วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เถรตรง



                                                       เถร ตรง
                                                         
                                     


  ใครก็ไม่รู้  ที่กล่าวคำคมว่า  นักการเมืองจะต้องพูด ดำเป็นขาว  พูดขาวเป็นดำ  ถ้าลงเป็นแบบนั้น  มะกอกสามตะกร้าก็ปาไม่ถูก  ตอนหาเสียงพูดว่าข้าไม่เอากะเอ็ง  เพราะเอ็งเป็นเผด็จการ ครั้นเลือกตั้งเสร็จ กลับไปอี๋อ๋อออเซาะกันซะแล้ว ชาวบ้านก็เลยเง็ง  ชักจะเหม็นเบื่อ


  ไม่แต่เมืองไทยหรอกที่เป็นแบบนี้   ที่ประเทศเยอรมันก็เป็นเหมือนกัน  กล่าวคือ ผู้คนกำลังเหม็นเบื่อนักการเมืองมืออาชีพ  พวกนี้มีเงินถุงเงินถังอุดหนุน  ไม่รู้ไปเอาเงินมาจากไหน  แต่ละคนรวยจนพุงกาง แต่งตัวสวยสุดหล่อ  พูดจาดี  ขยันกล่าวสุนทรพจน์  และขยันออก ที.วี. ถามอะไรตอบได้หมด เก่งที่ซู้ด !!!!

                                        


  ชาวบ้านเยอรมันเลยชักเซ็ง  เพราะนักการเมืองเขี้ยวลากดินเหล่านี้ ทำให้ประเทศเยอรมันเต็มไปด้วยมลภาวะ  แถมยังจะเอาขีปนาวุธมหาภัยของอเมริกามาตั้งไว้ในเยอรมันเสียด้วย  พวกหนุ่มสาวเยอรมัน ทนไม่ไหวจึงมีการชุมนุมประท้วงคล้าย ๆ กับเมืองไทยของเรา  แต่คนละเรื่องกับบ้านเรา ของเขาประท้วงนิวเคลียร์ และขีปนาวุธกันใหญ่   เรียกชื่อกลุ่มของตนว่าพวกกรีนส์

  คือพวกเขียว

  เพราะพวกนี้รักต้นไม้  ใครจะตัดต้นไม้  ถางป่าเพื่อเอาที่่่่่ไปทำสนามบิน หรือบ้านเราจะทำเขื่อน จะไม่ย่อมเด็ดขาด  นโยบายข้อแรกจึงมุ่งอนุรักษ์ธรรมชาติ ตรงข้ามกับบ้านเราตัดต้นไม้แหลก แจกโฉนด โหดจับเสือขาย ละลายเงินป้องกันน้ำ นักการเมืองบ้านเราทำทั้งนั้น มันบอกว่ามันยังรวยไม่พอ เอากับมันซิ..!!!! ส่วนของเยอรมันนั้นรักความเขียวของต้นไม้

  นโยบายข้อต่อไปคือ  แอนตี้ขีปนาวุธร้ายแรงของอเมริกัน  เกี่ยวกับแรงงาน พวกเขียวมีหลักการว่าต้องสร้างงานให้มากขึ้น  เพื่อแก้ปัญหาคนว่างงาน  วิธีสร้างงานทำอย่างไร ?  พวกนี้บอกให้ลดเวลาทำงานของกรรมกรลง  เมื่อเป็นเช่นนี้ทางโรงงานก็จะต้องรับคนงานเพิ่ม

  พวกเขียวเหล่านี้ ทีแรกก็ออกมาอาละวาดเยิ้ว ๆ อยู่ข้างถนน  พูดจาไม่ค่อยเข้าหูคน เป็นพวกเถรตรง มองเห็นเงาในกระจกยังเดินชนว่างั้นเถอะ คนตรงใจคิดอย่างไรปากก็พูดไปอย่างนั้น ถ้าถามผมว่าดีไหม ผมก็ว่าดีนะ ไม่ต้องอ้อมค้อม (circuitous) แต่ขอให้มีเหตุผล  ไม่ชอบอะไรกูก็ด่าแหลก  พวกนี้ไม่เคยหวังตำแหน่งหรือลาภยศอันใด

  ชาวบ้านเลยเชียร์กันใหญ่   เลยเลือกเข้าไปนั่งในสภาท้องถิ่น ลองดูก่อนหกเจ็ดคน  เอาเข้าไปเป็นฝ่ายค้าน  ปรากฏว่าได้ผล  เพราะพวกกรีนหรือพวกเขียวได้บอกไว้แต่แรกแล้วว่า เถรตรง ไม่ชอบอะไรก็ด่าแม่งเลย  ชนดะไม่กลัวใครเลย  ใครจะเส้นใหญ่มาจากไหน จะมีปลอกคอยังไงกูไม่สน  ประชาชนเลยชักจะชอบ

   ในการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ  จึงรบเร้าให้พวกกรีนส์ส่งสมาชิกเข้าสมัคร  ผลปรากฏออกมาว่าพวกกรีนส์ ได้รับเลือกเข้าสู่สภาใหญ่ของประเทศถึง ๒๗ คน ตะลึงกันไปหมดทั่วยุโรป พวกกรีนส์จึงนุ่งกางเกงยีนส์เข้าสภาใหญ่หน้าตาเฉย แถมใส่รองเท้ากีฬาเข้าไปด้วย

   ทำเอา "สภาผู้ทรงเกียรติ (ไม่จริง)" มัวหมองไปเยอะ  แต่ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติประเภทเขี้ยวลากดินทั้งหลายก็พูดไม่ออก  เพราะพวกกรีนส์ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฏหมายหรือผิดระเบียบของสภา  พวกกรีนส์ได้ชี้ให้เห็นว่า  เกียรติของสภาไม่ได้อยู่ที่เกือกหรือเสื้อนอกตัวละพัน  เพราะพวกกรีนส์ไม่ยอมใส่เสื้อนอก สาเหตุที่ไม่ยอมใส่ ก็เพราะไม่มีนี่หว่า

  พวกกรีนส์ได้บอกกับนักข่าวว่า  "เกียรติอยู่ที่อุดมคตินะ....ผมว่า....เกียรติมิได้อยู่ที่เกือกหรอก  เกือกคู่นี้ผมมีอยู่แล้วก็เลยใส่มา  ไม่มีเงินจะซื้อคู่ใหม่  ท่านรัฐมนตรีท่านใส่เกือกกันคู่ละสามพันผมว่าบ้านะ....หรือคุณว่าไง ? " 

  พวกนี้เป็นพวกเถรตรง  พูดภาษาดอกไม้หวานหูไม่เป็นชอบพูดทื่อ ๆ แถมยังขู่เสียด้วยว่า " คอยดูสิ...ถ้าสภางุุบงิบทำอะไรหรือมีข้อตกลงอะไรที่ไม่ชอบมาพากล  พวกเราจะเอามาแฉให้หมด ราษฎรมีสิทธิจะรับทราบ (อันนี้ใช้กับเมืองไทยไม่ค่อยได้เพราะมันหน้าด้านกันเกือบทุกคนแค่เรื่องทุจริตการรับจำนำข้าวมันยังตั้งหน้าตั้งตาโกงกันตาใส ๆ ไม่สนใครจะว่ากล่าวอย่างไรกูไม่รับรู้เพราะถือว่าพวกกูมีเสียงข้างมากมีอะไรไหม)  

                                                


  พวกสมาชิกเก่าที่่เป็นนักการเมืองอาชีพคร่ำหวอดถึงกับเสนอว่า  กรรมมาธิการสภาบางคณะเช่นกรรมาธิการทหารไม่ควรให้พวกกรีนส์ไปวุ่นวายด้วย

  เมื่อประเดิมเริ่มแรกที่ออกมาร้องปาว ๆ กันอยู่กลางถนนนั้นมีเพียงสมาชิกไม่กี่สิบคน  เผลอแพล็บเดียวเพิ่มขึ้นเป็นร้อย  ตอนนี้ได้ยินว่าสมาชิกขึ้นไปเป็นแสนแล้ว  อายุเฉลี่ยอยู่ในระหว่าง ๒๕-๓๕ ปี บางคนอายุตั้ง ๗๐ ปีแล้วยังกะเย้อกะแหย่งมาขอเป็นสมาชิกด้วย โดยอ้างว่า "เด็กพวกนี้มันเจี๊ยวสนุกดีว่ะ....."

  ได้ยินว่าร้อยละ ๓๐ ของสมาชิกเป็นผู้หญิง  และหัวหน้าใหญ่คนหนึ่งที่ได้รับเลือกตั้งเข้าไปนั่งในสภาแห่งชาติที่กรุงบอนน์นั้นก็เป็นผู้หญิง  ชื่อ เภตรา  เค็ลลี่  เธอบอกว่า "เรามิได้ต่อต้านอเมริกัน แต่เราต่อต้านสงคราม เอากะแม่...ซิ.......อย่ามาหาว่าเราเป็นซ้าย  เพราะเราไม่ใช่ซ้าย  ไม่ใช่ขวา......เราเป็นพวกเดินหน้า "

  พวกนี้คงจะดูหนังเรื่อง  "คานธี " กันคนละหลายรอบ เพราะย้ำหนักหนาว่า  "ยุทธวิธีของเราไม่ใช้ความรุนแรงในการต่อสู้ทั้งปวง  เราอาจจะถ่มน้ำลายใส่ตำรวจที่มาผลักอกเรา แต่เราจะไม่ยิงเขาหรือแทงเขาเป็นอันขาด..... เรายอมติดคุกเพื่ออุดมคติของเรา  ถ้าหากมันจำเป๋็น  และเราวิ่งหนีไม่ทัน "

                                                 




  พวกกรีนส์ส่วนใหญ่ที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นั้น มีการศึกษาดี บางคนเป็นครู  เป็นนักหนังสือพิมพ์ คนหนึ่งเคยเป็นนายพลในกองทัพ  อีกสองคนเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย  มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่เป็นกรรมกร....ขายแรงงานจริง ๆ เลย เขาบอกด้วยความภาคภูมิใจว่า "ผมเป็นช่างก่ออิฐ  แต่ผมสนใจปัญหาสังคมนะ"

