บันทึกของวันวลิต
ท่านผู้อ่านที่รัก....จากหนังสือพระราชพงศาวดาร เราท่านย่อมทราบกันดีว่า สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า ของพวกเราชาวไทยนั้น เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของ สมเด็จพระมหาธรรมมาธิราช ที่ประสูติแต่ สมเด็จพระวิสุทธิกษัตรีย์ พระราชธิดาของ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และ สมเด็จพระนางเจ้าศรีสุริโยทัย แต่ที่ไม่ค่อยจะทราบทั่ว ๆ ไปกันนั้นก็คือ นอกจากสมเด็จพระวิสุทธิกษัตรีย์พระราชมารดาที่แท้จริงแล้ว สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้ายังทรงมีพระราชมารดาบุญธรรมอยู่อีกท่านหนึ่ง
พระราชมารดาบุญธรรมของสมเด็จพระนเรศวรท่านนี้ เป็นเพียงหญิงสามัญชนธรรมดา ๆ แต่ทีมีบุญวาสนาได้ดำรงตำแหน่งนี้ก็เพราะพระพรหมลิขิตให้เป็นไป นักเขียนชาวฮอลันดาผู้หนึ่งชื่อ แวน ฟลีท หรือที่ออกเสียงเป็นสำเนียงไทยว่า วันวลิต ซึ่งเข้ามาทำงานเป็นหัวหน้าสำนักงานของบริษัทอิสต์อินเดีย ของฮอลันดาในสมัย พระเจ้าปราสาททอง คือในระหว่างปี พ.ศ. ๒๑๗๓ ถึง พ.ศ ๒๑๙๓ ได้ทำบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า
.....คืนหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จอยู่ในเรือเล็กในลำน้ำขณะนั้นได้บังเกิดพายุใหญ่ฝนตกหนัก จนพระองค์ไม่สามารถจะเสด็จ กลับพระราชวังได้......จึงได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นจากเรือเสด็จไปยังกระท่อมหลังหนึ่ง ซึ่งมีหญิงชราที่ยากจนอาศัยอยู่ โดยที่หญิงชราผู้นั้นมิได้รู้จักพระองค์มาก่อน เมื่อเสด็จเข้าไปในกระท่อมนั้นแล้ว ก็ทรงตรัสออกมาด้วยพระสุรเสียงอันดัง ฝ่ายหญิงชราได้ยินพระสุรเสียงอันดังก็ตกใจกลัวเป็นยิ่งนัก กล่าวว่า ลูกเอ๋ย เจ้าไม่รู้หรือว่าพระเจ้าอยู่หัวของเรา พระองค์อาจเสด็จประทับอยู่ใกล้ ๆ นี้ก็ได้......!
......สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงดังเช่นเดิมว่า แม่เอ๋ย แม้พระเจ้าอยู่หัวจะได้ยินเสียงของข้าก็ช่างปะไร ถึงจะลงอาญาประหารชีวิตข้าเสียก็เป็นไรมี ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เป็นคราวเคราะห์ร้ายของข้าเอง คนอื่น ๆ ก็เคยได้รับเคราะห์เช่นนั้นมาแล้วมากต่อมาก ใครจะได้รู้ตัวมาก่อนก็หาไม่.....
......หญิงชราผู้เป็นเจ้าของกระท่อมได้สดับพระสุรเสียงแล้วก็ยิ่งตกใจกลัว รีบทรุดตัวลงแทบพระยุคลบาท แล้วกล่าวคำวิงวอนด้วยความประหวันพรั่นพรึงว่า ขออย่าให้กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยถ้อยคำเช่นนั้น......
......หญิงชรากล่าวด้วยว่า เทพยดาฟ้าดินได้ส่งพระองค์ลงมาให้แก่พวกเราทั้งปวงแล้ว ฉะนั้นพระองค์จะกระทำกรรมชั่วใด ๆ มิได้ เทพยาดาได้ส่งพระองค์ลงมาให้ลงพระราชอาญาและัให้ทรงตัดสินบาปกรรมของคนอย่างเรา พวกเราจึงควรจะต้องอยู่ในโอวาทของท่านผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน.......
......ยิ่งแม่เฒ่าอ้อนวอนต่อพระองค์ ให้ลดพระสุรเสียงลงเพียงใด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยิ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงดังขึ้นทุกที จนในที่สุดหญิงชรานั้นก็ได้ร้องขอให้พระองค์รีบเสด็จออกจากบ้านตนไปเสีย เพราะถ้าหากประทับอยู่ต่อไป ตนเองก็จะร่วมเป็นโทษด้วย
......สมเ้ด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงตรัสตอบต่อแม่เฒ่าว่า พระองค์เสด็จไป แต่จะขอน้ำจันท์เสวยก่อน.....
