วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เซน อยู่เหนือตรรกะเหตุผล และถ้าเป็นภาษาก็ไม่สมบูรณ์



                                                       เซนอยู่เหนือเหตุผล



                                    

                                


                                          





   ถ้าท่านเคยชมภาพยนตร์จีนกำลังภายใน หรือภายนตร์ซามูไรของญี่ปุ่น เรามักจะได้ยินบทสนทนาแบบฟังไม่รู้เรื่อง หรือเมื่อฟังแล้วก็ต้องนำกลับมาคิดแล้วคิดอีก บางทีบทสนทนาอาจอยู่เหนื่อเหตุผล ล้ำลึกจนคนธรรมดายากจะเข้าถึง นั่นแหละคือการสือสารแบบเซน

  เซน  เริ่มต้นที่ประเทศจีน โดยพระโพธิธรรม (ชาวจีนเรียกว่าปรมาจารย์ตั๊กม้อ) พระอริยะชาวอินเดีย ที่เดินทางไปเผยแผ่ พุทธศาสนาที่ประเทศจีนเมื่อประมาณ ๑,๕๐๐ ปี ที่แล้ว ในชื่อว่า "ฌาน" เมื่อไปสู่เกาหลี เรียกว่า "เซิน" และเมื่อไปถึงญี่ปุ่น ก็กลายเป็น "เซน" ในที่สุด
 
   เซนไม่มีรูปธรรม  อยู่เหนือขอบเขตความคิดแบบ ตรรกศาสตร์ หรือ ตรรกะ ว่าด้วยเหตุและผลที่เราชอบพูดกันบ่อย ๆ จนคำว่า "เหตุผล" เราพูดกันไม่ค่อยเป็น อะไร ๆ ก็ตรรกะ จนมีเพื่อนฝูงมาคุยกันเล่น ๆ ว่า "เฮ้ย ไอ้ ตรรกะ กับ ตะกละ และตะกลาม มันเหมือนกันหรือเปล่า" พวกเราก็หัวเราะกันเป็นที่ครื้นเครง  เซน จะว่าไปอาจเป็นภาษาการสื่อสารไม่สมบูรณ์ ฟังแล้วคิด 

คิดทบทวนหลายรอบก็ยากที่จะเข้าใจ  แต่ที่แน่ ๆเซน จะชี้ตรงเข้าไปถึงแก่นของสัจธรรมด้วยวิธีการหรือคำพูดที่ชาวโลกอย่าเรา รู้สึกว่าเพี้ยน  เพื่อปลุกให้ตื่นขึ้นจากมายาสิ่งสมมุติไปสู่พุทธิปัญญา  หรือภาษาเซนเรียกว่า "ซานโตริ"
   
                                            


       นอกจากการนั่งสมาธิแล้ว  อาจารย์เซนมักจะให้ปริศนา หรือที่เรียกว่า "โกอาน"
แก่ศิษย์ ซึ่งโกอานนี้ไม่สามารถตอบได้ด้วยความคิดแบบเหตุผลของชาวโลก แต่ต้องหาคำตอบจากความบริสุทธิ์ภายใน เช่น "หน้าตาของเจ้าเป็นเช่นไรก่อนที่พ่อแม่เจ้าจะเกิด" หรือ "จงไปตามหาเสียงของการตบมือข้างเดียว" เป็นไงครับ จะตอบอย่างไร มันยิ่งกว่า ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่ แต่ของเซนเมื่อศิษย์เข้าถึงซาโตริแล้ว ก็จะสามารถพบคำตอบได้ในที่สุด



                                   
                                                               Musashi



  เราลองมาอ่าน นิทานเซนเรื่องนี้กันดีไหม  


                                                       "เรื่องประตูสวรรค์"






   กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว (แต่ไม่ใช่นานมากนานจนจำไม่ได้นะครับ จะเป็น เซนเข้าไปแล้วเรา) มีทหารลูกพระอาทิตย์ แต่งเครื่องแบบครบเครื่องพร้อมทั้งดาบซามูไร  ปีนป่ายขึ้นเขาไปหาอาจารย์ ฮากูอิน  ความต้องการก็อยากไปคุยกับพระ  ให้พระแก้ข้อสงสัยที่ตัวเองก็ชักจะไม่เชื่อครามครัน  มันเป็นหลักความคิดนึกที่เก็บงำไว้แต่ผู้เดียวนานมาแล้วจะเอ่ยปากกะผู้ใด  ก็กลัวคนอื่นเขาหาว่า เป็นคนไม่มีศาสนา สู้อุสาห์ถ่อร่างมาไกล มาหาพระอาจารย์องค์ที่ทุกคนในญี่ปุ่นเขาลือกันว่าท่านเก่ง


  ทหารคนนั้นเอยปากถามท่านอาจารย์ว่า  "ท่านอาจารย์ขอรับ ถ้าเราจะมาว่าให้ตรงตามความเป็นจริงกันแล้วนรกสวรรค์เป็นของมีจริงหรือ?"

