เรื่องทุกเรื่องเป็นอดีตไปหมดแล้ว เกิดจากความจำ เกิดจากอารมณ์ขำ อ่านแล้วไม่เครียด อ่านแล้วขำลึก ๆ นึกขึ้นมาที่ไรก็เบิกบานทุกครั้ง
วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556
สิริมงคลตามประสา เซ็น
นิทาน ตามประสา เซ็น
นิทานที่จะเล่าต่อไปนี้ขอท่านทั้งหลายตั้งใจอ่านและตั้งคำถาม ๆ ต่อตัวท่านเองด้วยผมไม่ได้มีจิตโน้มน้าว จะแก้ข้อครหา และความเข้าใจผิดของบางคนได้เป็นอย่างดี ที่กล่าวหาว่าคำสอน เซ็น นั้น ลึกซึ้งนัก เหนือเมฆเกินวิสัย แล้วยังโทษเอาอาจารย์ผู้สอน ว่าแกล้งยักย้ายคำพูดให้เป็นเรื่องยาก ทำเอามนุษย์มะนาเขาฟังเป็นของสูงของศักดิ์สิทธิ์ไปเสีย ที่แท้แล้ว มันกลับกัน คือทางพุทธศาสนาอย่างเซ็นนั้นต่างหากที่กล่าวซื่อ ๆ ถูกตรงกับความเป็นไปของคนเรา และพยายามให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ที่สุด แต่ชาวบ้านเสียอีกมีความอยากความ
ปรารถนำหน้าเป็นเจ้าเรือน ขี้มักนึกว่าโลกนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
เราท่านทุกคน ย่อมทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าประเพณีดังเดิมในหมู่คนจีน คนเกาหลี คนญี่ปุ่น เขามีความเชื่อถือเหมื่อนกันอย่างหนึ่ง คือ ทุกบ้านทุกช่องจะจัดที่ไว้แห่งหนึ่งให้เป็นหิ้งสังเวยศักดิ์สิทธิ์ สำหรับไหว้ผี ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้เทพ ตลอดจนเซ่นไหว้เซียน ตามแต่จะถือว่าเหี้ยน สามารถดลบันดาลอะไรก็ได้ชะงัดแท้ ตามเสาเรือนที่สำคัญ ๆ ก็นิยมมีกระดาษแถบแดงยาว ๆ เขียนภาษิตที่ลึกซึ้งเป็นคำของนักปราชญ์ให้เห็นเป็นที่สะดุดตา เพื่อกราบไหว้บูชา ถือว่าเป็นสิ่งอำนวยพร และให้ความเป็นศิริมงคลทุกค่ำเช้า
ในญี่ปุ่นสมัยหนึ่ง ยังมีชายวัย ๖๐ ปี คนหนึ่ง สร้างตนสร้างครอบครัวขึ้นมาด้วยความอุตสาหะ จนได้เป็นเศรษฐี เจ้าของทรัพย์ มีบุตรหลาน และพรั่งพร้อมด้วยยความนับหน้าถือตา มีความเป็นปึกแผ่นของตระกูลทันชั่วชีวิตเดียว เมื่อเศรษฐีเริ่มเข้าสู่วัยชรา ก็มาคำนึงถึงกาลข้างหน้า อยากจะให้ความมั่งมีศรีสุขอย่างนี้ยั่งยืนไปตลอดกาลนาน แต่มันมาจนใจตรงที่ว่า ตนเองจะต้องละโลกนี้ไปในไม่ช้าแล้ว ตราบที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังเชื่อว่าตนจะมีวิธีครอง ความเป็นเศรษฐีอย่างนี้ไปได้ไม่ให้เพลี่ยงพล้ำ เพราะตนได้รู้เคล็ดลับในเรื่องนี้มาแล้ว