ความสะเหร่อของนางแอนนา เลียวโนเวนส์
.....ผมไปได้หนังสือเก่าจากแผงขายหนังสือเก่าตลาดนัด จัดว่าเป็นหนังสือเก่า มาอ่านเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นชื่อ The Ramanee of a Harem ซึ่งเป็นหนังสือที่ นางแอนนา เลียวโนเวนส์ เขียนมุมกิ๊กขึ้นมาให้คนยุโรปและอเมริกา ในสมัยหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน ได้อ่านกันอย่างอภิมหามันส์ สุดแสนมันส์.....
..... นางแอนนา เลียวโนเวนส์ หรือ แหม่มแอนนา คนนี้ตามประวัติดั้งเดิมนั้นก็เป็นเมียนายทหารอังกฤษยศร้อยเอก ซึ่งเมื่อสามีได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ราชการที่สิงคโปร์ นางหอบหิ้วเอาบุตรชายวัยสองขวบติดตามมาอยู่กับสามี และอยู่มาได้เพียงไม่เท่าใด นายร้อยเอก เลียวโนเวนส์ ก็ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคปัจจุบัน (ไม่ได้แจ้งไว้ว่า..เป็นโรคอะไร) ทิ้งให้เมียสาวสวยรวยเสน่ห์ต้องกลายเป็นแม่กระดังงาลนไฟ (ดอกกระดังงาความจริงมันก็หอมอยู่แล้วแต่ถ้าได้เอาไปลนไฟอ่อน ๆ เสียหน่อย มันก็จะหอมเย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ )....
......ทำให้หมู่ภมรน้อยใหญ่พากันมาแวดเวียนเพื่อหวังจะดอมดม จวนเจียนจะเกิดจลาจลขึ้นในบรรดาหมู่เมียนายทหาร ก็พอดีนายพลเรือที่เป็นผู้บัญชาการทหารอังกฤษที่สิงคโปร์ ได้ทราบวี่แววมาว่า..พระเจ้ากรุงสยามมีพระราชประสงค์ที่จะจ้างสตรีชาวอังกฤษที่มีวัยอันสมควร ไม่มีภาระผูกพันทางครอบครัว และที่ได้รับการศึกษามาพอสถานภาพโดยประมาณ เข้าไปถวายพระอักษรให้แก่พระราชโอรสและพระราชธิดาที่พระบรมหาราชวังในกรุงเทพมหานคร.....
......จึงคิดตัดไฟต้นลมโดยการเรียกนางแอนนา เข้าไปแนะนำว่า..ควรจะสมัครเข้าไปทำหน้าที่ดังกล่าวกับกงศุลไทย โดยให้คำรับรองว่า..ถ้านางแอนนา ตกลงใจที่จะรับทำ ตัวท่านนายพลก็รับจะเป็นผู้รับรองกับรัฐบาลไทยให้ด้วยตนเอง นางแอนนา เห็นเป็นโอกาสดีก็รีบฉวยเอาทันที และเมื่อมีบุคคลระดับผู้บัญชาการทหารเป็นผู้ให้การรับรองเช่นนี้แล้ว นางแอนนา ก็ได้เดินทางเข้ามารับราชการใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเวลา ๓ เดือนต่อมา การไปจากเกาะสิงคโปร์ของนางแอนนา ในครั้งนั้น ลือกันว่า..บรรดาภรรเมียของนายทหารอังกฤษที่สิงคโปร์ต่างก็หายใจโล่งอกไป.. ตาม ๆ กัน....
......ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยเห็นตัวจริงของนางแอนนา มานั้น ได้เล่าว่า..ในขณะที่เข้ารับราชการอยู่ที่กรุงเทพพระมหานคร นางแอนนาไม่ได้รับสิทธิพิเศษใด ๆ ทั้งไม่เคยมีโอกาสได้รับราชการใกล้ชิดในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ถึงขนาดเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินอย่างที่นางแอนนา ได้เคยคุยกร่างเอาไว้ในหนังสือที่ตนเองกลับไปเขียนขึ้นทั้งสองเล่ม คือหนังสือเรื่อง The English Governess At the Siamese Court กับเรื่อง The Romance 0f a Harem......