  ท่านอาจารย์  หันขวับมาจ้องหน้าเจ้าของคำถามทันที และแทนที่จะแก้ข้อสงสัย  หรืออธิบาย  ท่านกลับย้อนถามเอาทหารคนนั้นว่า  "เธอน่ะใคร?"

  "กระผมเป็นซามูไร ครับ" ทหารคนนั้นแจ้งสถานะความเป็นนักรบของตนโดยซื่อ  ท่านอาจารย์กลับขึ้นเสียง เอาอีกว่า "อาไร! ทหารทะแหนอะไรนี่!  เจ้านายคนไหนนะช่างไปเอาคนอย่างเธอนี่น่ะ!  มาเป็นลิ้วล้อไพร่พล? หน้ายังกับขอทานแน่ะ!"

  โดนหลู่เกียรติเข้าจัง ๆ เช่นนั้น  ทหารคนนั้นโกรธพลุ่งจัดลุกขึ้นฉับไว ใช้มือขวากุมด้ามดาบ  ยังไม่พออีกท่านอาจารย์ ฮากูอิน  ยังสำทับกล่าวต่อไปอีกว่า  "ฮึ มีดาบด้วยหรือ! คมหรือเปล่านะ ตัดหัวฉันได้ไหมนั่น"เหมือนอย่างกะเอาน้ำมันสาดใส่ไฟที่เริ่มคุ ทหารผู้ปริ่มล้นด้วยศักดิ์ศรี ไม่ฟังอิร้าค่าอิรมอันใด  มือตีนหน้าตามันเป็นไปของมันเอง  ชักดาบออกจากฝักเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว.... ก็พอดี  ได้ยินท่านอาจารย์ เปลี่ยนระดับเสียงด้วยน้ำใจกรุณาปราณี เยี่ยงพระมาโปรดสัตว์หน้าโง่ ว่า

  "นี่ไง ลูกเอ๋ย ประตูนรกแล้วละ ! ที่เธอกำลังเป็นอยู่ทั้งเนื้อทั้งตัว ขณะนี้นี่แหละ  กำลังเหยียบประตูนรกแล้วละ  ถ้ามีประตูแล้ว นรกจะมีหรือไม่มีล่ะ?"

  ฉับพลันทันทีนั้นเหมือนกัน  นักดาบซามูไรของเราก็สำนึกตัว สำนึกบาป  มือไม้แข้งขาอ่อน ทรุดตัวลงกราบแทบเท้า  ไหว้แล้ว ไหว้อีก ขออภัยและยอมตัวเป็นศิษย์  ยอมหมดทั้งกายทั้งใจ ตั้งแต่บัดนี้ไป

  ท่านอาจารย์เลยถือโอกาสกล่าวชี้แจงขึ้นอีกวาระหนึ่งว่า  "นี่ไง  ลูกเอ๋ย ประตูสวรรค์ละ! ที่เธอกำลังเป็นอยู่ทั้งเนื้อทั้งตัวขณะนี้  กำลังเหยียบประตูสวรรค์แล้วละ  ถ้ามีประตูสวรรค์แล้ว  สวรรค์จริง ๆ จะมีหรือไม่มีล่ะ?!"
นิทานก็จบ

    จากเรื่องราวที่เล่ามานี้  เราท่านย่อมทราบในเนื้อนิทานเรื่องนี่เอง  แม้มันจะเป็นข้อความโต้ตอบสั้น ๆ แต่ก็บรรยายถึง มโนกรรม  วจีกรรม  กายกรรม  ที่ท่านอาจารย์เซนทั้งหลายใช้สอนศิษย์  ให้รู้เห็นกันเดี๋ยวนั้น ณ  ที่นั่งอันเดียวนั้น  ว่ามันเป็น อกุศลกรรมบท ซึ่งธรรมะหมวดสำคัญนี้  พวกเราใช้เรียนใช้ท่องกันถึง ๑๐ อย่าง  และแจกลูกออกไปอีก ๔๐ อย่าง  สวดเรียงข้อแต่ละอย่างใน ๔๐ อย่างนี้ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ถ้าจะอธิบายยกตัวอย่างเรียงลำดับข้อกัน  ต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ เสร็จแล้วยังเลือน ๆ  กลัวว่ามันจะเรียงข้อนั้นก่อน  ข้อนี้หลังพะวักพะวน

