วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เซน อยู่เหนือตรรกะเหตุผล และถ้าเป็นภาษาก็ไม่สมบูรณ์



                                                       เซนอยู่เหนือเหตุผล



                                    

                                


                                          





   ถ้าท่านเคยชมภาพยนตร์จีนกำลังภายใน หรือภายนตร์ซามูไรของญี่ปุ่น เรามักจะได้ยินบทสนทนาแบบฟังไม่รู้เรื่อง หรือเมื่อฟังแล้วก็ต้องนำกลับมาคิดแล้วคิดอีก บางทีบทสนทนาอาจอยู่เหนื่อเหตุผล ล้ำลึกจนคนธรรมดายากจะเข้าถึง นั่นแหละคือการสือสารแบบเซน

  เซน  เริ่มต้นที่ประเทศจีน โดยพระโพธิธรรม (ชาวจีนเรียกว่าปรมาจารย์ตั๊กม้อ) พระอริยะชาวอินเดีย ที่เดินทางไปเผยแผ่ พุทธศาสนาที่ประเทศจีนเมื่อประมาณ ๑,๕๐๐ ปี ที่แล้ว ในชื่อว่า "ฌาน" เมื่อไปสู่เกาหลี เรียกว่า "เซิน" และเมื่อไปถึงญี่ปุ่น ก็กลายเป็น "เซน" ในที่สุด
 
   เซนไม่มีรูปธรรม  อยู่เหนือขอบเขตความคิดแบบ ตรรกศาสตร์ หรือ ตรรกะ ว่าด้วยเหตุและผลที่เราชอบพูดกันบ่อย ๆ จนคำว่า "เหตุผล" เราพูดกันไม่ค่อยเป็น อะไร ๆ ก็ตรรกะ จนมีเพื่อนฝูงมาคุยกันเล่น ๆ ว่า "เฮ้ย ไอ้ ตรรกะ กับ ตะกละ และตะกลาม มันเหมือนกันหรือเปล่า" พวกเราก็หัวเราะกันเป็นที่ครื้นเครง  เซน จะว่าไปอาจเป็นภาษาการสื่อสารไม่สมบูรณ์ ฟังแล้วคิด 

คิดทบทวนหลายรอบก็ยากที่จะเข้าใจ  แต่ที่แน่ ๆเซน จะชี้ตรงเข้าไปถึงแก่นของสัจธรรมด้วยวิธีการหรือคำพูดที่ชาวโลกอย่าเรา รู้สึกว่าเพี้ยน  เพื่อปลุกให้ตื่นขึ้นจากมายาสิ่งสมมุติไปสู่พุทธิปัญญา  หรือภาษาเซนเรียกว่า "ซานโตริ"
   
                                            


       นอกจากการนั่งสมาธิแล้ว  อาจารย์เซนมักจะให้ปริศนา หรือที่เรียกว่า "โกอาน"
แก่ศิษย์ ซึ่งโกอานนี้ไม่สามารถตอบได้ด้วยความคิดแบบเหตุผลของชาวโลก แต่ต้องหาคำตอบจากความบริสุทธิ์ภายใน เช่น "หน้าตาของเจ้าเป็นเช่นไรก่อนที่พ่อแม่เจ้าจะเกิด" หรือ "จงไปตามหาเสียงของการตบมือข้างเดียว" เป็นไงครับ จะตอบอย่างไร มันยิ่งกว่า ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่ แต่ของเซนเมื่อศิษย์เข้าถึงซาโตริแล้ว ก็จะสามารถพบคำตอบได้ในที่สุด



                                   
                                                               Musashi



  เราลองมาอ่าน นิทานเซนเรื่องนี้กันดีไหม  


                                                       "เรื่องประตูสวรรค์"






   กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว (แต่ไม่ใช่นานมากนานจนจำไม่ได้นะครับ จะเป็น เซนเข้าไปแล้วเรา) มีทหารลูกพระอาทิตย์ แต่งเครื่องแบบครบเครื่องพร้อมทั้งดาบซามูไร  ปีนป่ายขึ้นเขาไปหาอาจารย์ ฮากูอิน  ความต้องการก็อยากไปคุยกับพระ  ให้พระแก้ข้อสงสัยที่ตัวเองก็ชักจะไม่เชื่อครามครัน  มันเป็นหลักความคิดนึกที่เก็บงำไว้แต่ผู้เดียวนานมาแล้วจะเอ่ยปากกะผู้ใด  ก็กลัวคนอื่นเขาหาว่า เป็นคนไม่มีศาสนา สู้อุสาห์ถ่อร่างมาไกล มาหาพระอาจารย์องค์ที่ทุกคนในญี่ปุ่นเขาลือกันว่าท่านเก่ง


  ทหารคนนั้นเอยปากถามท่านอาจารย์ว่า  "ท่านอาจารย์ขอรับ ถ้าเราจะมาว่าให้ตรงตามความเป็นจริงกันแล้วนรกสวรรค์เป็นของมีจริงหรือ?"

  ท่านอาจารย์  หันขวับมาจ้องหน้าเจ้าของคำถามทันที และแทนที่จะแก้ข้อสงสัย  หรืออธิบาย  ท่านกลับย้อนถามเอาทหารคนนั้นว่า  "เธอน่ะใคร?"

  "กระผมเป็นซามูไร ครับ" ทหารคนนั้นแจ้งสถานะความเป็นนักรบของตนโดยซื่อ  ท่านอาจารย์กลับขึ้นเสียง เอาอีกว่า "อาไร! ทหารทะแหนอะไรนี่!  เจ้านายคนไหนนะช่างไปเอาคนอย่างเธอนี่น่ะ!  มาเป็นลิ้วล้อไพร่พล? หน้ายังกับขอทานแน่ะ!"