....สำหรับเล่มหลังคือเรื่อง The Romance of a Harem ซึ่งเป็นเรื่องของความตอหลดตอแหลโดยเฉพาะเรื่องราวของ เจ้าจอมทับทิม กับ พระปลัด นั้น เป็นเรื่องที่น่าจะเก็บเอาความสะเหร่อของนางแอนนา มาทำเป็นเรื่องให้ได้อ่านกันสักครั้ง.....
....เจ้าจอมทับทิมในจินตนาการของของนางแอนนานั้น มีรูปลักษณะไม่ผิดอะไรกับนางเอกจอมซนคนสวยของฝรั่ง คือไม่มีลักษณะเป็นนางเอกของไทยเลยแม้แต่น้อย นางแอนนา เล่าว่า..เมื่อเจ้าจอมทับทิมมีอายุได้เพียง ๑๕ ปี ก็รักใคร่ได้เสียกับ นายแดง คนบ้านเดียวกัน ในปีต่อมาคือเมื่ออายุ ๑๖ ปี เจ้าจอมทับทิมและนายแดง ผู้เป็นสามีถูกเกณฑ์ไปทำงานขนอิฐขนหินในการก่อสร้าง วัดราชประดิษฐ์ และเมื่อสมเด็จพระจอมเกล้าเสด็จไปทรงตรวจงาน ก็ทอดพระเนตรไปเห็นเจ้าจอมทับทิมเข้า จึงตรัสถามข้าราชบริพานที่ติดตามพระองค์ไปว่า.. เด็กสาวหน้าตาดีคนนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร และเมื่อได้รับคำตอบแล้วก็มิได้ทรงตรัสอย่างไรอีกต่อไป.....
.......นางแอนนาเล่าต่อไปว่า...การที่พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงแสดง ความสนพระราชหฤทัยในตัวเด็กสาวคนนี้ ทำให้พวกข้าราชบริพารที่อยากได้ความดีความชอบ ได้พยายามใช้เลห์กระเทห์พรากเอาตัวเจ้าจอมทับทิมจากนายแดงผู้เป็นสามีเข้าไปถวายต่อในหลวง โดยช่วยกันปกปิดความลับที่ว่า..เธอได้เป็นเมียของชายอื่น แล้ว.....
......ส่วนนายแดงเมื่อถูกพรากเอาเมียไป ก็หมดปัญญาที่จะหาทาง จะฟ้องร้องเอากับใครก็ไม่กล้า เศร้าโศกเสียใจมาก ๆ เข้าก็เลยตัดสินใจไปบวชเป็นพระ ซึ่งนางแอนนาได้แสดงความสะเหร่อบริสุทธิออกมาว่า....พระแดงนั้นเมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจเล่าเรียนพระธรรมวินัยและหลักพระพุทธศาสนาอย่างขะมักเขม็น ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็แตกฉาน จนได้แต่งตั้งเป็นพระปลัด .... นางแอนนาบอกว่า..คำว่า..ปลัด นั้นสะกดเป็นภาษาอังกฤษว่า..Balat มีความหมายตรงกับคำว่า..Wonderful..ในภาษาอังกฤษ การแปลคำว่า..ปลัด เป็นคำว่า..Wonderful..นั้น เป็นการดำน้ำแปลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเห็นมา....
.....นางแอนนาเล่าถึงรูปลักษณะของเจ้าจอมทับทิมว่า..เป็นผู้หญิงไทยที่มีความงามอย่างน่าพิศวง เมื่อได้เข้ามาเป็นเจ้าจอมแล้วก็แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงาม สวมแหวนครบนิ้วและสวมสายสร้อยทอง ทาริมฝีปากด้วยน้ำหมากสีแดงก่ำ เขียนคิ้วยาวด้วยหมึกสีดำส่วนขนตานั้นงอนยาวตามธรรมชาติอยู่แล้ว ส่วนนิสัยใจคอนั้น นางแอนนาเล่าว่า..เจ้าจอมทับทิมเป็นเด็กสาวที่แก่นแก้วและซุกซนชอบหนีไปแอบซ่อนตัวอยู่ตามห้องเล็กห้องน้อยในพระบรมมหาราชวัง.....หากมีพระราชประสงค์จะให้เข้า รับราชการ ก็ต้องวิ่งตามหากันให้วุ่นวาย มีหลายครั้งที่เจ้าพนักงานไปตามตัวพบแล้ว เจ้าจอมทับทิมก็จะพูดจาเบี่ยงบ่าย แกล้งบอกว่า..ไม่สบาย รับราชการ ไม่ได้ ฯลฯ ทำให้คุณท้าวผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่ส่งตัวนางสนมต้องเดือดเนื้อร้อนใจเพราะ ถ้าส่งตัวเจ้าจอมทับทิมไม่ได้ดังราชประสงค์ก็จะถูกในหลวงทรงตัดรอนเอาว่า..มีความอิจฉาริษยาเด็ก เกรงว่า..เด็กจะได้ดีกว่าตน.....
