ในหลวงเสด็จเยือนสำเพ็ง
เมื่อตอนที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลง คำจีนที่เรียกว่า "เลีะพะ" ซึ่งแปลว่า "จับและตี" หมายถึงการกลุ้มรุมทำร้าย เป็นคำที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในเมืองไทย คนไทยที่เข้าไปเดินอยู่ในย่านคนจีน เมื่อได้ยินเสียงคนร้องขึ้นว่า "เลีะพะ" ก็ต้องวิ่งกันทันที มิฉะนั้นก็จะโดนเลียะพะ
ทั้งนี้เกิดจากคนจีนมีความโกรธแค้นญี่ปุ่นอย่างมาก และหลายคนก็โกรธแค้นมาถึงรัฐบาลไทยที่ร่วมรบกับญี่ปุ่น ประกอบกับได้รับการยุยงจากหน่วยใต้ดินของก๊กมินตั๋งในไทย ว่าจีนเป็น ๑ ใน ๕ชาติมหาอำนาจที่ชนะสงครามในครั้งนี้ และจอมพลเจียงไคเช็ค กำลังจะส่งทหารเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทย ทำให้คนจีนกลุ่มหนึ่งฮึกเหิม โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ขุ่นเคืองการปฏิบัติของตำรวจไทย หวังจะได้แก้แค้น แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ส่งทหารอังกฤษเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทยส่วนทหารก๊กมินตั๋งปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในอิโดจีนเท่านั้น ทำให้คนจีนกลุ่มนี้ผิดหวังอย่างมาก
ในคืนวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๘๘ เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ ผู้คนไปเที่ยวเตร่แถวเยาวราชกันแน่น ราว ๒ ทุ่มได้มีทหารอังกฤษกลุ่มหนึ่งไปนั่งกินเหล้าในร้านแถวเยาวราช แสดงความสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ ได้นำเอาธงชาติจีนขึ้นมาโบก จึงมีคนมายืนมุงดูกันแน่นถนน เผอิญในขณะนั้นมีรถสามล้อเฉี่ยวชนคนจีนคนหนึ่งเขา จึงทำให้มีปากเสียงทะเราะกัน คนจีนกลุ่มหนึ่งได้เข้ากลุ้มลุมทำร้ายคนขี่สามล้อซึ่งเป็นคนไทย ตำรวจเข้าระงับเหตุการณ์ก็ถูกโดนรุ่มทำร้ายไปด้วย สถานีตำรวจพลับพลาชัยได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธไป ๑ คันรถ เกลี้ยกล่อมให้ฝูงชนสลายตัวกลับไป แต่ไม่มีใครเชื่อฟังและยังโยนประทัดเข้าใส่ ตำรวจจึงยิงปืนขึ้นท้องฟ้าแล้วถ่อยกลับโรงพัก ทางรัฐบาลได้ส่งทหาร ตำรวจ และยุวชนทหารซึ่งมีบทบาทสำคัญตอนสงครามไปรักษาการณ์ ใช้รถถังวิ่งตรวจไปตามถนนเยาวราช ถนนเจริญกรุง จนถึงหัวลำโพง ฝ่ายพวกจีนที่ก่อการจลาจลได้แอบอยู่ในตึกแถวข้างถนนได้ยิงปืนลงมา เกิดการยิงตอบโต้กันจนร้านค้าทั้งหลายต้องปิดหมด
