่  จะทำให้เดือดร้อนหนักเข้าไปอีก  ท่านว่า

" อุดม...แม้เธอจะไม่มีข้าวกิน...มีผ้าขาวม้าผืนเดียวนุ่งอยู่กับบ้าน...แต่ตราบใดที่เธอยังมีบ้าน เธอจะไม่กลายเป็นขอทานหรือคนจรจัด "


พ่อทิ้งเงินสดไว้ให้เขาก้อนหนึ่ง  เขาไม่กินข้าวเช้า นอกจากขนมครกกับกาแฟร้อน  ทั้งนี้ เพื่อประหยัดค่าครองชีพ  มื้อกลางวันกินข้าวแก้งจานเดียว และกินจนเกลี้ยงจาน ไม่ว่าจะเป็นมะเขือ พริก และใบมะกูด  แม่ค้าขายข้าวแกงเคยมองเขาด้วยความพิศวง  แล้วกลายเป็นความสงสาร  ต่อมาแกจึงตักข้าวให้เขามากหน่อย  ราดน้ำแกงจนโชค โดยมากเป็นแกงคั่วส้มผักบุ้ง ซึ่งค่อนข้างราคาถูก มีหมูสามชั้นสองชิ้น แต่ผักบุ้งก็เป็นประโยชน์แก่ดวงตาของเขา  ข้าวก็ทำให้เขามีกำลังที่จะเดินหางานทำต่อไป มื้อเย็นเขาแวะกินข้าวสวยกับเกาเหลาก่อนเข้าบ้าน รายจ่ายแต่ละวันของเขาไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม  เขาก็ยังไม่ได้งานทำ เขาพยายามไปสมัครงานตามบริษัทต่าง ๆ ส่วนมากเป็นงานรับใช้ส่งหนังสือในสำนักงาน เดินจากโต๊ะนั้นไปโต๊ะนี้ ส่วนงานส่งหนังสือนอกสำนักงานนั้นทำไม่ได้เพราะเขาขับรถไม่เป็น ถ้าจะทำหน้าที่นั้นต้องโดยสารรถเมล์ ซึ่งเสียเวลามาก  นอกจากนั้น  บริษัทยังพิจารณาผู้สมัครที่มีรถจักรยานยนต์ของตนเองเป็นพิเศษ

เวลา ๖ เดือน  นับตั้งแต่พ่อตายผ่านไปอย่างรวดเร็ว   เขามีสตางค์เหลืออยู่ไม่กี่ร้อยบาท  แต่ยังมีขวัญดีอยู่ แต่เมื่อเงินนั้นร่อยหรอลงจนบาทสุดท้าย เขาจึงรู้ว่า  สภาพของคนที่ไม่มีสตางค์เลยนั้นเป็นอย่างไร  รองเท้าสึกมากและรูปทรงชักจะเละเทะ จนแทบไม่เป็นรองเท้า กางเกงก็เริ่มเก่า เสื่อปกก็เริ่มขาดแล้ว เขารู้สึกว่าแต่งตัวเริ่มซอมซ่อมากเมื่อออกจากบ้าน  เขาเสียใจที่อยู่ด้วยความสุขสบายมาตั้ง ๑๘ ปี
พ่อตายเพียง ๖ เดือนเขาลำเค็ญถึงเพียงนี้เชียวหรือ..... ใครหรืออะไรจะช่วยได้บ้างไหม...ความคิดที่จะไปหาญาติไม่มีอยู่ในใจเขาเลย  เพราะเขารู้ว่าญาติจะไม่ช่วย อย่างน้อยสามีของญาติ จะแสดงความรังเกียจอย่างยิ่ง และ ภริยาของญาติก็จะมองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม เขาหยุดออกจากบ้านไปหางานทำ เพราะไม่มีค่ารถและค่าอาหาร เขาเคยได้ยินพ่อของเขาพูดกับเพื่อนของท่านว่า เวลาหิวให้กินน้ำมาก ๆ แล้วก็นอนหลับเสีย เมื่อตื่นขึ้นมาจะผ่านพ้นสภาพนั้นไปได้ ถ้ายังไม่หายหิว ก็กินน้ำเขาไปเรื่อย ๆ แต่ต้องรู้จักพอ เพราะการกินน้ำมากเกินไปจะไม่ดีนัก