.....นางแอนนาเล่าว่า...เจ้าจอมทับทิมได้มาสมัครเป็นลูกศิษย์เรียนภาษาอังกฤษกับตนด้วยผู้หนึ่ง นางแอนนาจำได้ว่า..เจ้าจอมทับทิมขอร้องให้นางเขียนคำว่า..พระปลัด เป็นภาษาอังกฤษ และเมื่อนางสะกดให้แล้ว เจ้าจอมทับทิมก็ลอกตัวอักษรเหล่านั้นลงในกระดาษหลายแผ่นอย่างคนใจลอย หรือเหมือนคนถูกสะกดจิต.....
......และแล้ววันอัปมงคลก็มาถึง ในตอนสายของวันหนึ่งคุณท้าวผู้ใหญ่ได้รับรายงานว่า...เจ้าจอมทับทิมได้หายตัวไปตั้งแต่เช้า ได้มีการค้นหาตัวกันทุกซอกทุกมุมของพระบรมมหาราชวังแต่ก็ไม่ปรากฏวี่แวว ไม่มีใครทราบว่า..เจ้าจอมทับทิมหายไปไหน และหายไปได้อย่างไร การหายตัวไปของเจ้าจอมทับทิมในครั้งนี้ เมื่อความทราบถึงพระกรรณของในหลวงแล้ว ก็โปรดให้ตั้งรางวัลนำจับตัวเจ้าจอมทับทิมเป็นเงินสูงถึง ๒๐ ชั่ง แต่แม้ว่า...เวลาล่วงเลยไปหลายเดือนก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถสืบรู้ตำแหน่งแห่งหนที่เจ้าจอมทับทิมซ่อนตัวอยู่ นางแอนนาเล่าว่า..เวลายิ่งล่วงเลยไปมากเท่าใด ในหลวงก็ทรงพิโรธเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น.....
......แต่เคราะห์กรรมก็มาถึงตัวเจ้าจอมทับทิมเข้าจนได้ มีพระภิกษุสองรูปไปพบเจ้าจอมทับทิมซึ่งโกนผมโกนคิ้วนุ่งห่มสบงจีวรเป็นสามเณรจำวัดอยู่ที่กุฏิของพระปลัดเข้าโดยบังเอิญ จึงรีบนำความมาแจ้งแก่กรมวังผู้ใหญ่ เจ้าจอมทับทิมจึงถูกจับและถูกขังในพระบรมมหาราชวัง....
.....ส่วนพระปลัดก็ถูกจับเหมือนกันแต่ถูกส่งไปขังไว้ ณ คุกมหันตโทษ เพื่อนสนิทของ ทับทิม สองคน คนหนึ่งชื่อ มะปราง อีกคนหนึ่งชื่อ Simlah ซึ่งก็น่าจะตรงกับชื่อ ศรีมาลา ได้ถูกจับกุมคุมขังโทษฐานรู้เห็นเป็นใจและช่วยเหลือให้เจ้าจอมทับทิมได้หลบหนีออกไปจากพระบรมมหาราชวังได้โดยสดวกด้วย...
......ในการพิจารณาคดี นางแอนนาซึ่งคุยโอ่ว่า...ตนได้เข้าไปนั่งร่วมฟังอยู่ด้วย ได้เขียนเล่าว่า..เมื่อมีการซักไซ้ไล่เรียงกันอย่างละเอียดแล้ว ความจริงก็ปรากฏออกมาว่า..เจ้าจอมทับทิมได้หลบหนีออกไปจากพระบรมมหาราชวัง ด้วยการปลอมตัวเป็นเณรปนปลอมออกไปกับหมู่พระเณรที่เข้ามารับบิณฑบาตในพระบรมมหาราชวังในตอนเช้าตรู่....
