เยื่อนเพื่อนรัก
ใช่ครับ "เยื้อน" คือเพื่อนของผมที่เรียนหนังสือมาด้วยกัน พ่อของเยื้อนมีอาชีพรับจ้างทั่วไป แต่อาชีพหลักคือ ถีบสามล้อรับผู้โดยสารในตลาดสุพรรณบุรี เมื่อห้าสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมกับเยื้อนเรียนหนังสือมาด้วยกันในชั้นประถม ที่โรงเรียนวัดปราสาททอง ผมจำได้ว่าคุณครูใหญ่เป็นผู้หญิงแต่ชื่อของท่านเหมือนผู้ชาย คุณครูประยูร ซึ่งท่านก็สนิทกับคุณพ่อของผม ตอนนั้นพ่อของผมเป็นนักการเมื่องท้องถิ่น และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย ผมจำได้ว่าท่านสังกัดพรรค"เสรีมนังคศิลา" ผมกับน้องชายก็เรียนที่โรงเรียนนี้ เยื้อนเป็นเด็กซนมากและก็อยู่ไม่สุก (Restless children) อุปกรณ์การเรียนของ เยื้อน เพื่อนของผมไม่ต้องถาม แค่เยื้อนมาโรงเรียนได้เกือบทุกวันก็นับว่าอัศจรรย์แล้ว วันไหนถ้าเยื้อนมาโรงเรียนไม่ถูกดุก็ถูกทำโทษ ส่วนใหญ่จะโดนทั้งถูกดุและถูกลงโทษเสมอ แต่นั่นก็ไม่ถึงกับเป็นสาเหตุที่ทำให้เยื้อนถึงกับขาดเรียนเสื้อผ้าชุดนักเรียนของเยื้อน ผมคิดว่าคงมีอยู่ชุดเดียว แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจ ผมจำได้ว่าเสื้อนักเรียนของเยื้อนมีเม็ดกระดุมไม่ครบเวลาติดกระดุมเสื้อบางครั้งก็ไม่สัมพันธ์กัน จึงทำให้ชายเสื้อไม่เท่ากัน แต่เยื้อนก็เรียนหนังสือเก่งกว่าคนทุกคนในห้องร่วมทั้งผมด้วย
แล้ววันโลกาวินาศก็มาถึง จริง ๆ แล้วผมไม่อยากที่จะใช้คำนี้ แต่สมัยนั้นแม้แต่ตัวผมเองก็ตกใจเหมือนกัน ผมจำได้ว่า พวกเราเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๔ ในขณะนั้นครูที่สอนพวกเรามีเพียงคนเดียวในแต่ละห้อง เรียกว่า ครูประจำชั้นก็ได้ แต่เผอิญวันนั้นครูประจำชั้นไม่อยู่ คุณครูใหญ่จึงได้ให้ คุณครูจรูญ ผมจำนามสกุลของท่านไม่ได้ มาสอนแทน จริง ๆ แล้ว ท่านเป็นครูพิเศษสอนวิชาเรขาคณิตประถมปลาย แต่วิชาพละท่านก็สอน วิชาขับร้องดนตรีท่านก็สอน ผมมาคิดดูแล้วท่านเก่งสอนได้ทุกวิชาและถ้าครูคนใดขาดท่านก็จะเข้าสอนแทนได้ทุกห้อง
และตัวของเยื้อนเองก็ถูกคุณครูจรูญทำโทษอยู่บ่อย ๆ วันนั้นท่านถือวงเวียนไม้กับผลส้ม--- -เขียวหวานมาสอนแทนครูประจำชั้น ผมเองก็ยังไม่รูเลยว่าท่านจะสอนวิชาอะไร แต่เยื้อนก็โดนดุก่อนแล้วเพราะความซน และเกาโน่นเกานี่เหมือนกับลิง วันนั้นครูจรูญสอนวิชาภูมิศาสตร์เรื่องโลกกลม
ท่านพยายามอธิบายว่าโลกที่พวกเราอาศัยอยู่นี้มีลักษณะกลมคล้ายผลส้มเขียวหวานที่ท่านนำมา และท่านยังอธิบายต่อไปอีกว่าโลกใบนี้ยังมีการหมุนรอบตัวเอง และหมุนรอบดวงอาทิตย์ รวมทั้งปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่นโลกหมุนรอบตัวเองทำให้เกิดกลางวัน และกลางคืน ส่วนการหมุนรอบดวงอาทิตย์ทำให้เกิดฤดูกาลต่าง ๆ ในระหว่างที่ท่านพยายามอธิบายไปนั้น เยื้อนเองก็ดูเหมือนไม่สนใจ ผมเองในวัยขนาดนั้นก็ไม่รู้เรื่องและไม่ค่อยเข้าใจ (แต่ก็นับว่าท่านตั้งใจสอนมากมีอุปกรณ์การสอนบวกกับความตั้งใจ) แต่ท่านลืมนึกไปว่าวิชาที่ท่านกำลังสอนนั้นน่าจะเป็นของเด็กมัธยมมากกว่า