เจ็กหัวเราะ
มนุษย์เรา หรือมนุษย์เขาก็ตาม เมื่อเกิดอารมณ์บางสิ่งบางอย่างมักจะแสดงอาการออกมาให้ปรากฏ นั่นคือการหัวเราะที่ชาวบ้านเรียกว่าหัวร่อ มีอาการต่าง ๆ กัน เช่น หัวเราะฮ่า ๆ หรือหัวเราะก๊าก หรือหัวเราะคิก ๆ หรือหัวเราะงอหาย หัวเราะจนเหยี่ยวราด หัวเราะจนน้ำตาเล็ด ฯลฯ
ส่วนหัวเราะแบบนิยายจีนกำลังภายใน ก็ต้องหัวเราะเคี้ยก ๆ ซึ่งเป็นอาการหัวเราะของพวกมารร้ายฝ่ายอธรรม
ทางการแพทย์บอกว่า การหัวเราะทำให้ประสาททุกส่วนคลายความเคลียด อารมณ์แจ่มใสเบิกบาน ถ้าหัวเราะทุกวันจะทำให้อายุยืน ใครอยากอายุยืนก็หาอะไรมาอ่านหรือสร้างความสนุกสนานกันไป แต่ถ้าเรานั่งอ่านเรื่องขำ ๆ คนเดียวแล้วหัวเราะคนเดียว เป็นเวลานาน ๆ ระวังเขาจะหาว่าเราบ้า !
เอาละครับเพ้อเจ้อมาพอสมควรแล้ว จากนี้ผมจะพาไปพบกับ"เจ็กหัวเราะ" เจ็กที่จะเขียนถึง เป็นเจ็กมีอันดับรวมสี่ท่าน (สาเหตุที่ต้องใช้สรรพนามว่า ท่าน เพราะท่านเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดา) ท่านหนึ่งเป็นนักการเมื่องและนักการทหารชื่อดังเมื่อเกือบสองพันปีมาแล้ว อีกท่านหนึ่งเป็นนายทหารชั้นนายพลเหมือนกัน แต่คนละยุค และเป็นนักปฏิวัติทั้งคู่ ส่วนอีกสองท่านเป็นฝ่ายบุ๋น ท่านหนึ่งเป็นข้าราชสำนักภายใน อีกท่านหนึ่งเป็นรัฐบุรุษอาวุโส
เจ็กท่านแรก คือ โจโฉ ซึ่งอยู่ในสมัยราชวงศ์ฮันตอยปลาย ท่านมีตำแหน่งเทียบได้กับนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในรัชสมัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉเป็นนักการเมื่องและนักการทหารที่มีความสามารถมาก (ไม่เหมื่อนนายทหารบางคนในเมื่องไทยที่ไม่รู้หน้าที่ของตนเอง ไม่อยากจะใช้คำว่าขี้ขลาดหรอกนะใช้ว่าเป็นโรคขึ้ขึ้นสมองมากกว่า ) เคยรบทัพจับศึกมานับครั้งไม่ถ้วน
แต่การทำศึกทางเรือที่เมืองกังตั๋ง โจโฉแพ้ยับ ผมจำได้แม่นยำ กระทรวงศึกษาธิการนำเอาเรื่องสามก๊กตอน " โจโฉแตกทัพเรือ " มาใช้หลักสูตรมัธยมสาม มาให้ผมเรียนด้วยแถมทางโรงเรียน ( สหวิทย์ สุพรรณบุรี ) ) ยังได้จัดการแสดง งิ้ว (อุปรากรจีน) ให้พวกกระผมได้มีโอกาสแสดงอีกด้วยผมจึงจำเรื่องสามก๊กตอนนี้ได้แม่นยำไม่เคยลืม การศึกคราวนั้นโจโฉเสียทหารถึงหนึ่งล้านคนเรียกว่าแพ้แบบหมดสภาพ แต่โจโฉก็ยังมีอารมณ์ขันหัวเราะเยาะข้าศึกถึงสามครั้ง
ครั้งแรกขณะที่หนีซมซานไปกัีบทหารส่วนหนึ่งใกล้ถึงตำบลฮัวหลิม โจโฉนึกขันขึ้นมาแหงนหน้าหัวเราะแบบเย้อฟ้าท้าดิน พวกทหารที่ติดตามจึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า "แพ้กระเจิงมายังมีอารมณ์ขันอีกหรือท่านนายกฯ...?