......นางแอนนาเล่าว่า...เจ้าจอมทับทิมได้ยืนยันกับศาลว่า..ความคิดที่ปลอมตัวเป็นเณรหนีออกไปอยู่กับพระปลัดนั้นเป็นความคิดที่ตนคิดขึ้นมาด้วยตนเอง ไม่มีพระปลัด หรือ นางมะปราง นางศรีมาลาได้มาร่วมรู้เห็นเป็นใจกับตนด้วยเลย เธอให้การว่า..ในวันนั้น เมื่อหลบหนีออกจากพระบรมมหาราชวังได้แล้ว ก็ไปนั่งอยู่คนเดียวที่หน้าประตูวัด พอตกเย็นท่านเจ้าสมภารเจ้าวัดมาพบเข้า เธอจึงไปกราบกรานขออาศัยอยู่ในวัด....
......ท่านสมภารจึงมอบให้พระปลัดรับตัวเอาไปเป็นภารธุระ เจ้าจอมทับทิมจึงให้การต่อไปว่า..ถึงแม้เธอจะอยู่ร่วมกุฏิกับพระปลัดผู้เป็นอดีตสามี แต่ก็มิได้สมสู่ร่วมรักกัน พระปลัดไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า..ตนเองเป็นเมียเก่าของตน นางแอนนาเล่าว่า...คำให้การแก้เกีัยวของเจ้าจอมทับทิมดังเช่นที่กล่าวมานี้ ไม่มีผู้พิพากษาคนใดเชื่อ ถือ โดยเฉพาะคำแก้ตัวที่ว่า..พระปลัดจำตนเองไม่ได้นั้นเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด คนเราเคยเป็นผัวเป็นเมียกันมาก่อน ถึงแม้จะโกนผม โกนคิ้วนุ่งห่มจีวร ถ้าอยู่กุฏิเดียวกันชิดกันนานเข้าก็น่าจะจำกันได้ ยิ่งเวลาจะอาบน้ำอาบท่า การที่จะซ่อนหน้าอกหน้าใจนั้น ก็ย่อมเป็นของที่กระทำกันได้โดยยาก....
......คณะผู้พิพากษาจึงลงความเห็นว่า..เจ้าจอมทับทิมไม่ย่อมให้การตามความเป็นจริง แล้วจึงมีมติให้ลงฑัณท์เจ้าจอมทับทิมโดยการโบย ๓๐ ที.....
......เมื่อเห็นว่า...เรื่องราวจะไปกันใหญ่ดังนี้ นางแอนนาจึงแสดงความยิ่งใหญ่ของตนออกมา โดยสั่งการให้ระงับการโบยตีไว้ก่อนแล้วตนเองก็รีบรุดเข้าไปเฝ้าในหลวงเพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษให้แก่เจ้าจอมทับทิม นางแอนนาเล่าว่า..แม้ในหลวงยังทรงพิโรธกริ้วอยู่ แต่ก็ยังทรงรับฟังคำเตือนพระสติของนางแอนนา ทรงรับสั่งให้นางแอนนากลับไปสอนหนังสือไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับคดีความเรื่องนี้....
......ส่วนเจ้าจอมทับทิมนั้นทรงรับที่จะลงพระราชอาญา แต่เพียงถอดออกจากตำแหน่งเจ้าจอม แล้วส่งตัวลงไปเป็นทาสทำงานหนักในโรงสีข้าวของหลวง....
...แต่แล้วนางแอนนาก็กลับมากล่าวโทษในหลวงว่า..ทรงเป็นชาติกษัตริย์ตรัสแล้วกลับคืนคำ นางแอนนาเล่าว่า..พอนางออกจากพระที่กลับมาถึงห้องที่พระเจ้าลูกยาเธอพระเจ้าลูกเธอกำลังทรงพระอักษรอยู่ คณะผู้พิพากษาก็เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลเรื่องเจ้าจอมทับทิม ยืนยันว่า..ตนเองเป็นผู้กระทำความผิดทุกอย่างทุกประการ ส่วนพระปลัดนั้นไม่ได้มีส่วนร่วมรู้เห็นด้วยแต่อย่างใดทั้งสิ้น....
....คำกราบบังคมทูลของคณะตุลาการทำให้ในหลวงทรงกริ้วขึ้นมาในทันทีทันควัน คราวนี้ทรงพระราชดำรัสสั่งให้นำตัวชายหญิงทั้งคู่มาลงหลักขึงพืด ตรงหน้าพระลานพระบรมมหาราชวัง เพื่อประจานให้ผู้คนทั้งหลายได้เห็นเป็นที่ประจักษ์......
