วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรื่องของ "ภาพโมนาลิซา" ที่บางท่านอาจยังไม่รู้ (ตอนจบ)




                                                         โมนาลิซา  (ตอนจบ)

ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ มีการขโมยรูปภาพตามพิพิธภัณฑ์ กันบ้างแล้วประปราย  ทางพิพิธภัณฑ์ลูฟว์จึงได้หาแผงกระจกมากันภาพสีน้ำมันที่มีราคาแพง ๆ เพื่อกันขโมย แต่เชื่อเถอะครับขึ้นชื่อว่าขโมยมันตั้งใจขโมยจนได้ละครับ การที่เอากระจกมากันทำให้พวกที่มาชมภาพเกิดความไม่พอใจเพราะมันไม่ได้อรรถรส (Poetic flavo) เล่นภาษาปากิตสักหน่อย เสียมู้ดหมดเวลาไปดูเหมือนทำให้รู้สึกเหมือนภาพเหล่านี้อยู่ในตู้กระจก

แต่แล้วก็เกิดเรื่องจนได้ เช้าวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ จิตรกรผู้หนึ่งเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์   พร้อมกับนางแบบหน้าหวาน   เพื่อจะให้นางแบบไปยืนประชันโฉมกับ 
"โมนาลิซา" แต่พอไปถึงจุดที่เคยมีภาพ "โมนาลิซา" แขวนเด่นอยู่ปรากฏว่ามีแต่ความว่างเปล่า เจ้าหน้าที่เองก็ยังไม่รู้จับมือใครดมไม่ได้แปลกมันอันตรธาน (Hypochondria) ไปได้อย่างไรหว่า

เห็นแต่กรอบกระจกตกอยู่ข้างบันไดและที่อยูข้าง ๆ ก็คือกรอบรูป เจ้าหน้าที่จึงย่อมประกาศความโง่และออกแถลงการณ์ย่อมรับความอับอายขายหน้าสุดขีดว่าภาพอมตะ "โมนาลิซา"ได้ถูกขโมยเอาไปเสียแล้ว !

หนังสือพิมพ์ขายดิบขายดี  เพราะใคร ๆ ก็อยากอ่านรายละเอียด คนที่ต้องพลอยรับบาปเป็นพวกแรกก็คือคนเยอรมันทั้งหมดที่อยู่ในปารีส  เพราะถูกตำรวจตั้งข้อสงสัยว่าผู้ร้ายรายนี้ต้องเป็นคนเยอรมันแน่  เพราะช่วงนั้นฝรั่งเศสกับเยอรมันกำลังฮึ่ม ๆ แยกเขี้ยวเข้าใส่กันอยู่เกี่ยวกับปัญหาขัดแย้งเรื่องดินแดนในมอร็อคโค งานนี้เยอรมันโกรธมาก ฝรั่งเศสก็ไม่ใช่ย่อยกับยุยงสงเสริมพวกของตัวเองให้โกรธและเกลียดพวกเยอรมัน เรื่องทำท่าจะบานปลายไปกันใหญ่


หนังสือพิมพ์ฝรั่งฉบับหนึ่งได้เสนอตั้งรางวัลสี่หมื่นฟรั่งค์ให้แก่ผู้ที่สามารถนำภาพนี้มาส่งคืนที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น แต่ก็เงียบ  ไม่มีใครรู้ว่านงนุช "โมนาลิซา" ไปแอบนอนยิ้มอยู่ที่ไหน