......หญิงชราได้ยินเช่นนั้นก็ตอบว่า ลูกเอ๋ย เจ้าก็รู้อยู่ เทศกาลนี้เป็นเทศกาลเข้าพรรษา เมื่อยังอยู่ในพรรษาฉะนี้แล้ว ผู้ใดจะล่วงพระราชอาญาหาซื้อเหล้ามาดืมหาได้ไม่......
.......แต่ถ้าเจ้าต้องการเสื้อผ้าที่แห้ง ๆ อย่างที่แม่นุ่งห่มอยู่นี้แล้ว แม่ก็จะหาให้ แม่จะซักแล้วตากเสื้อที่เจ้านุ่งอยู่ให้แห้ง เจ้าจงเข้าไปพักผ่อนนอนหลับเสียก่อนเถิด.....
......สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยอมรับผ้าผ่อนจากหญิงชรานั้นมาผลัดพระภูษาทรง แล้วมอบพระภูษานั้นแก่หญิงผู้นั้นไปซักตากให้แห้ง แต่ก็ยังคงตรัสเรียกเอาน้ำจันท์มาเสวยอยู่ดีตรัสว่าไม่มีพระราชประสงค์จะให้ข้อพระราชกำหนดอันเคร่งครัดของพระเจ้าแผ่นดินดังกล่าวนั้นมาผูกมัดพระองค์ หญิงชรานั้นจึงจำใจรินสุราใส่ถ้วยมาถวายแล้วสาบานว่าสุรานั้นตนได้ซื้อหามาไว้ตั้งแต่ก่อนเทศกาลเข้าพรรษา เมื่อเข้าพรรษาแล้วก็ไม่ได้ดืมสุรานี้เลย และเมื่อหญิงชราถวายสุราต่อพระเจ้าอยู่หัวพล่างก็ขอสัญญาจากพระองค์ไปพล่างว่า จะมิทรงแพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้ใดทราบ......
( หมายเหตู อ่านบันทึกของวันวลิตถึงตอนนี้มีข้อน่าคิดและน่าสังเกตได้สองอย่าง อย่างแรกก็คือ สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าของเรานั้นก็ทรงโปรดเสวยน้ำจันท์เช่นเดียวกับสมเด็จพระเจ้าตากสิน อย่างที่สอง ก็คือหญิงไทยในอดีตมีความก้าวหน้าในเรื่องสุรายาเมามาตั้งแต่โบราณกาล มิพักแต่จะตะบันหมากตะพึดตะพืออยู่แต่เพียงอย่างเดียว )
.....ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัว เมื่่่่่่อเสวยน้ำจันท์แล้ว แม่เฒ่าก็นำพระองค์ไปบรรทมบนเสื่อผืนเล็กของตน แล้วจึงนำเอาพระภูษาทรงไปซักและย่างไฟให้แห้ง เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรรทมตื่น ก็ทรงผลัดพระภูษาที่แห้งแล้ว ตรัสขอบใจหญิงชราแล้วทรงอำลา แม่เฒ่ากล่าวว่า ลูกเอ๋ย เจ้าจงอยู่ที่นี่จนสว่างเสียก่อนเถิด หรือถ้าจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ก็จงพายเรือไปเงียบ ๆ อย่าให้มีเสียงดังไปถึงพระกรรณของพระเจ้าอยู่หัว โทษภัยจะมีมาถึงตัวลูก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสตอบว่า ข้าจะทำดังว่านั้น แล้วก็เสด็จด้วยเรือเล็กตรงไปยังหมู่ตำรวจที่มาลอยเรือคอยอารักขาอยู่ไม่ไกลจากกระท่อมของหญิงชราผู้นั้น......
