วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มรณศึกษา




                                                     มรณศึกษา





     ในปัจจุบัน  เมื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น  หลายสิ่งมีส่วนช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของร่างกายมนุษย์  แต่จะช้าหรือจะเร็วอย่างไร มนุษย์ก็ไม่สามารถจะหลีกหนีความตายไปได้ เพื่อให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนั้น จึงมีการศึกษาเกี่ยวกับความตายหรือที่รู้จักกันในชื่อ มรณศึกษา (death education)


     คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์ร่วมสมัย ราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่า
มรณศึกษา หมายถึง การจัดเนื้อหาและกระบวนการเรียนรู้เรื่องความตายแลการสูญเสีย ตลอดจนแนวปฏิบัติต่อผู้ใกล้ตาย เน้นความรู้ความเข้าใจทั้งทางกายภาพ  การพัฒนาจิตใจและอารมณ์การปรับตัว ตลอดจนความสามารถในการเผชิญสถานการณ์อย่างมีสติและมีเหตุผล  การนำเรื่องความตายมาเป็นสาระการเรียนรู้นั้นมีประโยชน์ในการเตรียมตัวเพื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง ในเมื่อการศึกษาคือชีวิต และเป็นกระบวนการพัฒนาชีวิต ความตายจึงเป็นสภาวะหนึ่งในวงจรของชีวิตที่ต่อเนื่องกันตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ และตาย  มรณศึกษา ช่วยให้บุคคลยอมรับได้ว่าความตายเป็นเรื่องธรรมชาติเกิดขึ้นได้กับทุกคน มีความระมัดระวังในการดำเนินชีวิต และยอมรับกับความเปลี่ยนแปลง
ผู้เรียนได้ฝึกการมีสติ ไม่ประมาท ควบคุมอารมณ์ได้ เมื่อเกิดการพลัดพรากเข้าใจความสัมพันธ์และคุณค่าของบุคคลที่อยู่แวดล้อม  เรียนรู้กฏหมาย ประเพณี พิธีกรรม เพื่อสามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้อง เหมาะสม เมื่อต้องเผชิญสถานการณ์เกี่ยวกับความตาย ส่วนผู้ที่มีภาวะใกล้ตายจะได้รับการดูแลอย่างมีมนุษยธรรม  เคารพความเป็นศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และพร้อมที่จะจากไปอย่างสงบ



     ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทย  มีเนื้อหาเรื่องความตายสอดแทรกอยู่ในบางกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม  และกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ในระดับอุดมศึกษามีการสอนในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในบางสาขาวิชาที่เกี่ยวกับการแพทย์ยังมีการสอนแนวทางการปฏิบัติตนและการเยียวยาผู้ป่วยในภาวะใกล้ตายอีกด้วย


      ความจริงน่าจะมีส่วนเสริมเข้าไปในหมู่นักการเมืองบ้างก็คงจะดี เพราะพวกนักการเมืองไม่ค่อย
จะคิดถึงเรื่องความตาย ที่จริงแล้วมนุษย์มีอัตราการมีชีวิตโดยเฉลี่ยไม่เกิน ๓,๕๐๐๐ วัน แต่บางท่านอาจจะมากกว่าบ้างก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม และสุขภาพจิต สุขภาพร่างกายก็ไม่ผิดกติกาใด ๆ ควรที่จะหันมาสำรวจชีวิตตัวเองบางก็คงจะดี ชีวิตและทรัพย์สมบัติ (Wealth) ไม่ใช้ทรัพย์สินถาวรที่จะอยู่กับเราตลอดไป ลดละเบา ๆ บ้างก็จะดี อย่าเอาไปเก็บกับเรามากมายจนชีวิตความเป็นอยู่ไม่มีความสุข ลองมองไปรอบ ๆ ตัวของท่านเองดูว่ามีอะไรที่จะอยู่และติดตัวท่านไปได้บ้างเมื่อท่านต้องจากโลกนี้ไปแล้ว ตอนนี้ชีวิตเราและท่านทั้งหลายก็คงเหลือไม่ถึงหมื่นวันแล้ว เราลองมาไตร่ตรองดูว่า
เราจะทำอะไรที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวม หรือจะทำลายส่วนรวมที่มีประโยชน์ หรือจะกอบโกย เอาไว้ให้ใคร  อย่าลืมว่าเ้วลามันเหลือน้อยลงทุกวัน ท่านนักการเมืองโกงกินเตรียมตัวเข้าโรงพยาบาลก่อน
ถ้าท่านโชคดี แต่ถ้าท่านโชคร้ายหน่อยก็ข้ามขั้นตอนไปเข้าวัดขึ้นเมรุไปเลย