ผมเองเวลานั้นก็ตั้งใจฟังแต่ย่อมรับว่าไม่เข้าใจเรื่องของปรากฏการณ์ กลางวันกลางคืน หรือเรื่องของฤดูกาล และเยื้อนเองจะเข้าใจหรือเปล่าผมเองก็ไม่รู้เพราะความซนเหลือหลายนั่นเอง ขณะเดียวกันครูจรูญท่านเองก็สรุปตอนท้ายว่า "แล้วเรื่องโลกมีลักษณะกลมเหมือนส้มเขียวหวานมีใครสงสัยบ้าง" ทุกคนในห้องเงียบหมด ยกเว้นเยื้อนคนเดียวที่ยกมือขึ้นอย่าว่าแต่ทุกคนในชั้นเรียนที่ไม่เชื้อในสายตาตนเองเลย แม้แต่ครูจรูญเองก็แสดงความรู้สึกไม่ต่างจากพวดเราในชั้นเรียนเท่าไหร่
ต่อไปนี้เป็นคำพูดของคุณครูจรูญ กับเด็กชายเยื้อน
ครูจรูญ "สงสัยอะไรเด็กชาย เยื้อน ครูพูดเธอยังไม่ฟังเล่นตลอด"
เด็กชายเยื้อน "ผมว่าโลกไม่ได้กลมอย่างส้มเขียวหวานที่คุณครูเอามหรอกครับ"
ครูจรูญ " เธอรู้ได้อย่างไรว่าโลกไม่กลมเหมือนส้มเขียวหวานที่ครูเอามา
เธอตอบให้ดีนะ" คุณครูจรูญเริ่มไม่พอใจ
เด็กชายเยื้อน "ผมว่า โลกของเรากลมเหมือนจานกินข้าว"
ครูจรูญ "รู้ได้อย่างไร" เสียงเริ่มดังมากจนพวกผมตกใจ เยื้อนเองก็เงียบ
ครูจรูญ "ว่าไงเยื้อน" เยื้อนก็ยังเงียบ อันนี้เองสร้างจุดเดือดให้ครูจรูญ
ครูจรูญ "จะตอบหรือไม่ตอบไอ้เยื้อน" ตอนนี้เองที่เยื้อนเพื่อนของผมรวบรวมความกล้า
แล้วค่อย ๆ ตอบว่า (ก่อนอื่นผมขอยืนยันว่าเยื้อนตอบออกไปแบบนี้จริงๆ ครับ)
เด็กชายเยื้อน " พ่อของผมเคยพาผมไปเที่ยวงานประจำปีภูเขาทองที่กรุงเทพฯ และพาผมเดิน
ขึ้นไป บนภูเขาทองแล้วมองลงมาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้เหมือนวางอยู่
ในชามกินข้าวครับ" ( ความจริงต้องเป็นจานกินข้าวแต่เด็กสมัยผมเรียกชามกิน
ข้าว )
คุณครูจรูญโกรธมากครับ แกขว้างวงเวียนไม้ลงไปที่โต๊ะของเยื้อนส่วนแหลมของวงเวียนปักอยู่บนโต๊ะสั่นไปมา ผมเห็นเยื้อนตกใจมาก แล้วครูจรูญก็เดินออกจากห้องไป โดยไม่พูดอะไรเลย ผมก็ไม่เข้าใจว่าคุณครูจรูญโมโหเยื้อนเพื่อนของผมเรื่องอะไร และตั้งแต่นั้นมา เยื้อนเพื่อนของผมก็ไม่มาโรงเรียนอีกเลย ผมเคยไปหาเยื้อนที่บ้าน แต่ก็ไม่พบเยื้อนและพ่อของเยื้อน คนแถวนั้นบอกว่าไม่รู้ย้ายบ้านไปอยู่ที่ไหน
ผมมาทบทวนดูว่า เหตุการณ์ในวันนั้นจะไม่เกิดขึ้น ถ้าคุณครูจรูญยอมรับความคิดเห็นของเยื้อน และไม่โมโหจนเกินไป เยื้อนก็พูดไปตามประสาเด็กที่คิดมาอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น และถ้าคุณครูจรูญอธิบายให้เยื้อนได้เข้าใจ ผมคิดว่าวันนี้คงจะมี นายแพทย์เยื้อน หรือวิศวกรเยื้อน ในประเทศไทยอีกคนหนึ่งก็เป็นได้
ผมเองก็เชื่อว่าเยื้อนคงไม่เคยไปภูเขาทอง แน่นอน เพราะเยื้อนเคยพูดกับผมว่าอยากไปเที่ยวงานภูเขาทองมากแต่พ่อไม่เคยพาไปเสียที แต่นั่นไม่ใช่ประเดนสำคัญ แต่ที่ผมสงสัยที่สุดก็คือ เยื้อนสร้างจินตนาการตอนนั้นได้อย่างไร ผมเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน...!!!!!!
____________________________
Sampan Chanpa
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น