วันวลิต เขียนเล่าต่อไปอีกว่า
......ในวันรุ่งขึ้น สมเด็จพระเจ้าอยูหัวก็มีพระราชดำรัสสั่งให้จัดเรือกัญญามีบุษบกไปรับหญิงชรา ณ กระท่อมน้อยที่พระองค์เสด็จมาประทับแรมเมื่อคืนก่อน เรือกัญญาลำนี้เป็นเรือพระที่นั่งทรงของสมเด็จพระราชชนนี ที่ทรงใช้งานในพระราชพิธีเต็มยศใหญ่ พระภูษาที่ทรงในคืนนั้น ก็ให้อัญเชิญไปในเรือพระที่นั่ง พร้อมกับมีพระราชดำรัสสั่งมหาดเล็ก ให้นำพระภูษาทรงดังกล่าวไปแสดงต่อหญิงชราผู้นั้น แล้วให้นำเอาตัวหญิงชราผู้นั้นเข้ามาเฝ้าพระองค์....
.......ฝ่ายหญิงชราผู้นั้น เมื่อเห็นมหาดเล็กพากันเดินเข้ามาหาตนก็ตกใจจนตัวสั่น คิดว่าพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงทราบถึงเหตุที่เกิดขึ้นในบ้านของตนเองในตอนกลางคืนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่ามหาดเล็กจะปลอบประโลมว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสใช้ให้มารับ หญิงชราก็มิได้เชื่อว่าตนจะพ้นพระราชภัย เฝ้าแต่วิงวอนให้มหาดเล็กกลับไปกราบบังคมทูลว่า ตนได้ตกใจตายเสียแล้ว.....
........และด้วยอาการอันน่าสมเพชในขณะนั้น แม่เฒ่าคิดอยู่แต่เพียงว่า จะหนีไปพึ่งพระสงฆ์ให้ช่วยชีวิตของตนไว้ แต่เหล่ามหาดเล็กก็มิได้ฟังเข้าเกาะกุมเอาตัวแม่เฒ่าไว่้โดยอาการสุภาพน้อบน้อมช่วยกันแต่งกายให้ แล้วนำขึ้นเรือกัญญาแจวมายังพระราชวังและนำขึ้เฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.....
.......เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรเห็นหญิงชรานั้นแล้ว ก็เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปรับมือแม่เฒ่า แล้วตรัสว่าพระองค์คือคนที่เข้าไปนอนค้างคืนในกระท่อมของนาง และแม่เฒ่านั้นได้มีอุปการคุณแก่พระองค์ถึงกับรับพระองค์เป็นบุตร ฉะนั้น ตั้งแต่เพลานี้เป็นต้นไป เราจะเรียกท่านว่าแม่ และจะรักท่านเช่นเดียวกับมารดาบังเกิดเกล้าของเรา
มีพระราชดำรัสดังนี้แล้ว ก็ทรงมีรับสังให้จัดตำหนักในพระราชวัง ให้หญิงชราผู้นั้นได้พำนักอาศัย แล้วทรงอุปการะเลี้ยงดูจนหญิงชราผู้นั้นถึงกาลเวลาแห่งตน ประดุจว่าทรงเป็นพระราชมารดาของพระองค์โดยแท้จริง เมื่อหญิงชรานั้นล่วงลับดับขันฑ์ไปก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระราชทานเพลิงศพเช่นเดียวกับพระบรมศพพระอัครมเหษีของพระองค์
เรื่องของแม่เฒ่าผู้โชคดีก็เอวังลงด้วยประการฉะนี้
.....คืนหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จอยู่ในเรือเล็กในลำน้ำขณะนั้นได้บังเกิดพายุใหญ่ฝนตกหนัก จนพระองค์ไม่สามารถจะเสด็จ กลับพระราชวังได้......จึงได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นจากเรือเสด็จไปยังกระท่อมหลังหนึ่ง ซึ่งมีหญิงชราที่ยากจนอาศัยอยู่ โดยที่หญิงชราผู้นั้นมิได้รู้จักพระองค์มาก่อน เมื่อเสด็จเข้าไปในกระท่อมนั้นแล้ว ก็ทรงตรัสออกมาด้วยพระสุรเสียงอันดัง ฝ่ายหญิงชราได้ยินพระสุรเสียงอันดังก็ตกใจกลัวเป็นยิ่งนัก กล่าวว่า ลูกเอ๋ย เจ้าไม่รู้หรือว่าพระเจ้าอยู่หัวของเรา พระองค์อาจเสด็จประทับอยู่ใกล้ ๆ นี้ก็ได้......!
......สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงดังเช่นเดิมว่า แม่เอ๋ย แม้พระเจ้าอยู่หัวจะได้ยินเสียงของข้าก็ช่างปะไร ถึงจะลงอาญาประหารชีวิตข้าเสียก็เป็นไรมี ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เป็นคราวเคราะห์ร้ายของข้าเอง คนอื่น ๆ ก็เคยได้รับเคราะห์เช่นนั้นมาแล้วมากต่อมาก ใครจะได้รู้ตัวมาก่อนก็หาไม่.....