อุดมไม่ได้กินข้าวสามวัน  ที่น่านิยมที่สุดก็คืออุดมไม่เคยคิดหาเงินในทางทุจริต  รวมทั้งการไปเที่ยวขอ หรือขอยืมใคร ๆ เลย  เวลาที่อุดมอยู่ที่บ้านเขานุ่งผ้าขาวม้า เพราะมีเสื้อกางเกงอยู่ชุดเดียว และรองเท้าซึ่งพื้นทะลุแล้ว  เขาซักเสื้อกางเกงด้วยความปราณีต  เพราะว่าถ้าขาดหลุดลุ่ยหมดทั้งตัวจะไปไหนไม่ได้เลย เมื่อเขายังดี ๆ อยู่นั้น เขาเคยเอาเสื้อกางเกงเก่า ๆ ของพ่อให้ญาติบางคนที่ยากจน แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครให้เสื้อกางเกงเขาเลย  ของในบ้านเขาก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแล้วเพราะเขาเอาไปจำนำหมด เพื่อซื้อข้าวกิน


คืนวันที่ ๔ ที่เขาอดอาหาร เขาตื่นขึ้นมาในเวลาตี ๒ เพราะได้ยินเสียงระฆังจากยามหัวถนน เขาเดินเข้าไปในครัว ซึ่งว่างเว้นไม่ได้ทำอาหารมานานแล้ว ตั้งแต่ไม่มีพ่อ  แม่ของเขาแยกทางกับพ่อตั้งแต่เขายังเด็กมาก จนจำใบหน้าท่านไม่ได้ และที่บ้านของเขาก็ไม่มีรูปถ่ายแม่อยู่เลยด้วย เขาเดินไปนั่งยอง ๆ เพื่อปัสสาวะลงทางล่องซึ่งทำไว้เทน้ำทิ้ง  แล้วเขาก็เห็นอะไรอยู่ในความมืดนั้น  เมื่อเขาหยิบขึ้นมาดูก็รู้สึกได้ทันทีว่าเป็น ธนบัตรฉบับละ ๒๐ บาท และ ๑๐ บาท รวมกันแล้วเป็นเงิน ๕๐ บาท (ถ้าในสมัยนี้ก็มีค่าประมาณ ๕๐๐ บาทโดยประมาณ)  

เขานอนไม่หลับ  นึกถึงพ่อที่ตายไปแล้วจนขนลุกซู่ไปทั้งตัวแน่แล้ว เงินนี้พ่อคงจะเอามาวางไว้ให้เขาซื้ออาหารกิน ให้ทันไม่อดตายเสียก่อน อุดมขวัญดีขึ้นมาก  แม้ว่าเงินนั้นจะไม่มากและไม่ใช่รายได้ประจำ ไม่มีที่มา ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่เขาก็ซื้ออาหารกินได้หลายวัน


เช้าวันหนึ่ง เขาเดินไปในครัว  เพราะเขาไม่ได้ตื่นดึก ๆ มาหลายคืน เขาพบว่าที่ล่องเทน้ำทิ้ง ซึ่งเขาอาศัยเป็นที่ปัสสาวะในตอนดึก ๆ นั้น เห็นมีธนบัตรเก่าและใหม่ว่างอยูหลายฉบับ และเปรอะเปื้อนเล็ก ๆ น้อย ๆ คราวนี้เป็นเงินเกือบ ๑,๐๐๐ บาท (ค่าของเงินถ้าคิดในเวลานี้ก็เกือบ ๑๐,๐๐๐บาท) เขารวบเงินนั้นมาทั้งหมด แล้วอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่มีอยู่  ไปหาซื่อเสื้อกางเกงผ้าหนา ๆ ได้ ๒ ชุด และรองเท้า ๒ คู่ เขาจะเริ่มออกหางานทำอีก เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาคิดว่า เขาจะหางานทำได้ในระยะนี้ เพราะการที่อยู่ ๆ มีเงินมาวางไว้ในบ้านก็แสดงว่าโชคดีอยู่แล้ว เล่าให้ใครฟังก็ไม่น่าจะมีใครเชื่อ