......นางแอนนาเล่าว่า...เมื่อคนทั้งคู่ถูกนำมาลงหลักขึงพืดอยู่กลางพระลานแล้ว ก็มีการทรมานด้วยวิธีการต่าง ๆ นา ๆ ตัวพระปลัดนั้นถูกทรมานจวนเจียนจะตายแหล่มิตายแหล่ ส่วนเจ้าจอมทับทิมนั้นเมื่อถูกทรมานหนักเข้า ก็กรีดร้องออกมาอย่าง ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ว่า..ฉันไม่ผิดพระปลัดก็ไม่ผิด พระพุทธเจ้านั้นทรงทราบ และเมื่อและเมื่อเจ็บปวดจนทนไม่ได้ ก็บิดหน้าไปทางในหลวงเหมือนกับจะวิงวอนขอรับพระราชทานกรุณา คราวใดที่หมดสติลงก็จะถูกเจ้าหน้าที่สาดด้วยน้ำ ปลุกให้ฟื้นขึ้นมาทรมานต่อ....
.....นางแอนนาเขียนว่า...ภาพสยองขวัญที่เนื่องมาจากคำสั่งอันโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนาของพระเจ้ากรุงสยามในครั้งนี้ ทำให้นางเป็นลมหน้ามืดหมดสติไปในบัดดล...
.....ต่อเมื่อฟื้นขึ้นมา ก็ปรากฏว่า...ชายหญิงทั้งคู่ได้ถูกนำออกไปจากท้องพระลานแล้ว นางพยายามถามไถ่ถึงเคราะห์กรรมของชายหญิงทั้งคู่ แต่ทุกคนก็บ่ายเบี่ยงที่จะให้คำตอบ จนกระทั้งได้พบกับหญิงรับใช้ใกล้ชิดของเจ้าจอมทับทิมชื่อนาง พิม นางพิมจึงได้กระซิบบอกให้ฟังว่า...คนทั้งคู่โดนทรมานจนใกล้จะตายเต็มทีแล้ว จึงถูกนำตัวไปเผาเสียทั้งเป็นที่ป่าช้า วัดสระเกศ.....
......นางแอนนาเขียนไว้เป็นตุเป็นตะว่า...หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น นางก็รู้สึกหดหู่ใจ เสียใจ และผิดหวังในตัวพระเจ้ากรุงสยาม จึงเก็บตัวไม่ยอมเข้าเฝ้าเป็นเวลากว่าเดือน จนกระทั้งวันหนึ่งพระเจ้ากรุงสยามจึงทรงให้หาตัวนางแอนนาให้เข้าเฝ้า เมื่อไปถึงพระเจ้ากรุงสยามได้ตรัสขอโทษ และได้ทรงรับผิดในเรื่องการลงพระราชอาญาเจ้าจอมทับทิมเกินกว่าเหตุ และเพื่อลบล้างความผิด พระองค์ได้ทรงสั่งให้สร้างสถูปเล็ก ๆ ขึ้นในวัดสระเกศ สำหรับเป็นที่บูชาดวงวิญญาณของเจ้าจอมทับทิมและพระปลัด.....
....คนไทยที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ก็ย่อมลงความเห็นได้ทันทีว่า...เรื่องที่นางแอนนาแต่งขึ้นเรื่องนี้ เป็นเรื่องมดเท็จทั้งเพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ เป็นกษัตริย์ประชาธิปไตยที่ทรงเคารพในสิทธิของมนุษยชน นางแอนนา เลียวโนเวนส์ เข้ามารับราชการในปีพุทธศักราช ๒๔๐๕ ฉะนั้น ก็คงจะไม่ทราบว่า..เมื่อเจ็ดปีก่อนหน้านั้น คือในปีพุทธศักราช ๒๓๙๘ พระเจ้ากรุงสยามพระองค์นี้ได้ทรงประกาศให้สิทธิกับเจ้าจอมหม่อมห้ามที่จะเลือกคู่ครองใหม่ได้อย่างอิสระเสรีประกาศฉบับนั้นมีข้อความดังนี้.....
