วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เพื่อนผมชื่อ "เยื้อน"




                                       เยื่อนเพื่อนรัก

                                         

  ใช่ครับ "เยื้อน" คือเพื่อนของผมที่เรียนหนังสือมาด้วยกัน  พ่อของเยื้อนมีอาชีพรับจ้างทั่วไป แต่อาชีพหลักคือ ถีบสามล้อรับผู้โดยสารในตลาดสุพรรณบุรี เมื่อห้าสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมกับเยื้อนเรียนหนังสือมาด้วยกันในชั้นประถม ที่โรงเรียนวัดปราสาททอง ผมจำได้ว่าคุณครูใหญ่เป็นผู้หญิงแต่ชื่อของท่านเหมือนผู้ชาย คุณครูประยูร ซึ่งท่านก็สนิทกับคุณพ่อของผม ตอนนั้นพ่อของผมเป็นนักการเมื่องท้องถิ่น และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย ผมจำได้ว่าท่านสังกัดพรรค"เสรีมนังคศิลา" ผมกับน้องชายก็เรียนที่โรงเรียนนี้ เยื้อนเป็นเด็กซนมากและก็อยู่ไม่สุก (Restless children)  อุปกรณ์การเรียนของ เยื้อน เพื่อนของผมไม่ต้องถาม  แค่เยื้อนมาโรงเรียนได้เกือบทุกวันก็นับว่าอัศจรรย์แล้ว วันไหนถ้าเยื้อนมาโรงเรียนไม่ถูกดุก็ถูกทำโทษ ส่วนใหญ่จะโดนทั้งถูกดุและถูกลงโทษเสมอ   แต่นั่นก็ไม่ถึงกับเป็นสาเหตุที่ทำให้เยื้อนถึงกับขาดเรียนเสื้อผ้าชุดนักเรียนของเยื้อน     ผมคิดว่าคงมีอยู่ชุดเดียว แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจ  ผมจำได้ว่าเสื้อนักเรียนของเยื้อนมีเม็ดกระดุมไม่ครบเวลาติดกระดุมเสื้อบางครั้งก็ไม่สัมพันธ์กัน  จึงทำให้ชายเสื้อไม่เท่ากัน  แต่เยื้อนก็เรียนหนังสือเก่งกว่าคนทุกคนในห้องร่วมทั้งผมด้วย
                                   
  แล้ววันโลกาวินาศก็มาถึง จริง ๆ แล้วผมไม่อยากที่จะใช้คำนี้ แต่สมัยนั้นแม้แต่ตัวผมเองก็ตกใจเหมือนกัน  ผมจำได้ว่า พวกเราเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๔ ในขณะนั้นครูที่สอนพวกเรามีเพียงคนเดียวในแต่ละห้อง เรียกว่า ครูประจำชั้นก็ได้ แต่เผอิญวันนั้นครูประจำชั้นไม่อยู่ คุณครูใหญ่จึงได้ให้ คุณครูจรูญ  ผมจำนามสกุลของท่านไม่ได้ มาสอนแทน จริง ๆ แล้ว ท่านเป็นครูพิเศษสอนวิชาเรขาคณิตประถมปลาย แต่วิชาพละท่านก็สอน วิชาขับร้องดนตรีท่านก็สอน ผมมาคิดดูแล้วท่านเก่งสอนได้ทุกวิชาและถ้าครูคนใดขาดท่านก็จะเข้าสอนแทนได้ทุกห้อง 
และตัวของเยื้อนเองก็ถูกคุณครูจรูญทำโทษอยู่บ่อย ๆ     วันนั้นท่านถือวงเวียนไม้กับผลส้ม---    -เขียวหวานมาสอนแทนครูประจำชั้น   ผมเองก็ยังไม่รูเลยว่าท่านจะสอนวิชาอะไร แต่เยื้อนก็โดนดุก่อนแล้วเพราะความซน   และเกาโน่นเกานี่เหมือนกับลิง  วันนั้นครูจรูญสอนวิชาภูมิศาสตร์เรื่องโลกกลม
                                             


  ท่านพยายามอธิบายว่าโลกที่พวกเราอาศัยอยู่นี้มีลักษณะกลมคล้ายผลส้มเขียวหวานที่ท่านนำมา  และท่านยังอธิบายต่อไปอีกว่าโลกใบนี้ยังมีการหมุนรอบตัวเอง และหมุนรอบดวงอาทิตย์ รวมทั้งปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่นโลกหมุนรอบตัวเองทำให้เกิดกลางวัน  และกลางคืน ส่วนการหมุนรอบดวงอาทิตย์ทำให้เกิดฤดูกาลต่าง ๆ ในระหว่างที่ท่านพยายามอธิบายไปนั้น เยื้อนเองก็ดูเหมือนไม่สนใจ   ผมเองในวัยขนาดนั้นก็ไม่รู้เรื่องและไม่ค่อยเข้าใจ   (แต่ก็นับว่าท่านตั้งใจสอนมากมีอุปกรณ์การสอนบวกกับความตั้งใจ) แต่ท่านลืมนึกไปว่าวิชาที่ท่านกำลังสอนนั้นน่าจะเป็นของเด็กมัธยมมากกว่า ผมเองเวลานั้นก็ตั้งใจฟังแต่ย่อมรับว่าไม่เข้าใจเรื่องของปรากฏการณ์ กลางวันกลางคืน หรือเรื่องของฤดูกาล  และเยื้อนเองจะเข้าใจหรือเปล่าผมเองก็ไม่รู้เพราะความซนเหลือหลายนั่นเอง  ขณะเดียวกันครูจรูญท่านเองก็สรุปตอนท้ายว่า "แล้วเรื่องโลกมีลักษณะกลมเหมือนส้มเขียวหวานมีใครสงสัยบ้าง" ทุกคนในห้องเงียบหมด ยกเว้นเยื้อนคนเดียวที่ยกมือขึ้นอย่าว่าแต่ทุกคนในชั้นเรียนที่ไม่เชื้อในสายตาตนเองเลย แม้แต่ครูจรูญเองก็แสดงความรู้สึกไม่ต่างจากพวดเราในชั้นเรียนเท่าไหร่