มายากใจตรงที่ว่าความตายจะมาสะกัดตัดสิทธิ์ไม่ให้เสวยผลจากหยาดเหงื่อ อย่างที่แกไม่มีทางหลีกเลี่ยง ดูมันไม่เป็นการยุติธรรมของฟ้าดินแม้แต่น้อย ต่อไปชั่วลูก-ชั่วหลานเล่าจะมีหลักประกันอันใด ที่เขาจะรักษาทรัพย์สมบัติอันมหาศาลอันนี้ไว้ได้ไม่เสื่อมถอย ตลอดเวลาที่แกยังนึกหาช่องทางที่ให้ความมั่นคงในอนาคตจนเป็นที่อุ่นใจเพียงพอไม่ได้ เศรษฐีจะนอนตายตาไม่หลับ
หลังจากใคร่ครวญ หาช่องทางไปทุกอย่างทุกวิธีอยู่นานหลายปี ตามประสาของแกที่มีระดับการศึกษา และมันสมองเพียงเท่านั้น ก็พบว่าไม่มีช่องทางใดที่ทำให้แกแน่ใจได้ เพราะไม่มีอะไรจะอยู่คอยช่วยคุ้มไปได้หลาย ๆ ชั่วคน มีหวังอยู่ทางเดียวก็คือหันหน้าเข้าหาทางพระ ทางอภินิหารศักดิ์สิทธิ์ เพราะนี่แหละจะคงมีอำนาจที่มองไม่เห็นตัว แต่สามารถทรงอยู่เพื่อดำรงให้ความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้ามภพข้ามชาติ ไม่ว่ากี่ชั่วอายุคน แม้ลูกหลานที่อยู่ในเวลานี้จะล้มหายตายจากไปแล้วก็ตาม ลูกหลาน ของลูกหลานต่อ ๆ ไป ก็จักสามารถรักษาความเป็นมหาเศรษฐีนี้ไว้ได้เรื่อยไป ในเวลานั้นทางพุทธศาสนา ก็ไม่มีใครเกินกว่า หลวงพ่ออาจารย์ใหญ่ฝ่ายเซ็นชื่อ ซีนก่าย ผู้เป็นพระเถระยิ่งใหญ่เป็นที่กราบไหว้ของมหาชนทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นครูบาอาจารย์ของบ้านของเมืองทีเดียว
เศรษฐีจึงเข้าไปบอกความตีบตันหัวใจทั้งหมดโดยตลอด และขอให้หลวงพ่อได้ช่วยเขียนเจิมตัวคาถา เพื่อจะเป็นมหาสิริมงคล บันดาลให้จำเริญมากมูลยิ่ง ๆ ทำมาค้าขึ้น ทั้งในเวลานี้ และในภายภาคหน้า ชั่วลูกชั่วหลานตราบเท่าที่คาถาวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อ จะสถิตอยู่อำนวยความศักดิ์สิทธิ์คุ้มมครอง เป็น พรอันประเสริฐตลอดไป ฉะนั้นจึงขอนิมนต์หลวงพ่อไปทำพิธี และฉันอาหารบิณฑบาตที่บ้าน
ในวันพิธี เศรษฐีได้เชิญแขกเหรื่อ รวมหมดทั้งที่เป็นญาติ และมิใช่ญาติมากมาย โดยเฉพาะเกณฑ์ลูกเกณฑ์หลานเหลนทุกคนให้อยู่พร้อมหน้ากัน กิจธุระทุกอย่างให้พักไว้ก่อน พอถึงเวลา หลวงพ่อท่านก็รับม้วนกระดาษแดงมาคลี่ เอาพู่กันจุ่มน้ำหมึกอย่างไม่มีพิธีรีตอง วินาทีนั้นทุกคนพากันอึดลมหายใจไปตาม ๆ กันต่างก็พุ่งจิตใจทั้งหมด ไปยังปลายพู่กันอันทรงพลานุภาพเร้นลับนั้น ดูทีว่าหลวงพ่อท่านจะลากน้ำหมึกให้เป็นตัวอักษรมงคลว่าอย่างไร.......