  โดนหลู่เกียรติเข้าจัง ๆ เช่นนั้น  ทหารคนนั้นโกรธพลุ่งจัดลุกขึ้นฉับไว ใช้มือขวากุมด้ามดาบ  ยังไม่พออีกท่านอาจารย์ ฮากูอิน  ยังสำทับกล่าวต่อไปอีกว่า  "ฮึ มีดาบด้วยหรือ! คมหรือเปล่านะ ตัดหัวฉันได้ไหมนั่น"เหมือนอย่างกะเอาน้ำมันสาดใส่ไฟที่เริ่มคุ ทหารผู้ปริ่มล้นด้วยศักดิ์ศรี ไม่ฟังอิร้าค่าอิรมอันใด  มือตีนหน้าตามันเป็นไปของมันเอง  ชักดาบออกจากฝักเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว.... ก็พอดี  ได้ยินท่านอาจารย์ เปลี่ยนระดับเสียงด้วยน้ำใจกรุณาปราณี เยี่ยงพระมาโปรดสัตว์หน้าโง่ ว่า

  "นี่ไง ลูกเอ๋ย ประตูนรกแล้วละ ! ที่เธอกำลังเป็นอยู่ทั้งเนื้อทั้งตัว ขณะนี้นี่แหละ  กำลังเหยียบประตูนรกแล้วละ  ถ้ามีประตูแล้ว นรกจะมีหรือไม่มีล่ะ?"

  ฉับพลันทันทีนั้นเหมือนกัน  นักดาบซามูไรของเราก็สำนึกตัว สำนึกบาป  มือไม้แข้งขาอ่อน ทรุดตัวลงกราบแทบเท้า  ไหว้แล้ว ไหว้อีก ขออภัยและยอมตัวเป็นศิษย์  ยอมหมดทั้งกายทั้งใจ ตั้งแต่บัดนี้ไป

  ท่านอาจารย์เลยถือโอกาสกล่าวชี้แจงขึ้นอีกวาระหนึ่งว่า  "นี่ไง  ลูกเอ๋ย ประตูสวรรค์ละ! ที่เธอกำลังเป็นอยู่ทั้งเนื้อทั้งตัวขณะนี้  กำลังเหยียบประตูสวรรค์แล้วละ  ถ้ามีประตูสวรรค์แล้ว  สวรรค์จริง ๆ จะมีหรือไม่มีล่ะ?!"
นิทานก็จบ

    จากเรื่องราวที่เล่ามานี้  เราท่านย่อมทราบในเนื้อนิทานเรื่องนี่เอง  แม้มันจะเป็นข้อความโต้ตอบสั้น ๆ แต่ก็บรรยายถึง มโนกรรม  วจีกรรม  กายกรรม  ที่ท่านอาจารย์เซนทั้งหลายใช้สอนศิษย์  ให้รู้เห็นกันเดี๋ยวนั้น ณ  ที่นั่งอันเดียวนั้น  ว่ามันเป็น อกุศลกรรมบท ซึ่งธรรมะหมวดสำคัญนี้  พวกเราใช้เรียนใช้ท่องกันถึง ๑๐ อย่าง  และแจกลูกออกไปอีก ๔๐ อย่าง  สวดเรียงข้อแต่ละอย่างใน ๔๐ อย่างนี้ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ถ้าจะอธิบายยกตัวอย่างเรียงลำดับข้อกัน  ต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ เสร็จแล้วยังเลือน ๆ  กลัวว่ามันจะเรียงข้อนั้นก่อน  ข้อนี้หลังพะวักพะวน

  ดูเอาเถิดท่านทั้งหลาย  มันเป็นการเหลือบ่ากว่าแรงเหลือเกินที่จะต้องมานั่งอธิบายข้อความที่ลึกลับ ละเอียดแต่นำสืบให้เห็นกันสด ๆ ไม่ได้  เกี่ยวกับนรกสวรรค์  ยิ่งในพวกคนหนุ่มที่ถือตัวว่ามีการศึกษาสมัยใหม่  หรือทรงศักดิ์เป็นชั้นนั้นชั้นนี้  ยิ่งแล้วใหญ่  คนผู้ทำหน้าที่ วิสัชนาจะไปทำอย่างไรกะคนพวกนี้ดีไม่ดี อาจผลักเจตนาอยากรู้อยากถามของเขา  ให้ลงเหวแห่ง มิจฉาทิฏฐิมืดมิดไปเสียอีก

  การที่ใครก็ตาม  เริ่มอยากรู้ และถามเรื่องตายเกิด หรือนรกสวรรค์  พึงให้รู้เถิดว่าเขากำลังบ่ายหน้าสนใจเรื่องของศาสนามาบ้างแล้ว  อย่าได้ไปตั้งข้อรังเกียจเขา  ถ้าชี้แจงให้เขาไม่กระจ่าง ก็ควรบอกให้เขาไปถาม คนที่สมควรต่อ ๆ ไป เยี่ยงน้ำใจนักกีฬา  บางทีเขาอาจไปโดนทีเด็ด  อย่างท่านอาจารย์ ฮากูอินในเรื่องนี้บ้างกระมัง


หมายเหตุการจะอธิบายเรื่องนรกสวรรค์นั้นเป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญ อธิบายสามวันเจ็ดวันก็ไม่เป็นที่สรุปดีไม่ดีอาจไปมีเรื่องกับผู้มาขอคำอธิบายอีก แต่อาจารย์ ฮากูอิน ท่านอธิบายแบบสด ๆ เข้าใจเลยภายในเวลาเล็กน้อยเท่านั้นเอง

                                          


                                            _______________________

                                                                                              Sampan Chanpa


























   
        

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น