  ดูเอาเถิดท่านทั้งหลาย  มันเป็นการเหลือบ่ากว่าแรงเหลือเกินที่จะต้องมานั่งอธิบายข้อความที่ลึกลับ ละเอียดแต่นำสืบให้เห็นกันสด ๆ ไม่ได้  เกี่ยวกับนรกสวรรค์  ยิ่งในพวกคนหนุ่มที่ถือตัวว่ามีการศึกษาสมัยใหม่  หรือทรงศักดิ์เป็นชั้นนั้นชั้นนี้  ยิ่งแล้วใหญ่  คนผู้ทำหน้าที่ วิสัชนาจะไปทำอย่างไรกะคนพวกนี้ดีไม่ดี อาจผลักเจตนาอยากรู้อยากถามของเขา  ให้ลงเหวแห่ง มิจฉาทิฏฐิมืดมิดไปเสียอีก

  การที่ใครก็ตาม  เริ่มอยากรู้ และถามเรื่องตายเกิด หรือนรกสวรรค์  พึงให้รู้เถิดว่าเขากำลังบ่ายหน้าสนใจเรื่องของศาสนามาบ้างแล้ว  อย่าได้ไปตั้งข้อรังเกียจเขา  ถ้าชี้แจงให้เขาไม่กระจ่าง ก็ควรบอกให้เขาไปถาม คนที่สมควรต่อ ๆ ไป เยี่ยงน้ำใจนักกีฬา  บางทีเขาอาจไปโดนทีเด็ด  อย่างท่านอาจารย์ ฮากูอินในเรื่องนี้บ้างกระมัง


หมายเหตุการจะอธิบายเรื่องนรกสวรรค์นั้นเป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญ อธิบายสามวันเจ็ดวันก็ไม่เป็นที่สรุปดีไม่ดีอาจไปมีเรื่องกับผู้มาขอคำอธิบายอีก แต่อาจารย์ ฮากูอิน ท่านอธิบายแบบสด ๆ เข้าใจเลยภายในเวลาเล็กน้อยเท่านั้นเอง

                                          


                                            _______________________

                                                                                              Sampan Chanpa


























   
        

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เถรตรง



                                                       เถร ตรง
                                                         
                                     


  ใครก็ไม่รู้  ที่กล่าวคำคมว่า  นักการเมืองจะต้องพูด ดำเป็นขาว  พูดขาวเป็นดำ  ถ้าลงเป็นแบบนั้น  มะกอกสามตะกร้าก็ปาไม่ถูก  ตอนหาเสียงพูดว่าข้าไม่เอากะเอ็ง  เพราะเอ็งเป็นเผด็จการ ครั้นเลือกตั้งเสร็จ กลับไปอี๋อ๋อออเซาะกันซะแล้ว ชาวบ้านก็เลยเง็ง  ชักจะเหม็นเบื่อ


  ไม่แต่เมืองไทยหรอกที่เป็นแบบนี้   ที่ประเทศเยอรมันก็เป็นเหมือนกัน  กล่าวคือ ผู้คนกำลังเหม็นเบื่อนักการเมืองมืออาชีพ  พวกนี้มีเงินถุงเงินถังอุดหนุน  ไม่รู้ไปเอาเงินมาจากไหน  แต่ละคนรวยจนพุงกาง แต่งตัวสวยสุดหล่อ  พูดจาดี  ขยันกล่าวสุนทรพจน์  และขยันออก ที.วี. ถามอะไรตอบได้หมด เก่งที่ซู้ด !!!!