" เออว่ะ มีอะไรหรือเปล่า อั๊วหัวเราะเยาะขงเบ้งกับจิวยี่ เพราะมันสมองนิ่มทั้งคู่ ถ้าเป็นอั๊วจะเอาทหารมาซุ่มไว้ตรงนี้สักหมู่หนึ่ง พวกเราก็คงจะเสร็จมันแน่ " โจโฉพูดแล้วก็หัวเราะร่วน
พอโจโฉพูดไม่ทันจะขาดคำ ก็ได้ยินเสียงประทัด และเห็นนายพลจูล่งคุมทหารออกโจมตี โจโฉพาทหารเผ่นแน่บ จนถึงตำบลโลก๊ก ทุกคนเปียกฝนหนาวสั่น โจโฉจึงสั่งให้หยุดพักถอดเสื้อกางเกงตากแดดแล้วหุงหาอาหารกินกัน แต่อาหารยังไม่ทันจะสุก โจโฉเจ้าเดิมซึ่งนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ก็หัวเราะก๊ากออกมาอีก
"เมื่อใกล้สว่างท่านนายกฯ หัวเราะและมีเรื่องมาครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้ท่านนายกขำอะไรอีกละครับ ?"
"ก็หัวเราะเยาะไอ้จิวยี่กับขงเบ้งนั่นแหละ มันคิดโง่ ๆ" โจโฉพูดพลางหัวเราะพลาง "ถ้าเป็นอั๊วก็จะเอาทหารมาสะกัดไว้ตรงนี้....."
แต่โจโฉไขเหตุที่หัวเราะข้าศึกยังไม่ทันจบ เตียวหุยก็คุมทหารโผล่จากป่าว้ากเพ้ยเข้าใส่ โจโฉเลยต้องเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต
ครั้งสุดท้ายที่โจโฉหนีกระเซอะกระเซิงถึงตำบลฮัวหยง ก็เกิดอารมณ์ขันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมาอีก แต่คราวนี้ทหารที่ติดตามมาไม่ขำด้วยเพราะเห็นขำทีไรมีเรื่องมาสองครั้งแล้ว
"ถูกเส้นอะไรอีกล่ะท่านนายกฯ หัวเราะร่วนเดี๋ยวก็มีเรื่องอีกจนได้" โจโฉก็ตอบอย่างเดิมว่า "หัวเราะเยาะจิวยี่กับข้งเบ้งโว้ย มันโง่มากไอ้สองคนนี่ ฝีมือคนละชั้นว่ะ ถ้ามันเอาทหารมาดักที่นี่ พวกเราก็จอดไม่ต้องแจว"
การหัวเราะครั้งที่่สามของโจโฉเจอกับขุนพลกวนอู เกือบเอาชีวิตไม่รอด ดีแต่ว่ากวนอูไม่อาจเนรคุณโจโฉ จึงยอมปล่อยตัวไปทั้ง ๆ ที่เอาหัวเป็นเดิมพันไว้กับขงเบ้ง
โจโฉหัวเราะ พร้อมกับพูดดูหมิ่นสติปัญญาของข้าศึกไปด้วยทุกครั้ง แสดงว่าโจโฉมีความคิดลึกซึ้งมิใช่น้อย แต่บังเอิญข้าศึกอย่างขงเบ้งกับจิวยี่ก็มิใช่ธรรมดา จึงทำเอาโจโฉเกือบตาย
วันนี้จบแค่นี้ก่อนนะครับ
Sampan Chanpa
เจ็กท่านแรก คือ โจโฉ ซึ่งอยู่ในสมัยราชวงศ์ฮันตอยปลาย ท่านมีตำแหน่งเทียบได้กับนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในรัชสมัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉเป็นนักการเมื่องและนักการทหารที่มีความสามารถมาก (ไม่เหมื่อนนายทหารบางคนในเมื่องไทยที่ไม่รู้หน้าที่ของตนเอง ไม่อยากจะใช้คำว่าขี้ขลาดหรอกนะใช้ว่าเป็นโรคขึ้ขึ้นสมองมากกว่า ) เคยรบทัพจับศึกมานับครั้งไม่ถ้วน
แต่การทำศึกทางเรือที่เมืองกังตั๋ง โจโฉแพ้ยับ ผมจำได้แม่นยำ กระทรวงศึกษาธิการนำเอาเรื่องสามก๊กตอน " โจโฉแตกทัพเรือ " มาใช้หลักสูตรมัธยมสาม มาให้ผมเรียนด้วยแถมทางโรงเรียน ( สหวิทย์ สุพรรณบุรี ) ) ยังได้จัดการแสดง งิ้ว (อุปรากรจีน) ให้พวกกระผมได้มีโอกาสแสดงอีกด้วยผมจึงจำเรื่องสามก๊กตอนนี้ได้แม่นยำไม่เคยลืม การศึกคราวนั้นโจโฉเสียทหารถึงหนึ่งล้านคนเรียกว่าแพ้แบบหมดสภาพ แต่โจโฉก็ยังมีอารมณ์ขันหัวเราะเยาะข้าศึกถึงสามครั้ง
ครั้งแรกขณะที่หนีซมซานไปกัีบทหารส่วนหนึ่งใกล้ถึงตำบลฮัวหลิม โจโฉนึกขันขึ้นมาแหงนหน้าหัวเราะแบบเย้อฟ้าท้าดิน พวกทหารที่ติดตามจึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า "แพ้กระเจิงมายังมีอารมณ์ขันอีกหรือท่านนายกฯ...?