       ที่กล่าวกันว่าคนเรามี เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็ต้องมาวิเคราะห์กันอีกเล็กน้อยว่า คำทีว่าเกิดนั้นเกิดอย่างไร บางที่ก็ตายเสียก่อนเกิดก็มี นี่ก็เป็นความไม่แน่นอน และบางทีก็ไม่ตั้งใจให้เกิดแต่ก็มาเกิดเลยทำให้ผู้ให้กำเนิดเกิดความลังเลหรือไม่แน่ใจ เด็กในครรภ์ก็ใจคอไม่ดี คิดว่าเราจะได้เกิดหรือเปล่า อย่านึกว่าเด็กในครรภ์จะไม่รู้สึกนะครับ เพราะความรู้สึกนึกคิดกับผู้ที่จะทำให้เขาเกิดนั้นเป็นความรู้สึกเดียวกัน คนใกล้ชิดอีกท่านหนึ่งที่อดจะกล่าวถึงไม่ได้คือผู้ร่วมชะตากรรมคือผู้เป็นพ่อนั่นเอง ฉนั้นเราจึงพบข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ ๆ ว่า เด็กที่เกิดมาจึงไปสถิตอยู่ในที่  ที่เด็กเกิดใหม่ไม่ควรจะไปอยู่  คงเข้าใจนะครับ  เด็กพวกนี้ถ้ามีชีวิตรอดคือก็โชคดีหน่อย แต่ไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร บางคนก็พิการ  บางทีมีผู้ไปพบก็เสียชีวิตแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้มีสุนัขไปพบเด็กทารกพึ่งจะคลอดแม่ผู้ให้กำเนิดนำไปทิ้งที่บริเวณกองขยะ แต่สุนัขไปพบและคาบมาให้เจ้าของ เด็กรอดชีวิตแต่หามนุษย์เดรฉานที่นำไปทิ้งไม่ได้ พอดีมีสัตว์ษยธรรมไปพบเข้า 



     แก่ คำนี้ บางท่านไม่อยากคบหาสมาคมด้วย จึงมีความพยายามที่หลีกหนีความแก่ที่ติดตามเราไปเหมือนเงาตามตัวทั้งในความเป็นจริงเราไม่สามารถจะหลีกหนีมันพ้น จึงมีการหาวิธีมาชลอความแก่ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริม ตัวยาชลอความแก่ที่โฆษณาเกินความเป็นจริงรวมทั้งเครื่องประทินโฉม
จะเรียกว่าทำใจไม่ค่อยได้ก็ไม่ผิดจากความเป็นจริงไปเสียเท่าไหร่ก็ได้ ท่านที่ได้มาอ่านบทความนี้ผมขอให้ปลงเสียเถอะครับ ความแก่ไม่ใช่สิ่งที่น่าวิตกหรือเสียหายแต่อย่างไรเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงทางสรีระเท่านั้นเองเป็นการเตือนสติตัวเราเองด้วยว่าเราเกิดมาครบแล้ว คือ เกิด แก่ เจ็บ และตาย ถือว่าโชคดีที่สุดในชีวิต พบกับประสบการณ์ ในแต่ละช่วงของชีวิต ไม่ขาดไม่เกิน พอดี ๆ บางคนเกิดแต่่ไม่ทันจะแก่ก็มาตายเสียก่อน เลยไม่รู้ว่าแก่เป็นอย่างไร เจ็บเป็นอย่างไร และตายตามขั้นตอนเป็นอย่างไร ไม่มีเวลาคิดไม่มีเวลาทบทวน ตายแบบไม่รู้ตัวว่าจะเกิดเสียด้วยซ้ำไป เพราะโดนพ่อและแม่ปรึกษากันวางแผนเด็ดชีวิตลูกตัวเอง เรียกว่า สังคมไม่รับผิดชอบ ก็ว่าได้ (เป็นวิชาการหน่อย)