อุดมใช้เงินจำนวนที่มาว่างอยู่  โดยไม่ปรากฏตัวผู้นำมานั้นไปเรื่อย ๆ เพราะเช้าขึ้น เขาจะไปดู และพบธนบัตรไม่ ๒๐ บาท ก็ ๓๐ หรือ ๔๐ บาท อันเป็นจำนวนมหาศาลมากมาก เพราะปลาหมอเทศทอดกรอบตัวใหญ่ ๆ ในสมัยนั้นที่ตลาดประตูน้ำ ราคา ตัวละ ๒ บาทเท่านั้น  แถมน้ำจิ้มด้วย อุดมหน้าตาแจ่มใสขึ้น เขาออกจากบ้านทุกเช้า และกลับบ้านเย็น ๆ อย่างเดียวกับคนที่มีงานทำทั้งหลายที่เขาปฏิบัติกัน

วันหนึ่ง อุดมก็ได้งานทำที่ร้านขายเสื้อกางเกงทันสมัยแห่งหนึ่ง เจ้าของได้จ่ายเสื้อผ้าสำหรับเขาแต่งไปทำงาน ๒ ชุด ให้ทำเนื้อตัวให้สะอาด  และแนะนำวิธีเสนอขายของแก่ลูกค้า โดยไม่ให้ลูกค้ารำคาญ เขาเรียกเจ้าของว่านายห้าง  เขาทำงานวันเสาร์ด้วย  และแม้เลิกงานตอนเที่ยงวันเสาร์แล้ว เขาก็ยังไม่กลับบ้าน เขาเล่าให้นายห้างของเขาฟังว่า เขาไม่มีงานทำจนถึงกับอดข้าวอยู่หลายวัน กินแต่น้ำ

นายห้างบอกว่า ถ้าเขาเป็นคนซื่อสัตย์ และนิสัยความประพฤติดี เขาจะทำงานที่นั่นได้นานจนกว่าจะถูกเกณฑ์ทหาร และเมื่อฝึกงานที่ร้านนั้นดีแล้ว นายห้างจะฝากงานให้ทำที่ธนาคารแห่งหนึ่งโดยจะช่วยรับรองให้ อุดมทำตัวเองเสมือนคนรับใช้ของนายห้างมากกว่าที่จะเป็นลูกจ้างขายของหน้าร้าน เขารู้ว่าอนาคตของเขามีหวังก้าวหน้าต่อไปแล้ว  เขาไม่วิตกกังวลอีกต่อไป   และพยายามหาเวลาว่างเรียนหนังสือเพิ่มเติม เพื่อให้มีความรู้เพิ่มขึ้นตามสติปัญญา


ระยะตั้งแต่เขามีงานทำ  ไม่มีธนบัตรมาปรากฏที่ช่องทิ้งน้ำในครัวเลย เขาคิดว่าเหตุการณ์นั้นอยู่เหนือการคาดเดาของเขา  แต่ก็ช่วยให้เขามีกำลังใจและเชื่อมั่นในคุณงามความดียิ่งขึ้น  เวลาที่เขาอยู่คนเดียวว่าง ๆ  หรือนอนไม่หลับในเวลาดึก ๆ เขาชอบนึกพูดคุยกับพ่อของเขาเสมอ เพราะพ่อของเขาตายเมื่อเขารุ่นหนุ่มแล้ว และแม่ก็ไม่มี เขาจึงได้คุยกับพ่อมาก โดยเฉพาะในเวลากินข้าวด้วยกันทุกมื้อ เขาได้รู้เรื่องราวต่าง ๆ  ในโลกนี้จากพ่อของเขามาก เพราะพ่อเคยไปในป่าเคยบวชเป็นพระ และเคยไปต่างประเทศ พ่อมีความรู้รอบตัวมาก เพื่อนของพ่อก็เป็นขุนนางมีบรรดาศักดิ์ พ่อไม่เคยห้ามเขานั่งฟังผู้ใหญ่พูดคุยกัน และในวงสนทนานั้นก็ไม่เคยพูดเรื่องสัปดนอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น เขารู้สึกเหมื่อนอยู่ในห้องเรียน ที่มีอาจารย์ใหญ่เข้ามาสอนพิเศษ ในชั่วโมงที่ครูประจำวิชาไม่เข้าห้องสอน ซึ่งเขารู้สึกว่าวิชาที่ครูใหญ่มาสอนให้นานทีปีหนนั้น ทำให้เขาสดชื่นใจอย่างยิ่ง เพื่อน ๆ ก็คงรู้สึกอย่างเดียวกัน เพราะทุกคนรักครูใหญ่ ความรู้ที่ครูใหญ่สอนให้เป็นพิเศษนั้นเป็นความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ  แต่มีค่าแก่การครองชีวิตของเขามาจนทุกวันนี้