                                        


  ชาวบ้านเยอรมันเลยชักเซ็ง  เพราะนักการเมืองเขี้ยวลากดินเหล่านี้ ทำให้ประเทศเยอรมันเต็มไปด้วยมลภาวะ  แถมยังจะเอาขีปนาวุธมหาภัยของอเมริกามาตั้งไว้ในเยอรมันเสียด้วย  พวกหนุ่มสาวเยอรมัน ทนไม่ไหวจึงมีการชุมนุมประท้วงคล้าย ๆ กับเมืองไทยของเรา  แต่คนละเรื่องกับบ้านเรา ของเขาประท้วงนิวเคลียร์ และขีปนาวุธกันใหญ่   เรียกชื่อกลุ่มของตนว่าพวกกรีนส์

  คือพวกเขียว

  เพราะพวกนี้รักต้นไม้  ใครจะตัดต้นไม้  ถางป่าเพื่อเอาที่่่่่ไปทำสนามบิน หรือบ้านเราจะทำเขื่อน จะไม่ย่อมเด็ดขาด  นโยบายข้อแรกจึงมุ่งอนุรักษ์ธรรมชาติ ตรงข้ามกับบ้านเราตัดต้นไม้แหลก แจกโฉนด โหดจับเสือขาย ละลายเงินป้องกันน้ำ นักการเมืองบ้านเราทำทั้งนั้น มันบอกว่ามันยังรวยไม่พอ เอากับมันซิ..!!!! ส่วนของเยอรมันนั้นรักความเขียวของต้นไม้

  นโยบายข้อต่อไปคือ  แอนตี้ขีปนาวุธร้ายแรงของอเมริกัน  เกี่ยวกับแรงงาน พวกเขียวมีหลักการว่าต้องสร้างงานให้มากขึ้น  เพื่อแก้ปัญหาคนว่างงาน  วิธีสร้างงานทำอย่างไร ?  พวกนี้บอกให้ลดเวลาทำงานของกรรมกรลง  เมื่อเป็นเช่นนี้ทางโรงงานก็จะต้องรับคนงานเพิ่ม

  พวกเขียวเหล่านี้ ทีแรกก็ออกมาอาละวาดเยิ้ว ๆ อยู่ข้างถนน  พูดจาไม่ค่อยเข้าหูคน เป็นพวกเถรตรง มองเห็นเงาในกระจกยังเดินชนว่างั้นเถอะ คนตรงใจคิดอย่างไรปากก็พูดไปอย่างนั้น ถ้าถามผมว่าดีไหม ผมก็ว่าดีนะ ไม่ต้องอ้อมค้อม (circuitous) แต่ขอให้มีเหตุผล  ไม่ชอบอะไรกูก็ด่าแหลก  พวกนี้ไม่เคยหวังตำแหน่งหรือลาภยศอันใด

  ชาวบ้านเลยเชียร์กันใหญ่   เลยเลือกเข้าไปนั่งในสภาท้องถิ่น ลองดูก่อนหกเจ็ดคน  เอาเข้าไปเป็นฝ่ายค้าน  ปรากฏว่าได้ผล  เพราะพวกกรีนหรือพวกเขียวได้บอกไว้แต่แรกแล้วว่า เถรตรง ไม่ชอบอะไรก็ด่าแม่งเลย  ชนดะไม่กลัวใครเลย  ใครจะเส้นใหญ่มาจากไหน จะมีปลอกคอยังไงกูไม่สน  ประชาชนเลยชักจะชอบ

   ในการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ  จึงรบเร้าให้พวกกรีนส์ส่งสมาชิกเข้าสมัคร  ผลปรากฏออกมาว่าพวกกรีนส์ ได้รับเลือกเข้าสู่สภาใหญ่ของประเทศถึง ๒๗ คน ตะลึงกันไปหมดทั่วยุโรป พวกกรีนส์จึงนุ่งกางเกงยีนส์เข้าสภาใหญ่หน้าตาเฉย แถมใส่รองเท้ากีฬาเข้าไปด้วย

   ทำเอา "สภาผู้ทรงเกียรติ (ไม่จริง)" มัวหมองไปเยอะ  แต่ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติประเภทเขี้ยวลากดินทั้งหลายก็พูดไม่ออก  เพราะพวกกรีนส์ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฏหมายหรือผิดระเบียบของสภา  พวกกรีนส์ได้ชี้ให้เห็นว่า  เกียรติของสภาไม่ได้อยู่ที่เกือกหรือเสื้อนอกตัวละพัน  เพราะพวกกรีนส์ไม่ยอมใส่เสื้อนอก สาเหตุที่ไม่ยอมใส่ ก็เพราะไม่มีนี่หว่า