   เจ็บ คำนี้เป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้เลย ดูเหมือนจะไม่ค่อยจะมีมารยาทด้วยซ้ำไปคือแกชอบแซงคิวอยู่เสมอ จะว่าก็ไม่ได้จะตักเตือนพี่แกก็ไม่ฟัง แต่ยังพอมีทางหลบเลี่ยง และแก้ไข้ได้บ้าง คือทำหนักให้เป็นเบา คือความไม่ประมาท ที่พอจะเตือนความเจ็บป่วยได้บ้า้งเหมือนกัน บางคนก็ป่วยมาแต่เกิด คือเกิดก็มีโรคติดตัวมาเลยอันนี้ก็ต้องทำใจและทำให้ความเจ็บป่วยอยู่กับเราให้ได้  บางคนมาเจ็บตอนวัยรุ่นวัยคนอง เพราะความประมาท ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นบ่อย ๆ  แต่ความเจ็บอีกแบบหนึ่ง
เราเรียกว่าเจ็บทางความรู้สึก บางทีก็เรียกว่าเจ็บใจ เสียความรู้สึก  อารมณ์ไม่ดี เป็นคนเจ้าอารมณ์
เอาแต่ใจตัวเอง เก็บความรู้สึกไม่เป็น มองเห็นผู้อื่นด้วยความหวาดระแวงไปหมด แบบนี้ใช่ว่าจะไม่ทางรักษา แต่การรักษาต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อน เปิดใจให้กว้าง มองชีวิตให้เป็นธรรมชาติ ป่วยทางจิตนั้นรักษายาก บ้านเมืองเรา (เมืองไทย) มีผู้นำบางคนเป็นโรคทางจิตกันค่อนข้างมาก บางท่านก็แพ้ไม่เป็น สุดท้ายก็ต้องแพ้สังขารตัวเองและการแพ้สังขารตัวเองนั้นทรมาน(ใจ) มาก การถูกสาปแช่ง ด่าท้อ เสียดสี จะทำให้ผู้ป่วยทางจิตมีอาการหนัก และจะจากโลกนี้ไปอย่างทุรนทุราย (Unbowed)



    ตาย คือบทอวสานของชีวิตก็คือทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นความรู้สึกครั้งสุดท้ายจะเป็นสิ่งที่สวยงามสำหรับผู้อยู่ในศีลในธรรมขอพูดสั้น ๆ นะครับว่า "จากโลกนี้ไปแล้วก็ให้ลูกหลานของท่านของผู้วายชนม์มีที่ยืนหายใจบนโลกใบนี้บ้างอย่าทำให้ลูกหลานของท่านผู้ยิ่งใหญ่บางคนที่ล่าโลกนี้ไปแล้วอยู่บนโลกใบนี้ลำบากเพราะการกระทำอันเลวระยำของท่าน"  ว่าจะพูดเรื่อง มรณศึกษา แต่ออกนอกเรื่องไปเกือบจะกลับไม่ถูก ต้องขออภัยด้วยครับ

                                    ____________________________ 


                                                          Sampan Chanpa






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น