วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เลียะัพะ ....!!!!

                                 เลียะพะ  

                                     

  
                                                    ในหลวงเสด็จเยือนสำเพ็ง


เมื่อตอนที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลง คำจีนที่เรียกว่า "เลีะพะ" ซึ่งแปลว่า "จับและตี"  หมายถึงการกลุ้มรุมทำร้าย  เป็นคำที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในเมืองไทย  คนไทยที่เข้าไปเดินอยู่ในย่านคนจีน  เมื่อได้ยินเสียงคนร้องขึ้นว่า "เลีะพะ" ก็ต้องวิ่งกันทันที มิฉะนั้นก็จะโดนเลียะพะ
                                        


   ทั้งนี้เกิดจากคนจีนมีความโกรธแค้นญี่ปุ่นอย่างมาก  และหลายคนก็โกรธแค้นมาถึงรัฐบาลไทยที่ร่วมรบกับญี่ปุ่น  ประกอบกับได้รับการยุยงจากหน่วยใต้ดินของก๊กมินตั๋งในไทย  ว่าจีนเป็น ๑ ใน ๕ชาติมหาอำนาจที่ชนะสงครามในครั้งนี้  และจอมพลเจียงไคเช็ค กำลังจะส่งทหารเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทย  ทำให้คนจีนกลุ่มหนึ่งฮึกเหิม  โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ขุ่นเคืองการปฏิบัติของตำรวจไทย  หวังจะได้แก้แค้น  แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ส่งทหารอังกฤษเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทยส่วนทหารก๊กมินตั๋งปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในอิโดจีนเท่านั้น ทำให้คนจีนกลุ่มนี้ผิดหวังอย่างมาก

  ในคืนวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๘๘  เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์  ผู้คนไปเที่ยวเตร่แถวเยาวราชกันแน่น ราว  ๒ ทุ่มได้มีทหารอังกฤษกลุ่มหนึ่งไปนั่งกินเหล้าในร้านแถวเยาวราช  แสดงความสนุกสนานกันอย่างเต็มที่  ได้นำเอาธงชาติจีนขึ้นมาโบก  จึงมีคนมายืนมุงดูกันแน่นถนน  เผอิญในขณะนั้นมีรถสามล้อเฉี่ยวชนคนจีนคนหนึ่งเขา  จึงทำให้มีปากเสียงทะเราะกัน  คนจีนกลุ่มหนึ่งได้เข้ากลุ้มลุมทำร้ายคนขี่สามล้อซึ่งเป็นคนไทย  ตำรวจเข้าระงับเหตุการณ์ก็ถูกโดนรุ่มทำร้ายไปด้วย  สถานีตำรวจพลับพลาชัยได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธไป ๑ คันรถ เกลี้ยกล่อมให้ฝูงชนสลายตัวกลับไป แต่ไม่มีใครเชื่อฟังและยังโยนประทัดเข้าใส่  ตำรวจจึงยิงปืนขึ้นท้องฟ้าแล้วถ่อยกลับโรงพัก  ทางรัฐบาลได้ส่งทหาร  ตำรวจ  และยุวชนทหารซึ่งมีบทบาทสำคัญตอนสงครามไปรักษาการณ์  ใช้รถถังวิ่งตรวจไปตามถนนเยาวราช  ถนนเจริญกรุง  จนถึงหัวลำโพง ฝ่ายพวกจีนที่ก่อการจลาจลได้แอบอยู่ในตึกแถวข้างถนนได้ยิงปืนลงมา  เกิดการยิงตอบโต้กันจนร้านค้าทั้งหลายต้องปิดหมด
                                                      