......หญิงชราผู้เป็นเจ้าของกระท่อมได้สดับพระสุรเสียงแล้วก็ยิ่งตกใจกลัว รีบทรุดตัวลงแทบพระยุคลบาท แล้วกล่าวคำวิงวอนด้วยความประหวันพรั่นพรึงว่า ขออย่าให้กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยถ้อยคำเช่นนั้น......
......หญิงชรากล่าวด้วยว่า เทพยดาฟ้าดินได้ส่งพระองค์ลงมาให้แก่พวกเราทั้งปวงแล้ว ฉะนั้นพระองค์จะกระทำกรรมชั่วใด ๆ มิได้ เทพยาดาได้ส่งพระองค์ลงมาให้ลงพระราชอาญาและัให้ทรงตัดสินบาปกรรมของคนอย่างเรา พวกเราจึงควรจะต้องอยู่ในโอวาทของท่านผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน.......
......ยิ่งแม่เฒ่าอ้อนวอนต่อพระองค์ ให้ลดพระสุรเสียงลงเพียงใด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยิ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงดังขึ้นทุกที จนในที่สุดหญิงชรานั้นก็ได้ร้องขอให้พระองค์รีบเสด็จออกจากบ้านตนไปเสีย เพราะถ้าหากประทับอยู่ต่อไป ตนเองก็จะร่วมเป็นโทษด้วย
......สมเ้ด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงตรัสตอบต่อแม่เฒ่าว่า พระองค์เสด็จไป แต่จะขอน้ำจันท์เสวยก่อน.....
......หญิงชราได้ยินเช่นนั้นก็ตอบว่า ลูกเอ๋ย เจ้าก็รู้อยู่ เทศกาลนี้เป็นเทศกาลเข้าพรรษา เมื่อยังอยู่ในพรรษาฉะนี้แล้ว ผู้ใดจะล่วงพระราชอาญาหาซื้อเหล้ามาดืมหาได้ไม่......
.......แต่ถ้าเจ้าต้องการเสื้อผ้าที่แห้ง ๆ อย่างที่แม่นุ่งห่มอยู่นี้แล้ว แม่ก็จะหาให้ แม่จะซักแล้วตากเสื้อที่เจ้านุ่งอยู่ให้แห้ง เจ้าจงเข้าไปพักผ่อนนอนหลับเสียก่อนเถิด.....
......สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยอมรับผ้าผ่อนจากหญิงชรานั้นมาผลัดพระภูษาทรง แล้วมอบพระภูษานั้นแก่หญิงผู้นั้นไปซักตากให้แห้ง แต่ก็ยังคงตรัสเรียกเอาน้ำจันท์มาเสวยอยู่ดีตรัสว่าไม่มีพระราชประสงค์จะให้ข้อพระราชกำหนดอันเคร่งครัดของพระเจ้าแผ่นดินดังกล่าวนั้นมาผูกมัดพระองค์ หญิงชรานั้นจึงจำใจรินสุราใส่ถ้วยมาถวายแล้วสาบานว่าสุรานั้นตนได้ซื้อหามาไว้ตั้งแต่ก่อนเทศกาลเข้าพรรษา เมื่อเข้าพรรษาแล้วก็ไม่ได้ดืมสุรานี้เลย และเมื่อหญิงชราถวายสุราต่อพระเจ้าอยู่หัวพล่างก็ขอสัญญาจากพระองค์ไปพล่างว่า จะมิทรงแพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้ใดทราบ......