" เออว่ะ มีอะไรหรือเปล่า อั๊วหัวเราะเยาะขงเบ้งกับจิวยี่ เพราะมันสมองนิ่มทั้งคู่ ถ้าเป็นอั๊วจะเอาทหารมาซุ่มไว้ตรงนี้สักหมู่หนึ่ง พวกเราก็คงจะเสร็จมันแน่ " โจโฉพูดแล้วก็หัวเราะร่วน
พอโจโฉพูดไม่ทันจะขาดคำ ก็ได้ยินเสียงประทัด และเห็นนายพลจูล่งคุมทหารออกโจมตี โจโฉพาทหารเผ่นแน่บ จนถึงตำบลโลก๊ก ทุกคนเปียกฝนหนาวสั่น โจโฉจึงสั่งให้หยุดพักถอดเสื้อกางเกงตากแดดแล้วหุงหาอาหารกินกัน แต่อาหารยังไม่ทันจะสุก โจโฉเจ้าเดิมซึ่งนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ก็หัวเราะก๊ากออกมาอีก
"เมื่อใกล้สว่างท่านนายกฯ หัวเราะและมีเรื่องมาครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้ท่านนายกขำอะไรอีกละครับ ?"
"ก็หัวเราะเยาะไอ้จิวยี่กับขงเบ้งนั่นแหละ มันคิดโง่ ๆ" โจโฉพูดพลางหัวเราะพลาง "ถ้าเป็นอั๊วก็จะเอาทหารมาสะกัดไว้ตรงนี้....."
แต่โจโฉไขเหตุที่หัวเราะข้าศึกยังไม่ทันจบ เตียวหุยก็คุมทหารโผล่จากป่าว้ากเพ้ยเข้าใส่ โจโฉเลยต้องเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต
ครั้งสุดท้ายที่โจโฉหนีกระเซอะกระเซิงถึงตำบลฮัวหยง ก็เกิดอารมณ์ขันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมาอีก แต่คราวนี้ทหารที่ติดตามมาไม่ขำด้วยเพราะเห็นขำทีไรมีเรื่องมาสองครั้งแล้ว
"ถูกเส้นอะไรอีกล่ะท่านนายกฯ หัวเราะร่วนเดี๋ยวก็มีเรื่องอีกจนได้" โจโฉก็ตอบอย่างเดิมว่า "หัวเราะเยาะจิวยี่กับข้งเบ้งโว้ย มันโง่มากไอ้สองคนนี่ ฝีมือคนละชั้นว่ะ ถ้ามันเอาทหารมาดักที่นี่ พวกเราก็จอดไม่ต้องแจว"
การหัวเราะครั้งที่่สามของโจโฉเจอกับขุนพลกวนอู เกือบเอาชีวิตไม่รอด ดีแต่ว่ากวนอูไม่อาจเนรคุณโจโฉ จึงยอมปล่อยตัวไปทั้ง ๆ ที่เอาหัวเป็นเดิมพันไว้กับขงเบ้ง
โจโฉหัวเราะ พร้อมกับพูดดูหมิ่นสติปัญญาของข้าศึกไปด้วยทุกครั้ง แสดงว่าโจโฉมีความคิดลึกซึ้งมิใช่น้อย แต่บังเอิญข้าศึกอย่างขงเบ้งกับจิวยี่ก็มิใช่ธรรมดา จึงทำเอาโจโฉเกือบตาย
วันนี้จบแค่นี้ก่อนนะครับ
Sampan Chanpa
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น