หนังสือพิมพ์อีกฉบับหนึ่งเพิ่มรางวัลให้สูงขึ้นโดยเพิ่มเป็นห้าหมื่อนฟรังค์  ส่วนอีกฉบับหนึ่งซึ่งเชื่อในเรื่องเวทย์มนต์คาถาได้ลงคำขอร้อง  อ้อนวอนไปถึงบรรดาคนทรงทั้งหลายให้พยายามช่วยกันหน่อยถ้าใครรู้ว่ารูปนี้ถูกซุกซ้อนอยู่ที่ไหน ก็ขอได้โปรดแจ้งให้ทางจังหวัดหรืออำเภอทราบโดยด่วนด้วย  ฝรั่งเศสทั้งประเทศไม่เป็นอันทำอะไรกันแล้ว  เป็นตายอย่างไรก็ต้องระดมกำลังกันทั้งตำรวจคนทรง ตาเถร ยายชี และนายอำเภอ เพื่อเอา นงนุช "โมนาลิซา" คืนมาให้จงได้

นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ประชุมเคร่งเครียดกัีนเกือบทุกวัน  ในที่สุดมีนายตำรวจหัวแหลมคนหนึ่ง  เสนอความคิดขึ้นว่า  คนที่ขโมยเอาไปจะต้องมีความรักรูปนี้อย่างหลงใหล ไม่งั้นคงไม่กล้าเสี่ยงคุกตารางมาทำโจรกรรมขนาดมหึมาพิลึกพิลั่นแบบนี้ และคนที่รักศิลปะอย่างบ้าคลั่ง ก็จะต้องควรเป็นศิลปิน! เพราะฉะนั้นต้องเรียกศิลปินทุกคนบรรดามีมาสอบสวนให้หมด  แม้แต่ปีกาสโซ ก็ถููกเชิญมาสอบปากคำในคราวนั้นด้วย

อีกสามสี่วันต่อมา  ตำรวจได้หลักฐานว่า  กวีเอกชื่อ อะโปลิแนร์ มีความรักฝังใจรูป "โมนาลิซา" เป็นพิเศษ ได้เคยเขียนโอดครวญพรรณนาความรักของเขาไว้เป็นกลอนหลายบท  ท่านกวีเอกก็เลยซวยไป ถูกจับและถูกตำรวจสอบสวนซักไซ้อยู่หลายชั่วโมง ลงท้ายก็เหลวอีกตามเคย

สองปีผ่านไปโดยไม่มีร่องรอยว่าเจ้าโจรใจเด็ดที่แอบเอา "โมนาลิซา" ไปฝังดิน หรือซุกไวัใต้หลังคาที่ไหน

อยู่มาวันหนึ่ง  พ่อค้าระดับเศรฐีชาวฟลอเรนซ์ ซึ่งประกอบธุรกิจค้า ๆ ขาย ๆ เกี่ยวกับงานศิลปะ มีลูกค้าประเภทเสี่ยใหญ่จ่ายเงินแสนโปรยปรายได้เป็นว่าเล่นถ้าเผื่อเกิดชอบใจภาพสีน้ำมันภาพหนึ่งภาพใดขึ้นมา  พ่อค้างานศิลปะคนนี้ชื่อ อัลเฟร็ด เกรี มิใช่เป็นคนเกเรอะไรหรอก แก่ชื่อเกรีไปงั้นเอง อีตาเกรีแก่อยากจัดนิทรรศการศิลปกรรมครั้งใหญ่ให้เลื่องชื่อระบือไกล  จึงลงแจ้งความในหนังสือพิมพ์ว่าผู้ใดมีรูปเขียน หรือรูปปั้นที่ดีวิเศษอยากจะขายขอให้ติดต่อมา แกจะได้รวบรวม
"ของดีวิเศษแห่งยุค" มาตั้งแสดงให้เป็นขวัญตาขวัญใจแก่ชาวโลก  ทั้งนี้เพื่อความหฤหรรษ์บันเทิงสุขของผู้รู้รักศิลปะทั้งผอง (และเพื่อกระเป๋าของแกเองด้วย)

อีกสองอาทิตย์ต่อมา  พ่อค้าคนนี้ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งเขียนมาจากปารีส  เจ้าของจดหมายลงชื่อสั้น ๆ แต่เพียงว่า "เล็นนารด์" บอกมาว่าเขามีรูป "โมนาลิซา" อยู่ในครอบครอง และยินดีจะขายให้ถ้าได้ราคาสูงถูกใจ เพราะต้องการให้รูปนี้กลับไปอยู่ที่อิตาลี ซึ่งเสมือนเป็นบ้านเกิดของรูปนี้