( หมายเหตู อ่านบันทึกของวันวลิตถึงตอนนี้มีข้อน่าคิดและน่าสังเกตได้สองอย่าง อย่างแรกก็คือ สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าของเรานั้นก็ทรงโปรดเสวยน้ำจันท์เช่นเดียวกับสมเด็จพระเจ้าตากสิน อย่างที่สอง ก็คือหญิงไทยในอดีตมีความก้าวหน้าในเรื่องสุรายาเมามาตั้งแต่โบราณกาล มิพักแต่จะตะบันหมากตะพึดตะพืออยู่แต่เพียงอย่างเดียว )
.....ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัว เมื่่่่่่อเสวยน้ำจันท์แล้ว แม่เฒ่าก็นำพระองค์ไปบรรทมบนเสื่อผืนเล็กของตน แล้วจึงนำเอาพระภูษาทรงไปซักและย่างไฟให้แห้ง เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรรทมตื่น ก็ทรงผลัดพระภูษาที่แห้งแล้ว ตรัสขอบใจหญิงชราแล้วทรงอำลา แม่เฒ่ากล่าวว่า ลูกเอ๋ย เจ้าจงอยู่ที่นี่จนสว่างเสียก่อนเถิด หรือถ้าจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ก็จงพายเรือไปเงียบ ๆ อย่าให้มีเสียงดังไปถึงพระกรรณของพระเจ้าอยู่หัว โทษภัยจะมีมาถึงตัวลูก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสตอบว่า ข้าจะทำดังว่านั้น แล้วก็เสด็จด้วยเรือเล็กตรงไปยังหมู่ตำรวจที่มาลอยเรือคอยอารักขาอยู่ไม่ไกลจากกระท่อมของหญิงชราผู้นั้น......
วันวลิต เขียนเล่าต่อไปอีกว่า
......ในวันรุ่งขึ้น สมเด็จพระเจ้าอยูหัวก็มีพระราชดำรัสสั่งให้จัดเรือกัญญามีบุษบกไปรับหญิงชรา ณ กระท่อมน้อยที่พระองค์เสด็จมาประทับแรมเมื่อคืนก่อน เรือกัญญาลำนี้เป็นเรือพระที่นั่งทรงของสมเด็จพระราชชนนี ที่ทรงใช้งานในพระราชพิธีเต็มยศใหญ่ พระภูษาที่ทรงในคืนนั้น ก็ให้อัญเชิญไปในเรือพระที่นั่ง พร้อมกับมีพระราชดำรัสสั่งมหาดเล็ก ให้นำพระภูษาทรงดังกล่าวไปแสดงต่อหญิงชราผู้นั้น แล้วให้นำเอาตัวหญิงชราผู้นั้นเข้ามาเฝ้าพระองค์....
.......ฝ่ายหญิงชราผู้นั้น เมื่อเห็นมหาดเล็กพากันเดินเข้ามาหาตนก็ตกใจจนตัวสั่น คิดว่าพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงทราบถึงเหตุที่เกิดขึ้นในบ้านของตนเองในตอนกลางคืนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่ามหาดเล็กจะปลอบประโลมว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสใช้ให้มารับ หญิงชราก็มิได้เชื่อว่าตนจะพ้นพระราชภัย เฝ้าแต่วิงวอนให้มหาดเล็กกลับไปกราบบังคมทูลว่า ตนได้ตกใจตายเสียแล้ว.....
........และด้วยอาการอันน่าสมเพชในขณะนั้น แม่เฒ่าคิดอยู่แต่เพียงว่า จะหนีไปพึ่งพระสงฆ์ให้ช่วยชีวิตของตนไว้ แต่เหล่ามหาดเล็กก็มิได้ฟังเข้าเกาะกุมเอาตัวแม่เฒ่าไว่้โดยอาการสุภาพน้อบน้อมช่วยกันแต่งกายให้ แล้วนำขึ้นเรือกัญญาแจวมายังพระราชวังและนำขึ้เฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.....
.......เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรเห็นหญิงชรานั้นแล้ว ก็เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปรับมือแม่เฒ่า แล้วตรัสว่าพระองค์คือคนที่เข้าไปนอนค้างคืนในกระท่อมของนาง และแม่เฒ่านั้นได้มีอุปการคุณแก่พระองค์ถึงกับรับพระองค์เป็นบุตร ฉะนั้น ตั้งแต่เพลานี้เป็นต้นไป เราจะเรียกท่านว่าแม่ และจะรักท่านเช่นเดียวกับมารดาบังเกิดเกล้าของเรา
มีพระราชดำรัสดังนี้แล้ว ก็ทรงมีรับสังให้จัดตำหนักในพระราชวัง ให้หญิงชราผู้นั้นได้พำนักอาศัย แล้วทรงอุปการะเลี้ยงดูจนหญิงชราผู้นั้นถึงกาลเวลาแห่งตน ประดุจว่าทรงเป็นพระราชมารดาของพระองค์โดยแท้จริง เมื่อหญิงชรานั้นล่วงลับดับขันฑ์ไปก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระราชทานเพลิงศพเช่นเดียวกับพระบรมศพพระอัครมเหษีของพระองค์
เรื่องของแม่เฒ่าผู้โชคดีก็เอวังลงด้วยประการฉะนี้