และแล้วหลวงพ่อก็ป้ายน้ำหมึกไขว้ไปไขว้มาอย่างรวดเร็วเป็นตัวอักษร ๓ ตัว เรียงจากบนมาล่าง ข้อควมาดังมีนี้
ให้พ่อแม่ ตายก่อน
แล้ว ลูกตาย
และ หลานเหลน จึงตาย !!!!
ทุกคนปากอ้าตาค้าง ตัวท่านเศรษฐีหันมาทางหลวงพ่อ ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ จะต่อว่าอะไรหลวงพ่อก็ไม่ได้ เพราะท่านเป็นพระผู้ใหญ่ เกินกว่าจะมีใครกล้าฮึดฮัดไม่พอใจ เศรษฐีได้แต่หลุดปากออกมาคำหนึ่งว่า "โอย! หลวงพ่อครับ?" แล้วเสียงก็หายเข้าไปในลำคอ เงียบนิ่งไปหมด
หลวงพ่อซีนก่าย เห็นเป็นโอกาสแสดงธรรมในเวลาอันถูกกาละเทศะที่สุด ในเมื่อมีลูกหลาน
อยู่พร้อมหน้า และทุกคนกำลังฟังท่านอยู่ทีเดียว ท่านเริ่มเอ่ยเสียงเป็นปกติว่า
" ลูกเอ๋ย ! พ่อมิได้หยอกล้อ ทำเป็นเล่นเลย อันว่า ตาย นี้แหละเป็นเรื่องจริงที่ใคร ๆ จะหลีกไม่ต้องให้พบนั้นไม่ได้ ฉะนั้นพรที่พ่อให้ลูกทั้งหลายจะไปขัดไปฝืนกับตายไม่ได้ ถ้าได้ก็จะเป็นขัอเท็จ ไม่สำเร็จเป็นพรเป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์ไปเสียละซิ มีแต่ว่าหากจะตายก็ขอให้ตายเรียงกันก่อนหลังยังพอทำเนา ความทุกข์เท่าที่เป็นคนอยู่ทุกวันนี้ ก็มีอยู่มากหนักแปร้อยู่แล้ว พวกเจ้าทั้งหลายอย่าต้องมาเสียน้ำตา ด้วยความทุกข์ปริเทวนาการแสนสาหัสในเมือมีลูกมีหลานมาด่วนตายไปก่อนตนอีกเลย เหตุการณ์ที่จะให้แต่ทุกข์ระทมหม่นไหม้ทับทวี อันเกิดจากที่มา
ชิงตายไม่เป็นส่ำ ลูกมาตายก่อนพ่อก่อนแม่ หลานมาตายก่อนตาก่อนยายก่อนปู่ก่อนย่านั้น
ถ้าบันดาลให้คลายไม่ต้องพานพบได้ พ่อถือว่าเป็นพร และเป็นสิริมงคล ของวงศ์ตระกูลแน่แท้ "
ต่อจากนั้น หลวงพ่อซีนก่าย ก็แสดง มหาศิริมงคล ในที่ชุมนุมนั้นยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก กล่าวคือ
ให้ทุกคนรู้จักว่า เงิน นั้นมันคืออะไรแน่ จะทำอย่างไรกับมันจึงจะได้ประโยชน์มหาศาล และการจะเป็นคนมีเงินโดยไม่ต้องเป็นทุกข์นั้นทำอย่างไร หลวงพ่อซักไซ้ถวนถามอยู่เป็นนาน
แสดงให้ทุกคนในที่นั้นรู้ชัดว่า วิธีที่จะทำกับ เงิน นั้น ได้มีสอนในพุทธศาสนาทั้งสิ้น ในที่สุด
ได้ทำให้หลายคน รวมทั้งท่านเศรษฐีด้วย ได้กลายเป็น เศรษฐีจริง ชนิดที่ไม่ต้องทุกข์เพราะเงินอีกต่อไป เป็นปาฏิหาริย์อย่างเห็นกันสด ๆ ร้อน ๆ นิทานก็จบแล้วครับ
ภาคผนวก
จากเรื่องที่เล่ามานี้ ท่านจะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นปัญหาหนักหน้าของบุคคลชั้นที่มีอันจะกิน
ทั่วไป ฉะนั้นใครที่ไม่มีโชคเป็นเศรษฐี ก็จงรู้เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งเถิดว่าในวงของเหล่าชนผู้ที่
โลกเรียกว่า เศรษฐี นั้น เขาพบปัญหาในหมู่พวกเขาอย่างไร เงินนี่แหละมันคืออะไรกัน?