อุดมทำงานที่ห้างขายเสื้อผ้าเล็ก ๆ นั้นหลายเดือน เขามีความเป็นอยู่ดีขึ้น เสื้อผ้าในร้านของเขามีฝรั่งมาซื้อกันมาก  อาศัยที่เขาเป็นคนขวนขวายหาความรู้  เขาสามารถพูดกับฝรั่งลูกค้าที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ตามสมควร นายห้างรักเขามากขึ้น เราทราบจากบุตรภรรยาของท่าน ตลอดจนพนักงานที่นั่นว่านายห้างของเขามีชื่อเรียกเล่น ๆ ว่า " คุณหนู "

ครั้งแรกที่เขาทราบอย่างนี้ เขารู้สึกขนลุกซู่ด้วยความปลื้มปิติยินดีอย่างบอกไม่ถูก  และไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ  แต่เขารู้สึกว่าเขาสนิทสนมกับ " คุณหนู " นายห้างของเขามากขึ้น และไว้ใจท่านเหมื่อนพี่ป้าน้าอา


อุดมยังไม่มีเงินมากพอที่จะซ่อมบ้านให้ดีขึ้น  คืนหนึ่งเป็นคืนเดือนหงาย  อุดมตื่นขึ้นเพราะปวดปัสสาวะ เขาลุกขึ้นเดินไปที่ครัวตามเคย สายตาของเขาที่มองไปยังล่องเทน้ำทิ้ง ก็เห็นหนูตัวหนึ่งโผล่ออกมา เป็นหนูธรรมดาที่ชาวบ้านรังเกียจนั่นเอง  ในปากของหนูตัวนั้นคาบอะไรออกมาด้วย  หนูเหลียวไปเหลียวมาอย่างช้า ๆ  แล้วว่างของนั้นไว้ปากล่อง และหายไปอย่างรวดเร็ว

เขาเดินช้า ๆ และเบา ๆ ไปที่ล่องนั้น  ก้มลงหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาดู.....จากแสงนวนกระจ่างของดวงจันทร์ สิ่งที่เขาเห็นหนูคาบมาวางไว้ปากล่องนั้น คือ ธนบัตรใหม่เอี่ยมฉบับละ ๕ บาท ๓ ฉบับ  มีรอยเปื้อนเล็กน้อย เอาผ้าเช็ดก็มองเห็น

เขารู้เรื่องราวตลอดปลอดโปร่งในเวลานั้นทันที เงินที่เขาได้ซื้อข้าวกิน และซื้อเสื้อ กางเกงและรองเท้ามาใช้เดินหางานทำจนได้ทำงานนั้น มาจากหนูตัวนี้นี่เอง เขาน้ำตาคลอ ตัวสั่นน้อย ๆ ด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้นขึ้นมา  เขาลูบคลำธนบัตรฉบับละ ๕ บาททั้งหมดนั้นอย่างเลื่อนลอย  และคิดว่าจะเอาไปใส่กรอบไว้และปิดทองที่กระจกกรอบนั้น  เอาไว้บูชาตลอดชีวิต  เขาคิดว่าเมื่อเขาลืมตาอ้าปากได้  เขาจะซื้อทองให้ช่างทำเป็นรูปหนูเอาไว้บูชา

           " ขอได้รับความขอบคุณจากผมนะครับ.....คุณหนู" 
                                      Sampan Chanpa

                     _________________________ 








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น