รุ่งขึ้นวันที่ ๒๑ การจลาจลได้กระจายออกไปตามย่านที่มีคนจีนอยู่ เช่น แถวเจริญกรุง บางรัก หัวลำโพง และบางลำพู มีโปสเตอร์เป็นภาษาจีนติดอยู่หลายแห่งปลุกปั่นคนจีนให้ทำร้ายคนไทย และมีคนเข้าพักในโรงแรมย่านเยาวราชมากผิดปกติ มีข่าวลืือกันว่าคืนนี่้จะมีการก่อการจลาจลขั้นรุนแรง ทางการจึงได้เตรียมรับมืออย่างเต็มที่ จนราว ๒ ทุ่มเสียงปืนก็ดังไปทั่ว มีบาดเจ็บและล้มตายกันหลายคน และมีกลุ่มอันธพาลเข้าผสมโรงบุกเข้าปล้นร้านค้าคนจีนย่านเยาวราชกวาดทรัพย์สินไปได้มาก (เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมนึกถึงกลุ่มพวกเสื้อแดงบุกปล้นร้านค้าราชประสงค์เหตุการณ์เหมือนกันยังกะลอกสูตรกันมาเลยเวรกรรมของประเทศไทยคนจัญไรทำลายประเทศ)
รุ่งขึ้นเช้าวันที่ ๒๒ ทหารตำรวจได้จู่โจมเข้าเคลียร์พื้นที่ ที่มีการปะัทะจับกุมผู้ต้องสงสัยไปได้หลายคน แต่ก็ยังมีการยิงโต้ตอบเป็นระยะ จนตกบ่ายเสียงปืนจึงค่อย ๆ หายไป
สมาคมคังเจี้ยน
ในวันที่ ๒๓ "สมาคมคังเจี้ยน"ซึ่งเป็นองค์กรของ ก๊กมินตั๋งในประเทศไทย ได้ปิดประกาศเรียกร้องให้คนจีนปิดตลาด ซึ่งผู้ค้าขายที่เป็นคนจีน ต่างปฎิบัติตามเพราะกลัวการคุกคาม แต่เจ้าของตลาดเก่าเยาวราชได้ระดมแม่ค้าพ่อค้าจากที่อื่นมาขายแทน และส่งคนเข้าคุ่มครองคนขายด้วย
และในวันเดียวกันนี้สหสมาคมต่อต้านญี่ปุ่นในประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้พี่น้องไทย-จีนช่วยกันถนอมไมตรีที่มีต่อกันมาช้านาน อย่าหลงกลผู้ไม่หวังดียุแหย่ให้เกิดความแตกร้าวขึ้นในชาติ รัฐบาลได้จัดตั้งกองกำลังรักษาความมั่นคงไทย-จีนขึ้น มี พล.ร.ต.สังวร สุวรรณชีพ เป็นหัวหน้ารักษาความสงบ จนในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๔๘๙ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ได้เซ็นสัญญาสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน กับนายหลีเทียะเจิง เอกอัครราชทูตจีน กองกำลังผสมนี้จึงเลิกไปกับเสียง "เลียะพะ" ด้วย
ถนนเจริญกรุง
ในช่วงเกิดเหตุการณ์นี้ ถ้ามีคนไทยเดินเดี่ยวเข้าไปในย่านของคนจีน ก็จะมีวัยรุ่นจีนที่ฮึกเหิมร้องตะโกนขึ้ว่า "เลียะพะ" จากนั้นวัยรุ่นที่อยู่โดยรอบก็ขจะกรูเข้ามาทำร้าย หลายรายมีทั้งมีด และไม้เป็นอาวุธ และเกิดเหตุการณ์เช่นนึ้อยู่ทั่วไป
ดาราดังในอดีตคนหนึ่งคือ คุณสาหัส บุญ-หลง (ภายหลังเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น พฤหัส บุญ-หลง) มีรอยแผลเป็นที่หน้าติดตัวมาตลอด สาเหตุก็เกิดจาก เลียะพะ
ตอนนั้น "ลุงหัส" แกดังแล้ว แสดงละครอยู่ที่ศาลาเฉลิมนคร พอละครเลิกตอนดึก ลุงหัสแกคงจะหิวและอยากบุหรี จึงเดินออกมาหาซื้อ เพื่อนนักแสดงด้วยกันคงจะเป็นห่วงจึงตะโกนออกไปว่าออกไปคนเดียวไม่กลัวถูก เลียะพะ หรือ ลุงหัสแกก็ยิ้ม เพราะก่อนที่ลุงหัสจะมาเป็นนักแสดงนั้นลุงหัสเคยเป็นนักเลงมาก่อน ทั้งยังเชื่ออีกว่าตัวเองหนังเหนียว เจอศึกมาหลายครั้งแม้จะโดนอาวุธมีคมของคู่ต่อสู้ "ลุงหัส"ก็ไม่เคยระคายผิวถึงเลือดออก อย่างเก่งก็แค่มี "ยางบอน" และตอนนี้ก็เป็นนักแสดงที่คนย่านนั้นรู้จักหน้าดี คงไม่มีใครกล้ามาทำร้าย