 พ่อค้าเมืองฟลอเรนซ์แกอ่านจดหมายแล้วก็นึกในใจว่า เจ้าคนที่เขียนจดหมายฉบับนี้ถ้าไม่บ้าก็คงจะเมา  แต่มานึกอีกทีหมอนี่อาจเป็นพ่อค้างานศิลปะระดับกระจอก ซึ่งเพิ่งจะย่างเข้ามาสู่วงการ ก็เลยถูกตุ๋นรับซื้อเอาของปลอมเข้าไว้  เพราะในยุโรปนั้นเขาปลอมภาพเขียนออกขายกันเกร่อ 
แบบที่เมืองไทยก็ปลอมพระเครื่องกันยังไงยังงั้นเชียว  ต้องระดับเซียนจริง ๆ จึงจะดูออกแต่โดยมรรยาท  พ่อค้าเมืองฟลอเรนซ์  จึงเขียนจดหมายตอบสั้น ๆ ไปว่า เขากำลังมีธุระการงานยุ่ง  ไม่สามารถจะไปปารีสได้ แต่ถ้ามาพบเขาที่ฟลอเรนซ์ได้  เขายินดีที่จะรับพิจารณาภาพนั้น และถ้าเป็นภาพ "โมนาลิซา" ของจริงละก็ เรื่องราคาขอให้วางใจเถอะเขาสู้ไม่อั้น  ขอแต่เพียงเป็นของแท้ก็แล้วกัน

ทางปารีสโทรเลขตอบมาว่า  จะมาเยี่ยมนายเกรี  ที่ออฟฟิศ ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ นายเกรีนั้นกระหยิ่มใจอยู่ว่า ในวงการยุทธจักรศิลปะ ฝีมือเขาก็ระดับเซืยนเหยีบเมฆคนหนึ่ง ไม่ยอมให้ใครมาแหกตาเอาแน่ แต่คราวนี้พอได้รับโทรเลขก็นอนไม่หลับ ต้องไปขอแรงอธิบดีกรมศิลปากร....เอ๊ย-ไม่ใช่.....ต้องไปขอแรง จิโอวันนิ ป๊อกกี ผู้อำนวนการหอภาพ UFFZI อันมีชื่อเสียงแห่งฟลอเรนซ์  ให้มาช่วยดูกันหน่อย ต้องเผื่อกันเหนียวกันไว้ก่อน จะได้ไม่พลาด

พอถึงวันนัดหมาย  ชายคนนั้นจากปารีสที่อ้างตัวเองว่าชื่อ "เล็นนาร์ด" ก็โผล่เข้ามาที่สำนักงานของนายเกรี  เมื่อเวลา ๑๕.๑๕ น.  หมอนี่เป็นคนร่างเล็ก  อายุอานามก็คงจะสามสิบกว่า ๆ ไว้หนวดรุงรัง นัยน์ตาปรือคล้ายเพิ่งจะตืนนอน

นายเกรีแนะนำให้ "เล็นนาร์ด" รู้จักกับผู้อำนวยการหอศิลปแล้วกล่าวว่า "จะให้เราชมภาพของคุณหรือยัง?"  "ไปดูกันที่โฮเต็ลดีกว่า" คือคำตอบ

 โฮเต็ลที่เขาพักอยู่นั้น เป็นโฮเต็ลเล็ก ๆ ราคาถูก "เล็นนารด์" เดินนำหน้าพาคนทั้งสองขึ้นไปถึงชั้นสาม  พอเข้าไปในห้องพักแล้วเขาก็ล็อกประตูด้วยความรอบคอบ 