มันมิใช่เป็นเพียง อีแป๊ะ ธรรมดา ๆ ที่นำเอาออกมานับเพื่อชื่นใจเท่านั้น มันยังมีอะไรสิงอยู่ในนั้น สำหรับจะกดถ่วงหัวใจใครต่อใครได้ด้วย ทำให้เขาคนนั้นเป็นผู้หมดความสุข ทั้ง ๆ ที่คน
อื่นพากันอิจฉานึกว่าได้ดีไปแล้ว อย่างตัวอย่างเศรษฐีในนิทานเรื่องนี้ว่าที่จริงก็น่าเห็นใจ เพราะไม่ว่าทุกกาลทุกสมัย ต้องมีคนคิดอย่างแกนี้แน่นอน และมีปัญหาตีบตันใจอย่างนี้แน่นอน เว้นแต่จะพูดหรือไมม่พูดให้ใครรู้เท่านั้น แกอยากจะให้แกมีชีวิตอยู่ค้ำฟ้า ถ้าค้ำฟ้าไม่ได้ เงินทองจำต้องหลุดลอยจากมือแก ก็อยากมีอะไรมาเป็นหลักประกันมั่นคง ที่สามารถอยู่
ค้ำฟ้า คอยช่วยคุ้มกันมิให้ ความเป็นเศรษฐีนั้นเสียหายละลายจากในชั้นลูกชั้นหลานของแก
ความจริงแกก็คิดถูกทางของแกแล้ว คืออย่างน้อยก็ไม่เตลิดไปเป็นพวกนิยมวัตถุชนิดไม่มีศาสนา แต่ด้วยพื้นความรู้ของแก ทำให้แกคิดได้สูงสุดเพียงจะพึ่งพุทธศาสนาในแง่ที่จะช่วยบันดาลให้แกปราถนาจะได้จริงหรือไม่ ด้วบวิธีใด แกไม่คำนึง เพราะสุดแรงคิดของแกเพียงได้เท่านัน บัญเอิญแกไปพบพระที่เป็นพระจริงไม่เออ ออคอยเอาใจคนมีเงิน จึงทำให้เรื่องทุกเรื่องกระจ่างแก่เศรษฐีจนถึงที่สุด จึงเป็นเรื่องจริงที่เล่ากันมาจนทุกวันนี้
ดูเอาเถิดท่านทั้งหลาย ช่างไปเหมือนแพทย์โรคจิตในปัจจุบัน ที่เขาทำช็อคแก่คนไข้ที่กระหือรือตึงตัง เอาไว้ไม่อยู่ อาจารย์เซ็นก็มีวิธีทำช็อคแก่ผู้เมาวัตถุเหมือนกัน คนพวกนี้มีความคิดแค่โลก ๆ คิดเรื่องอะไรก็ไปติดแค่เรื่องเนื้อหนังทุกที จนไมมีช่องโอกาสได้คิดขุดลึกลงไปแม้นิดเดียว เห็นอะไรทุกสิ่งรู้จักอะไรทุกอย่างเพียงผิว ๆ แล้วก็ป้วนเปี้ยนหลงคิดนึกอยู่
แต่กับสิ่งที่ล่วงอย่างยิ่งเหล่านั้นไปจนตาย อุบายวิธีของท่านอาจารย์ จูงพวกที่โลภจัดอย่างเศรษฐีเหล่านั้น ไปชนกับความจริงที่แท้จริง กล่าวคือความตาย เหมือนเรือลากจูงฉุดเอาเรือพ่วงให้แล่นฉิว แล้วหลบปล่อยให้บรรดาเรือที่ถูกจูงชนเข้ากับตลิงอย่างจัง ความเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ท่านอาจารย์ซินก่ายทำให้ทุกคนชนเข้าโดยแรง กลบสิ่งที่ทุกคนพยายามหลีกเลี่ยง