"ลุงหัส" ลัดเวิ้งนครเขษมมาออกสี่แยกวัดตึกจึงเจอแผงขายบุหรี่ แต่คนขายกลับไม่ยอมขายให้ตอนนั้นพ่อค้าแม่ค้าในย่านเยาวราชถูกยุแหย่ไม่ย่อมขายสินค้าให้คนไทย เมื่อ ลุงหัส ซื้อบุหรีที่กำลังอยากสูบไม่ได้เลยเกิดอารมณ์ มีปากเสียงกับคนขาย ทันใดก็มีคนร้อองขึ้นว่า "เลียะพะ"
จากนั้นวัยรุ่นราว ๑๐ คนก็โผล่เข้ามารุมสกรัม แต่ถึงจะโดนรุมยำขนาดนั้น "ลุงหัส"ก็ไม่ยอมถอยระหว่างที่ชุลมุนอยู่ก็เห็นอาวุธในมือคนร้ายต้องแสงไฟวาววับสับมาที่หน้า และเห็นว่าเป็นตะขอเกี่ยวกระสอบข้าวสาร "ลุงหัส" รู้สึกเพียงเจ็บ ๆ ที่หน้าผากและคิดว่าไม่เข้า ครู่หนึ่งรู้สึกเหมือนมีแมลงไต่ลงมาที่แก้ม พอเอามือลูบดูก็ปรากฎว่าเป็นเลือด "ลุงหัส"เลยบ้าเลือดยิ่งขึ้นอีก จนตำรวจมา คนเหล่านั้นจึงสลายหายตัวเข้าตรอกซอกซอยไป ตำรวจพา "ลุงหัส" ไปทำแผลที่โรงพยาบาลกลาง เลยได้ที่ระลึก เลียะพะไว้ที่หน้า
ต่อมาในวัน ๓ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลา ๐๙.๐๕ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จเยี่ยมสำเพ็ง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีพระมหากษัตริย์เสด็จเยี่ยมสำเพ็งอย่างเป็นทางการทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทอย่างช้า ๆ ไปบนพรมที่บรรดาพ่อค้าจัดปูลาดไปตลอดความยาวของถนนสำเพ็ง และประดับด้วยซุ้มดอกไม้ ธงทิว แพรผ้า หน้าร้านค้าต่างตั้งโต๊ะมุกเครื่องบูชา และเฝ้ารับเสด็จตลอดเส้นทางพระราชดำเนิน ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับราษฎรที่รอเข้าเฝ้าตามทางเป็นระยะ และเสด็จฯ เข้าประทับในบางร้าน สมเด็จพระอนุชาธิราชทรงเป็นช่างภาพกิตติมศักดิ์ ทรงเปิดโอกาสให้ชาวจีนได้เข้าเฝ้าแทบละอองธุลีพระบาทอย่างใกล้ชิด ทรงรับของที่ระลึกด้วยพระหัตถ์จากร้านหนึ่งไปยังอีกร้านหนึ่ง ทรงใช้เวลาเสด็จเยี่ยมสำเพ็งครั้งนี้ ถึง ๔ ชั่วโมง จากนั้นได้เสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่สมาคมไทย-จีน ถนนสาทรตามคำกราบบังคมทูลของบรรดาพ่อค้าจีน และทอดพระเนตรการละเล่นต่าง ๆ ก่อนเสด็จกลับ ยังความปลาบปลื้มปิติยินดีแก่ชาวจีนเป็นล้นพ้น
จากนั้นความสัมพันธ์ของคนในชาติก็สนิทเป็นเนื้อเดียวกันดังเดิม
_______________________
Sampan Chanpa
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น