  พวกกรีนส์ได้บอกกับนักข่าวว่า  "เกียรติอยู่ที่อุดมคตินะ....ผมว่า....เกียรติมิได้อยู่ที่เกือกหรอก  เกือกคู่นี้ผมมีอยู่แล้วก็เลยใส่มา  ไม่มีเงินจะซื้อคู่ใหม่  ท่านรัฐมนตรีท่านใส่เกือกกันคู่ละสามพันผมว่าบ้านะ....หรือคุณว่าไง ? " 

  พวกนี้เป็นพวกเถรตรง  พูดภาษาดอกไม้หวานหูไม่เป็นชอบพูดทื่อ ๆ แถมยังขู่เสียด้วยว่า " คอยดูสิ...ถ้าสภางุุบงิบทำอะไรหรือมีข้อตกลงอะไรที่ไม่ชอบมาพากล  พวกเราจะเอามาแฉให้หมด ราษฎรมีสิทธิจะรับทราบ (อันนี้ใช้กับเมืองไทยไม่ค่อยได้เพราะมันหน้าด้านกันเกือบทุกคนแค่เรื่องทุจริตการรับจำนำข้าวมันยังตั้งหน้าตั้งตาโกงกันตาใส ๆ ไม่สนใครจะว่ากล่าวอย่างไรกูไม่รับรู้เพราะถือว่าพวกกูมีเสียงข้างมากมีอะไรไหม)  

                                                


  พวกสมาชิกเก่าที่่เป็นนักการเมืองอาชีพคร่ำหวอดถึงกับเสนอว่า  กรรมมาธิการสภาบางคณะเช่นกรรมาธิการทหารไม่ควรให้พวกกรีนส์ไปวุ่นวายด้วย

  เมื่อประเดิมเริ่มแรกที่ออกมาร้องปาว ๆ กันอยู่กลางถนนนั้นมีเพียงสมาชิกไม่กี่สิบคน  เผลอแพล็บเดียวเพิ่มขึ้นเป็นร้อย  ตอนนี้ได้ยินว่าสมาชิกขึ้นไปเป็นแสนแล้ว  อายุเฉลี่ยอยู่ในระหว่าง ๒๕-๓๕ ปี บางคนอายุตั้ง ๗๐ ปีแล้วยังกะเย้อกะแหย่งมาขอเป็นสมาชิกด้วย โดยอ้างว่า "เด็กพวกนี้มันเจี๊ยวสนุกดีว่ะ....."

  ได้ยินว่าร้อยละ ๓๐ ของสมาชิกเป็นผู้หญิง  และหัวหน้าใหญ่คนหนึ่งที่ได้รับเลือกตั้งเข้าไปนั่งในสภาแห่งชาติที่กรุงบอนน์นั้นก็เป็นผู้หญิง  ชื่อ เภตรา  เค็ลลี่  เธอบอกว่า "เรามิได้ต่อต้านอเมริกัน แต่เราต่อต้านสงคราม เอากะแม่...ซิ.......อย่ามาหาว่าเราเป็นซ้าย  เพราะเราไม่ใช่ซ้าย  ไม่ใช่ขวา......เราเป็นพวกเดินหน้า "

  พวกนี้คงจะดูหนังเรื่อง  "คานธี " กันคนละหลายรอบ เพราะย้ำหนักหนาว่า  "ยุทธวิธีของเราไม่ใช้ความรุนแรงในการต่อสู้ทั้งปวง  เราอาจจะถ่มน้ำลายใส่ตำรวจที่มาผลักอกเรา แต่เราจะไม่ยิงเขาหรือแทงเขาเป็นอันขาด..... เรายอมติดคุกเพื่ออุดมคติของเรา  ถ้าหากมันจำเป๋็น  และเราวิ่งหนีไม่ทัน "

                                                 




  พวกกรีนส์ส่วนใหญ่ที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นั้น มีการศึกษาดี บางคนเป็นครู  เป็นนักหนังสือพิมพ์ คนหนึ่งเคยเป็นนายพลในกองทัพ  อีกสองคนเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย  มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่เป็นกรรมกร....ขายแรงงานจริง ๆ เลย เขาบอกด้วยความภาคภูมิใจว่า "ผมเป็นช่างก่ออิฐ  แต่ผมสนใจปัญหาสังคมนะ"

  ช่างก่ออิฐคนนี้  พอเข้าประชุมสภาได้สองนัดก็ออกมาแถลงความรู้สึกว่า  "ผมคิดว่าพวกเราคงทำอะไรไม่ได้ในสภา  เพราะต้องประธานชี้จึงจะพูดได้.......เราจะต่อต้านนิวเคลียร์ต่อไป แต่ผมรู้สึกว่าเราจะต้องออกมาตั้งวงตะโกนกัน นอกสภาอย่างเก่า"