ปลุกให้เขารู้เสียทีหนึ่งก่อน ถึงธรรมชาติ-ธรรมดาใคร ๆ ก็รู้ แต่ก็ไม่วายเข้ากับตัวเอง เลี่ยงไม่ยอมคิดความที่ต้องตาย ปล่อยให้ตัวเองหลอกตัวเอง ไม่กล้าเผชิญเรื่องที่เป็นจริง
หลังจากทุกคนเปลี่ยนระดับความรู้สึก ตั้งอยู่บนฐานอนิจจังทุกขัง ของทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
ท่านอาจารย์ก็มอบ มหาสิริมงคลให้ในตอนหลัง คือธรรมะชั้นสูง กล่าวคือ อนัตตา ที่จะทำให้
บุคคลรู้จักทำกับทุกสิ่งได้ถูกต้องโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ในที่นี้เอาเงินเป็นวัตถุสำหรับกล่าวเป็นตัวอย่างหากรู้จักเงินถึงที่สุดเพียงอย่างเดียว ก็เท่ากับรู้จักสิ่งอื่น ชื่ออื่น กระทั้งรู้จักชีวิตนี้โดยสิ้นเชิง นับว่าบุคคลคนนั้นกลายเป็นคนไม่อัตคัดขาดแคลนความสุขไปจนตาย แม้จะอยู่ปะปน
ไปกับหมู่ชนที่เขามัวงมระทมทุกข์ เพราะไม่รู้จักอะไรอย่างแท้จริงในโลกนี้
ในพุทธศาสนา สอนให้ทุกคนที่ใคร่จะได้ชื่อว่ารู้อะไร (เช่นรู้จักเงิน) ให้ถึงที่สุด เขาจะต้อง
รู้จักดังต่อไปนี้ คือ
๑. ให้รู้จัก เงิน นั้น ตามประสาโลกให้ทุกแง่ทุกมุม (อย่างเช่นเคล็ดที่เศรษฐีผู้รู้จักสร้างตัวเองคนนี้รู้)
๒. ให้รู้จัก เงิน ในแง่ที่มันจะอำนวยผลในข้างดี อะไรได้บ้าง กี่อย่าง กี่ทาง ทั้งที่เห็นได้และ
เร็นลับ
๓. ให้รู้จัก เงิน ในแง่ที่มันทำพิษ ให้ผลข้างไม่น่าชอบใจ ร้ายกาจทางไหนอย่างไร กี่ทาง
๔. แล้วจึงให้รู้จักลู่ทางที่จะทำกับมันให้ถูกต้องตามที่โลกเขาสมมติด้วย, แล้วเสวยผลอันเกิดจากที่เงินจะพึงบันดาลในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตให้ครบถ้วนสูงสุดด้วย, แล้วยังมีวิธีทำจิตทำใจ ต่อสิ่งที่เรียกว่า เงิน นั้น มิให้มันมาเป็นเราของเรา ด้วยความที่เห็นมันอยู่ ว่าเป็นอนัตตาด้วย ขอผู้มีอันจะกินทั้งหลาย จงปลอดภัยด้วยอุบายวิธีของพระพุทธเจ้าอย่างนี้
ด้วยกันทุกคนเถิด !! และผู้ที่ไม่อยู่ในข่ายของ ผู้มีอันจะกิน ก็ขออย่าได้ประมาท อย่าจัดตัวเองให้น้อยหน้าไปกว่าคนอื่นได้ มิฉะนั้นจะกลายว่าเป็นคนขาดทั้งทรัพย์ทางโลก และทั้งอริยทรัพย์ ด้วยประการฉะนี้
--------------------------------
สัมพันธ์ จันทร์ผา
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น