                                           


ต่อไปนี้เป็นคำพูดของคุณครูจรูญ กับเด็กชายเยื้อน



 ครูจรูญ             "สงสัยอะไรเด็กชาย เยื้อน ครูพูดเธอยังไม่ฟังเล่นตลอด" 

 เด็กชายเยื้อน    "ผมว่าโลกไม่ได้กลมอย่างส้มเขียวหวานที่คุณครูเอามหรอกครับ"

 ครูจรูญ             " เธอรู้ได้อย่างไรว่าโลกไม่กลมเหมือนส้มเขียวหวานที่ครูเอามา
                          เธอตอบให้ดีนะ" คุณครูจรูญเริ่มไม่พอใจ

 เด็กชายเยื้อน    "ผมว่า โลกของเรากลมเหมือนจานกินข้าว"

 ครูจรูญ             "รู้ได้อย่างไร"    เสียงเริ่มดังมากจนพวกผมตกใจ เยื้อนเองก็เงียบ

 ครูจรูญ             "ว่าไงเยื้อน" เยื้อนก็ยังเงียบ อันนี้เองสร้างจุดเดือดให้ครูจรูญ

 ครูจรูญ             "จะตอบหรือไม่ตอบไอ้เยื้อน" ตอนนี้เองที่เยื้อนเพื่อนของผมรวบรวมความกล้า 
                         แล้วค่อย ๆ ตอบว่า (ก่อนอื่นผมขอยืนยันว่าเยื้อนตอบออกไปแบบนี้จริงๆ ครับ)

เด็กชายเยื้อน    " พ่อของผมเคยพาผมไปเที่ยวงานประจำปีภูเขาทองที่กรุงเทพฯ และพาผมเดิน
                         ขึ้นไป  บนภูเขาทองแล้วมองลงมาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้เหมือนวางอยู่ 
                         ในชามกินข้าวครับ"   ( ความจริงต้องเป็นจานกินข้าวแต่เด็กสมัยผมเรียกชามกิน
                         ข้าว )              

                                                           

  คุณครูจรูญโกรธมากครับ แกขว้างวงเวียนไม้ลงไปที่โต๊ะของเยื้อนส่วนแหลมของวงเวียนปักอยู่บนโต๊ะสั่นไปมา ผมเห็นเยื้อนตกใจมาก แล้วครูจรูญก็เดินออกจากห้องไป โดยไม่พูดอะไรเลย ผมก็ไม่เข้าใจว่าคุณครูจรูญโมโหเยื้อนเพื่อนของผมเรื่องอะไร และตั้งแต่นั้นมา เยื้อนเพื่อนของผมก็ไม่มาโรงเรียนอีกเลย  ผมเคยไปหาเยื้อนที่บ้าน แต่ก็ไม่พบเยื้อนและพ่อของเยื้อน  คนแถวนั้นบอกว่าไม่รู้ย้ายบ้านไปอยู่ที่ไหน

                                         

  ผมมาทบทวนดูว่า เหตุการณ์ในวันนั้นจะไม่เกิดขึ้น ถ้าคุณครูจรูญยอมรับความคิดเห็นของเยื้อน และไม่โมโหจนเกินไป เยื้อนก็พูดไปตามประสาเด็กที่คิดมาอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น และถ้าคุณครูจรูญอธิบายให้เยื้อนได้เข้าใจ ผมคิดว่าวันนี้คงจะมี นายแพทย์เยื้อน หรือวิศวกรเยื้อน ในประเทศไทยอีกคนหนึ่งก็เป็นได้

   ผมเองก็เชื่อว่าเยื้อนคงไม่เคยไปภูเขาทอง แน่นอน เพราะเยื้อนเคยพูดกับผมว่าอยากไปเที่ยวงานภูเขาทองมากแต่พ่อไม่เคยพาไปเสียที  แต่นั่นไม่ใช่ประเดนสำคัญ  แต่ที่ผมสงสัยที่สุดก็คือ เยื้อนสร้างจินตนาการตอนนั้นได้อย่างไร ผมเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน...!!!!!!

                                                                 


                                                   ____________________________



Sampan Chanpa


           


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น