นายเกรีมือไม้สั่นไปหมด  ขณะที่จ้องดู "เล็นนาร์ด" เดินตรงรี่ไปที่เตียงนอน  แล้วก็ดึงเอาลังไม้สีขาวออกมาจากใต้เตียง  ในลังใบนั้นรุงรังไปด้วยสิ่งซึ่งควรจะเรียกว่าเศษขยะมากกว่า คือมีรองเท้าเก่า ๆ ขาดแล้วหกเจ็ดคู่ หมวกที่เก่าสกปรกยับยู่ยี่หนึ่งใบ  เศษผ้าเก่า ๆ กะรุงกะริ่งอีกเยอะแยะและมีแม้กระทั้งแมนโดลิน  เจ้าของรื้อของต่าง ๆ กระจุยกระจายเอาออกมาวางไว้นอกลังแล้วก็ล้วงลึกลงไปก้นลังอีกที  คราวนี้ควักเอาของอย่างหนึ่งออกมา  ซึ่งหอเอาไว้ด้วยผ้าไหมสีแดง

เขาค่อย ๆ บรรจงวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม และพอเอาผ้าคลุมสีแดงออกแล้ว  อนงค์นาง
"โมนาลิซา" ก็เผยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ออกมา !

นายเกรีพ่อค้าชาวฟลอเรนซ์  ประคองอุ้มภาพนั้นไปที่หน้าต่างประสงค์จะดูให้เต็มตา และเปรียบเทียบกับภาพถ่าย ซึ่งได้เตรียมเอาติดตัวมาด้วย

ให้ตายเถอะ !  ของแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ! หันไปขอความเห็นท่านผู้อำนวยการหอศิลป์ว่า

"ว่าไงครับท่าน ?...มีอะไรหน้าสงสัยไหมครับ ?"

ท่านผู้อำนวยการหอศิลป์  ผู้เจนจบวิทยายุทธ์ในทุกกระบวนท่าของศิลปะ พยักหน้าหงึก ๆ ว่า

"ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ ...แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่คือของแท้...คุณดูนี่สิ...หมายเลขแค็ตตาล็อกของลูฟว์ตรงกันกับในรูปถ่ายเปี๊ยบเลย"

เล็นนาร์ดบอกว่า เขาขอห้าแสนลีร์  สำหรับรูปนี้ (ประมาณหนึ่งแสนเหรียญอเมริกัน ถ้าคิดเทียบกับเงินตอนนั้น)   

"เราย้ายภาพนี้ไปที่หอศิลปของผมดีกว่า  จะได้ส่องดูและพิจารณาตรวจตรากันให้ถนัดถนี่กว่านี้" ท่านผู้อำนวยการว่าและเล็นนาร์ดก็ไม่ขัดข้อง

ทั้งสามคนจึงลงจากห้องพร้อมกันกับห่อของ  พอลงมาถึงชั้นล่าง  พนักงานของโฮเต็ลร้องตะโกนออกมาว่า
"อย่าเพึ่งไป...จะหอบของออกไปแบบนี้ไม่ได้นะ!....ที่หอบเอาไปน่ะอะไร ?"

เล็นนาร์ดตอบว่า  ในนี้คือรูปภาพ เราจะเอาไปที่หอศิลป์...อย่ากลัวไปหน่อยเลย  เราไม่หนีไปไหนหร็อกน่ะ"

พนักงานหญิงของโฮเต็ลจำหน้าท่านผู้อำนวยการใหญ่ได้  แบบคนไทยย่อมจำหน้าท่านสุภัทรดิศ  ดิศกุลได้ทุกคน  จึงยอมให้คนทั้งสามออกไปจากโฮเต็ลได้


นายเกรีพ่อค้าชาวฟลอเร็นซ์หัวเราะครึกครื้นเมื่อพ้นออกมาจากโฮเต็ลแล้ว  และพูดว่า "ถ้าหากยามของพิพิธภัณฑ์ลูฟว์จะมีความอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกับพนักงานโฮเต็ลคนนนี้ละก็....."โมนาลิซา" ก็คงไม่มีโอกาสได้มาฟลอเร็นซ์หร็อก!"

บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางศิลปต่างมากันแน่นหอศิลป  เพื่อจะมาพิสูจน์ว่ารูปนี้เป็นของแท้หรือของปลอมกันแน่  แต่แล้วทุกคนก็ต้องยอมรับว่าแท้  ดังนั้นหนังสือพิมพ์จึงออกข่าวกันไปทั่วโลกว่า บัดนี้ได้พบ
"โมนาลิซา" ยอดเสน่ห์แล้ว

พอค้าชาวฟลอเร็นซ์ผู้นั้นสุดแสนจะตื่นเต้น  เขาพยายามตระเตรียมการอย่างดีเป็นพิเศษ  เพื่อจะเอาภาพอมตะของลีโอนาโด  ดาวินซี  ภาพนี้ไปตั้งโชว์ในงานนิทรรศการของเขา ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าหลังจากสิ้นสุดการแสดงแล้วก็ต้องคืนภาพนี้กลับไปให้พิพิธภัณฑ์ลูฟว์

ฝ่ายเล็นนาร์ด  ก็ถูกตำรวจเชิญตัวถึงในห้องพักที่โฮเต็ล  เขามิได้ขัดขืนแต่อย่างใด  เดินตามอธิบดีกรมตำรวจไปโดยดี

เขาลงชื่อไว้ในแบบฟอรม์ของโฮเต็ลว่าVincenzo Leonardo แต่จากการสอบสวนได้ความว่า เขามีนามจริงว่า  วินเซ็นโซ  เปรูยา เกิดทางตอนเหนือของอิตาลี

เขาถูกนำตัวไปยังห้องขัง   และเมื่อตำรวจซักว่า ทำไมจึงได้บังอาจขโมย "โมนาลิซา" เขาตอบชัดถ้อยชัดคำว่า "เพื่อเกียรติภูมิของอิตาลี....และเพื่อแก้แค้นนะโปเลียนที่มาขโมยเอาภาพนี้ไปจากอิตาลี.....ผมไม่ใช่โจรนะครับคุณตำรวจ  นะโปเลียนต่างหากที่เป็นทั้งโจรและขโมย !"

แน่ะ....เอากะพ่อซี !

การพิจารณาคดีนี้ครึกโครมเกรียวกราวมาก  อัยการขอให้ศาลลงโทษจำคุกจำเลยสามปี  แต่ศาลพิพากษาให้จำคุกเพียงหนึ่งปีกับสิบห้าวัน (ผมขอเสนอหน่อยเกี่ยวกับอัยการความจริงมีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาจากหนักเป็นเบา นี่ดันเล่นหนักกว่าผู้พิพากษาเสียอีกผมไม่สงสัยแล้วว่าทำไมจึงต้องให้วิ่งอัยการ 55555)

"คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง" นักข่าวถามเขา เมื่อได้ฟังคำพิพากษาแล้ว

"ผมนึกว่าจะโดนหนักกว่านี้ซะอีก...."  เขาตอบช้า ๆ แล้วพูดดังแบบนักเลงท่าเรือว่า " ผมทำลงไปเพราะความรักชาติจริง ๆ ควรจะให้เหรียญตราผมจึงจะถูก"


จำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็คงทั้งสงสารและเห็นใจจึงลดโทษให้  คงเหลือจำคุกเพียงเจ็ดเดือน

มีข่าวไม่เป็นทางการว่า  "อีตาเปรูยา  ที่ขโมยรูป  "โมนาลิซา"  แกไม่ได้บ๊องหรือไม่เต็มเต็งหรอก.....เพราะเมื่อออกจากคุกแล้วแกก็ได้แต่งงาน.......ถ้าแกบ้า  ผู้หญิงคนไหนเขาจะยอมแต่งงานด้วยละ





                               Mona Lisa





           Mona Lisa Song by Nat King Cole



                                          ____________________________________


Sampan Chanpa







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น