  ช่างก่ออิฐคนนี้  พอเข้าประชุมสภาได้สองนัดก็ออกมาแถลงความรู้สึกว่า  "ผมคิดว่าพวกเราคงทำอะไรไม่ได้ในสภา  เพราะต้องประธานชี้จึงจะพูดได้.......เราจะต่อต้านนิวเคลียร์ต่อไป แต่ผมรู้สึกว่าเราจะต้องออกมาตั้งวงตะโกนกัน นอกสภาอย่างเก่า"

  ธรรมดาของสภาเปิดมักมีเหตุการณ์แปลก ๆ   ในเมืองไทยในอดีตก็เคยมีเรื่องตลกไม่ออกเหมือนกัน  รัฐมนตรีท่านหนึ่งตั้งคนล้มละลายเป็นเลขา ฯ เลยมีเสียงตะโกนบอกกันออกมา ท่านรัฐมมนตรีผู้นั้นท่านก็ดี
ท่านบอกว่า "งั้นเรอะ...ผมก็เปลี่ยนใหม่ได้......ผมจะไปรู้เรอะ  ไม่มีใครแขวนป้ายไว้นี่ว่า เขาเป็นคนล้มละลาย"

  ที่เยอรมันก็มีเรื่องคล้าย ๆ กัน  คือพวกกรีนส์ได้เข้าสภา ๒๗ คน  ก็มีพวกไม่ชอบขี้หน้าไปคุ้ยประวัติมาแฉโพยว่า สมาชิกกรีนส์คนหนึ่งชื่อ  เวอร์เนอร์ โวเกิล อายุ ๗๕ ปีนั้น  ในอดีตเคยเป็นพรรคนาซี  อีตาคนนี้แกก็ยอมลาออกทันที  แกบอกว่า  "ถ้าผมอยู่ในวันเปิดสภา  ผมก็จะต้องทำหน้าที่เป็นประธานสภาชั่วคราวก่อนจะเริ่มเลือกประธานตัวจริง  เพราะผมเป็นคนที่มีอาวุโสที่สุดในสภา  ผมลาออกให้เห็นเป็นตัวอย่าง  เผื่อบางทีจะทำให้พวกอดีตนาซีที่ยังหน้าด้านรับราชการอยู่จะได้รู้สึกละอายแก่ใจบ้าง"

  ฝ่าย ส.ส. หญิง เภตรา  เค็ลลี่  หัวหน้าของพวกกรีนส์พอเข้าสภาก  ก็เจอปัญหาเหมือนกัน  คือห้องน้ำในสภาสำหรับ "หญิง"  ปรากฏว่า คนแน่นเหลือเกิน แต่ละคนใช้เวลาในนั้่นกันนานเหลือเกิน  เพราะบรรจงแต่งแต้มตรงโน้นตรงนี้  มองแล้วมองอีกกว่าจะเสร็จ  คุณเภตราแกรำคาญเต็มแก่  ต้องตะโกนว่า "ขอไปเอาสบู่ล้างมือหน่อย !!"   พวกที่กำลังกะตุ้งกะติ้งแต่งหน้าแต่งคิ้วทาปากจึงยอมแหวกทางให้

  แต่ปัญหาที่หนักกว่านั้นคือ  มีชาวบ้านโทรเลขไปแสดงความยินดี บางคนก็โทรศัพท์ บางคนก็เขียนจดหมายไปให้กำลังใจถึง ๒๐๐ ฉบับ เธอนั่งตอบจดหมายจนตีสามก็ยังไม่เสร็จ  รู้สึกว่าจะไม่ไหว รุ่งขึ้นจึงมาบอกพรรคพวกว่า  ขออนุญาตจ้างเลขา ฯ สักคน

  แทนที่พรรคพวกจะเห็นใจ  กลับพูดเยาะว่า  "โอ้โฮ! เดี๋ยวนี้จะต้องมีเลขาแล้วเรอะ.....งานคงท่วมไหล่เลยนิ......  แล้วก็แอบไปนินทากันลับหลังว่า  "พอได้เข้าสภาก็ชักเจ้ายศ เจ้าอย่าง.....ฮิ.....ฮิ...... ทำยังกะเป็นเลดี้ไดขึ้นมาเชียว" เป็นงั้นไป

  พวก "ลัดดาซุบซิบ" แอบไปได้ยินก็เอามาตั้งฉายาว่า เธอคือ....... เลดี้ไดแห่งพรรคเขียว  ทำท่าจะเสียคนเอา! 

  การเล่นการเมืองก็อย่างนี้   เถรตรงนักก็ถูกเขาตุ๋น   กลมกลิ้งนักก็กลายเป็นปลาไหล.......ไม่พูดอะไรเสียเลยดีกว่า

  ก็ยังจะว่าเป็น  "พระเตมีใบ้" อีกนะ... !!

                                                    






                                              ______________________________________

                                                                                                                  Sampan Chanpa







































 












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น