"...นับตั้งแต่นี้ต่อไป องค์พระมหากษัตริย์มิได้มีพระราชประสงค์ที่จะกีดกัน หรือกักขังบรรดานางห้ามทั้งหลาย ดังกล่าวไว้ข้างตน และยอมให้ไปมีเหย้ามีเรือนหรือมีสามีได้ตามความประสงค์ ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงยินดีที่จะสนับสนุนสงเสริมด้วย หากผู้ใดจะไปก็จะให้เงินปีหรือของขวัญอื่น ๆ คือเสื้อผ้า เครื่องแต่งตัว และเครื่องประดับอื่น ๆ ให้เหมาะสมเกียรติกับชั้นและฐานะนั้น ๆ .....
"....บรรดาหญิงใด ๆ ที่เคยรับใช้พระมหากษัตริย์มานานแล้ว เห็นว่า..อยู่ในพระราชวังนี้ไม่มีความสะดวกสบายและประสงค์ที่จะลาออกจากตำแหน่งหน้าที่ เพื่อไปอยู่กับเจ้านายองค์ใดก็ได้ หรือจะไปอยู่กับบิดามารดาก็ดี หรือต้องการไปอยู่กับสามีและลูก ตามลำพังก็ดี องค์พระมหากษัตริย์ก็จะทรงอนุญาติให้ไปได้ และจงอย่าเสียใจแต่อย่างใดเลย....
"....การลาออกนี้ก็ขอให้ยื่นใบลาออกโดยตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้งมอบข้าวของคืนให้แก่สำนักพระราชวังด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงอนุญาติให้เป็นไปตามความประสงค์โดยเสรี เว้นแต่ว่า...ถ้ายังอยู่ในตำแหน่งหน้าที่นี้ต่อไปและก่อนที่ยังมิได้ลาออกไปห้ามมิให้ติดต่อรักใคร่กับผู้ใด และห้ามมิให้มีสามีจะโดยวิธีหนึ่งวิธีใดก็ตาม ห้ามมิให้ใช้เลห์เพทุบายแต่อย่างใด....
"....ส่วนชายา หรือเจ้าจอมคนใดที่มีโอรสด้วยกันกับพระองค์แล้วห้ามมิให้ไปมีเหย้ามีเรือน เพราะการกระทำเช่นนั้นย่อมทำลายเกียรติของพระราชโอรส แต่จะอนุญาติให้ไปอยู่กับพระราชโอรสได้กันตามลำพัง แต่มิให้แต่งงานใหม่โดยเด็ดขาด....
"....อนึ่ง ถึงแม้จะมีประกาศซ้ำซากหลายครั้งหลายหนแล้วก็ตาม ก็มักไม่ค่อยมีใครเชื้อฟัง กลับหาว่า..ตลกขบขันหรือเป็นเรื่องเยาะเย้ยแดกดันกันไปเสีย จึงออกประกาศให้ทราบทั่วกันว่า..เรื่องนี้เป็นพระราชประสงค์ขององค์พระมหากษัตริย์ด้วยพระทัยจริง และขอให้ราษฎรทั้งหญิงชายได้เชื่อว่า..องค์พระมหากษัตริย์มิได้มีพระประสงค์ที่จะกีดกัน หรือกักขังเอาหญิงเหล่านี้ไว้จะเห็นได้จากประกาศแบับที่แล้วของพระองค์ว่า...เป็นพระราชประสงค์อันแท้จริงของพระองค์..."
...ท่านผู้อ่านที่ได้อ่านประกาศข้างต้นแล้ว ก็คงจะเอ่ยปากอุทานออกมาด้วยความชื่นชมโสมนัสได้แต่เพียงสองคำว่า.. สาธุ
......ก่อนที่จะจบเรื่องราว ฉบับนี้ ได้ลองให้บัณฑิตตกงานช่วยไปตรวจสอบรายชื่อเจ้าจอม ในสมัยรัชการที่ ๔ ที่หอสมุดดำรงราชานุภาพว่า..ยังมีเจ้าจอมที่ชื่อ ทับทิม อยู่หรือไม คำตอบที่ได้รับนั้นคือ ไม่มี
......เจ้าจอมมารดาที่ชื่อทับทิมนั้นมีอยู่ท่านหนึ่งเหมือนกัน แต่เป็นเจ้าจอมมารดาในรัชการที่ ๕
ผู้ให้กำเนิดพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวุฒิชัยเฉลิมภาพ ซึ่งภายหลัง ได้ทรงรับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร อดีตเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และทรงเป็นตระกูล วุฒิชัย.....
Pan Sungkalok
---------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น