                                                    วัยรุ่นชาวจีน
  รุ่งขึ้นวันที่ ๒๑ การจลาจลได้กระจายออกไปตามย่านที่มีคนจีนอยู่ เช่น แถวเจริญกรุง  บางรัก  หัวลำโพง  และบางลำพู  มีโปสเตอร์เป็นภาษาจีนติดอยู่หลายแห่งปลุกปั่นคนจีนให้ทำร้ายคนไทย  และมีคนเข้าพักในโรงแรมย่านเยาวราชมากผิดปกติ  มีข่าวลืือกันว่าคืนนี่้จะมีการก่อการจลาจลขั้นรุนแรง  ทางการจึงได้เตรียมรับมืออย่างเต็มที่  จนราว ๒ ทุ่มเสียงปืนก็ดังไปทั่ว มีบาดเจ็บและล้มตายกันหลายคน และมีกลุ่มอันธพาลเข้าผสมโรงบุกเข้าปล้นร้านค้าคนจีนย่านเยาวราชกวาดทรัพย์สินไปได้มาก (เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมนึกถึงกลุ่มพวกเสื้อแดงบุกปล้นร้านค้าราชประสงค์เหตุการณ์เหมือนกันยังกะลอกสูตรกันมาเลยเวรกรรมของประเทศไทยคนจัญไรทำลายประเทศ)

  รุ่งขึ้นเช้าวันที่ ๒๒ ทหารตำรวจได้จู่โจมเข้าเคลียร์พื้นที่ ที่มีการปะัทะจับกุมผู้ต้องสงสัยไปได้หลายคน  แต่ก็ยังมีการยิงโต้ตอบเป็นระยะ  จนตกบ่ายเสียงปืนจึงค่อย ๆ หายไป 
                                             
                                                        สมาคมคังเจี้ยน
  ในวันที่ ๒๓ "สมาคมคังเจี้ยน"ซึ่งเป็นองค์กรของ ก๊กมินตั๋งในประเทศไทย ได้ปิดประกาศเรียกร้องให้คนจีนปิดตลาด ซึ่งผู้ค้าขายที่เป็นคนจีน ต่างปฎิบัติตามเพราะกลัวการคุกคาม  แต่เจ้าของตลาดเก่าเยาวราชได้ระดมแม่ค้าพ่อค้าจากที่อื่นมาขายแทน และส่งคนเข้าคุ่มครองคนขายด้วย

  และในวันเดียวกันนี้สหสมาคมต่อต้านญี่ปุ่นในประเทศไทย  ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้พี่น้องไทย-จีนช่วยกันถนอมไมตรีที่มีต่อกันมาช้านาน อย่าหลงกลผู้ไม่หวังดียุแหย่ให้เกิดความแตกร้าวขึ้นในชาติ  รัฐบาลได้จัดตั้งกองกำลังรักษาความมั่นคงไทย-จีนขึ้น    มี พล.ร.ต.สังวร  สุวรรณชีพ เป็นหัวหน้ารักษาความสงบ  จนในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๔๘๙ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช  นายกรัฐมนตรี ได้เซ็นสัญญาสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน กับนายหลีเทียะเจิง  เอกอัครราชทูตจีน  กองกำลังผสมนี้จึงเลิกไปกับเสียง "เลียะพะ" ด้วย
                                              
                                                         ถนนเจริญกรุง
  ในช่วงเกิดเหตุการณ์นี้  ถ้ามีคนไทยเดินเดี่ยวเข้าไปในย่านของคนจีน  ก็จะมีวัยรุ่นจีนที่ฮึกเหิมร้องตะโกนขึ้ว่า "เลียะพะ" จากนั้นวัยรุ่นที่อยู่โดยรอบก็ขจะกรูเข้ามาทำร้าย  หลายรายมีทั้งมีด และไม้เป็นอาวุธ และเกิดเหตุการณ์เช่นนึ้อยู่ทั่วไป

  ดาราดังในอดีตคนหนึ่งคือ คุณสาหัส บุญ-หลง (ภายหลังเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น พฤหัส บุญ-หลง) มีรอยแผลเป็นที่หน้าติดตัวมาตลอด สาเหตุก็เกิดจาก เลียะพะ
                                                
                                                   คุณพฤหัส บุญ-หลง
  ตอนนั้น "ลุงหัส" แกดังแล้ว แสดงละครอยู่ที่ศาลาเฉลิมนคร  พอละครเลิกตอนดึก ลุงหัสแกคงจะหิวและอยากบุหรี จึงเดินออกมาหาซื้อ  เพื่อนนักแสดงด้วยกันคงจะเป็นห่วงจึงตะโกนออกไปว่าออกไปคนเดียวไม่กลัวถูก เลียะพะ หรือ ลุงหัสแกก็ยิ้ม  เพราะก่อนที่ลุงหัสจะมาเป็นนักแสดงนั้นลุงหัสเคยเป็นนักเลงมาก่อน ทั้งยังเชื่ออีกว่าตัวเองหนังเหนียว เจอศึกมาหลายครั้งแม้จะโดนอาวุธมีคมของคู่ต่อสู้ "ลุงหัส"ก็ไม่เคยระคายผิวถึงเลือดออก อย่างเก่งก็แค่มี "ยางบอน" และตอนนี้ก็เป็นนักแสดงที่คนย่านนั้นรู้จักหน้าดี คงไม่มีใครกล้ามาทำร้าย

   "ลุงหัส" ลัดเวิ้งนครเขษมมาออกสี่แยกวัดตึกจึงเจอแผงขายบุหรี่  แต่คนขายกลับไม่ยอมขายให้ตอนนั้นพ่อค้าแม่ค้าในย่านเยาวราชถูกยุแหย่ไม่ย่อมขายสินค้าให้คนไทย  เมื่อ ลุงหัส ซื้อบุหรีที่กำลังอยากสูบไม่ได้เลยเกิดอารมณ์ มีปากเสียงกับคนขาย  ทันใดก็มีคนร้อองขึ้นว่า "เลียะพะ" 
                                                 
                                                           เยาวราช
  จากนั้นวัยรุ่นราว ๑๐ คนก็โผล่เข้ามารุมสกรัม  แต่ถึงจะโดนรุมยำขนาดนั้น "ลุงหัส"ก็ไม่ยอมถอยระหว่างที่ชุลมุนอยู่ก็เห็นอาวุธในมือคนร้ายต้องแสงไฟวาววับสับมาที่หน้า  และเห็นว่าเป็นตะขอเกี่ยวกระสอบข้าวสาร "ลุงหัส" รู้สึกเพียงเจ็บ ๆ ที่หน้าผากและคิดว่าไม่เข้า  ครู่หนึ่งรู้สึกเหมือนมีแมลงไต่ลงมาที่แก้ม  พอเอามือลูบดูก็ปรากฎว่าเป็นเลือด "ลุงหัส"เลยบ้าเลือดยิ่งขึ้นอีก จนตำรวจมา คนเหล่านั้นจึงสลายหายตัวเข้าตรอกซอกซอยไป ตำรวจพา "ลุงหัส" ไปทำแผลที่โรงพยาบาลกลาง  เลยได้ที่ระลึก เลียะพะไว้ที่หน้า
                                   


  ต่อมาในวัน ๓ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลา ๐๙.๐๕ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จเยี่ยมสำเพ็ง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีพระมหากษัตริย์เสด็จเยี่ยมสำเพ็งอย่างเป็นทางการทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทอย่างช้า ๆ ไปบนพรมที่บรรดาพ่อค้าจัดปูลาดไปตลอดความยาวของถนนสำเพ็ง และประดับด้วยซุ้มดอกไม้ ธงทิว แพรผ้า หน้าร้านค้าต่างตั้งโต๊ะมุกเครื่องบูชา และเฝ้ารับเสด็จตลอดเส้นทางพระราชดำเนิน ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับราษฎรที่รอเข้าเฝ้าตามทางเป็นระยะ และเสด็จฯ เข้าประทับในบางร้าน  สมเด็จพระอนุชาธิราชทรงเป็นช่างภาพกิตติมศักดิ์  ทรงเปิดโอกาสให้ชาวจีนได้เข้าเฝ้าแทบละอองธุลีพระบาทอย่างใกล้ชิด ทรงรับของที่ระลึกด้วยพระหัตถ์จากร้านหนึ่งไปยังอีกร้านหนึ่ง  ทรงใช้เวลาเสด็จเยี่ยมสำเพ็งครั้งนี้ ถึง ๔ ชั่วโมง  จากนั้นได้เสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่สมาคมไทย-จีน ถนนสาทรตามคำกราบบังคมทูลของบรรดาพ่อค้าจีน  และทอดพระเนตรการละเล่นต่าง ๆ ก่อนเสด็จกลับ ยังความปลาบปลื้มปิติยินดีแก่ชาวจีนเป็นล้นพ้น

     จากนั้นความสัมพันธ์ของคนในชาติก็สนิทเป็นเนื้อเดียวกันดังเดิม

                                   _______________________

                                                                               Sampan Chanpa 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น