  ธรรมดาของสภาเปิดมักมีเหตุการณ์แปลก ๆ   ในเมืองไทยในอดีตก็เคยมีเรื่องตลกไม่ออกเหมือนกัน  รัฐมนตรีท่านหนึ่งตั้งคนล้มละลายเป็นเลขา ฯ เลยมีเสียงตะโกนบอกกันออกมา ท่านรัฐมมนตรีผู้นั้นท่านก็ดี
ท่านบอกว่า "งั้นเรอะ...ผมก็เปลี่ยนใหม่ได้......ผมจะไปรู้เรอะ  ไม่มีใครแขวนป้ายไว้นี่ว่า เขาเป็นคนล้มละลาย"

  ที่เยอรมันก็มีเรื่องคล้าย ๆ กัน  คือพวกกรีนส์ได้เข้าสภา ๒๗ คน  ก็มีพวกไม่ชอบขี้หน้าไปคุ้ยประวัติมาแฉโพยว่า สมาชิกกรีนส์คนหนึ่งชื่อ  เวอร์เนอร์ โวเกิล อายุ ๗๕ ปีนั้น  ในอดีตเคยเป็นพรรคนาซี  อีตาคนนี้แกก็ยอมลาออกทันที  แกบอกว่า  "ถ้าผมอยู่ในวันเปิดสภา  ผมก็จะต้องทำหน้าที่เป็นประธานสภาชั่วคราวก่อนจะเริ่มเลือกประธานตัวจริง  เพราะผมเป็นคนที่มีอาวุโสที่สุดในสภา  ผมลาออกให้เห็นเป็นตัวอย่าง  เผื่อบางทีจะทำให้พวกอดีตนาซีที่ยังหน้าด้านรับราชการอยู่จะได้รู้สึกละอายแก่ใจบ้าง"

  ฝ่าย ส.ส. หญิง เภตรา  เค็ลลี่  หัวหน้าของพวกกรีนส์พอเข้าสภาก  ก็เจอปัญหาเหมือนกัน  คือห้องน้ำในสภาสำหรับ "หญิง"  ปรากฏว่า คนแน่นเหลือเกิน แต่ละคนใช้เวลาในนั้่นกันนานเหลือเกิน  เพราะบรรจงแต่งแต้มตรงโน้นตรงนี้  มองแล้วมองอีกกว่าจะเสร็จ  คุณเภตราแกรำคาญเต็มแก่  ต้องตะโกนว่า "ขอไปเอาสบู่ล้างมือหน่อย !!"   พวกที่กำลังกะตุ้งกะติ้งแต่งหน้าแต่งคิ้วทาปากจึงยอมแหวกทางให้

  แต่ปัญหาที่หนักกว่านั้นคือ  มีชาวบ้านโทรเลขไปแสดงความยินดี บางคนก็โทรศัพท์ บางคนก็เขียนจดหมายไปให้กำลังใจถึง ๒๐๐ ฉบับ เธอนั่งตอบจดหมายจนตีสามก็ยังไม่เสร็จ  รู้สึกว่าจะไม่ไหว รุ่งขึ้นจึงมาบอกพรรคพวกว่า  ขออนุญาตจ้างเลขา ฯ สักคน

  แทนที่พรรคพวกจะเห็นใจ  กลับพูดเยาะว่า  "โอ้โฮ! เดี๋ยวนี้จะต้องมีเลขาแล้วเรอะ.....งานคงท่วมไหล่เลยนิ......  แล้วก็แอบไปนินทากันลับหลังว่า  "พอได้เข้าสภาก็ชักเจ้ายศ เจ้าอย่าง.....ฮิ.....ฮิ...... ทำยังกะเป็นเลดี้ไดขึ้นมาเชียว" เป็นงั้นไป

  พวก "ลัดดาซุบซิบ" แอบไปได้ยินก็เอามาตั้งฉายาว่า เธอคือ....... เลดี้ไดแห่งพรรคเขียว  ทำท่าจะเสียคนเอา! 

  การเล่นการเมืองก็อย่างนี้   เถรตรงนักก็ถูกเขาตุ๋น   กลมกลิ้งนักก็กลายเป็นปลาไหล.......ไม่พูดอะไรเสียเลยดีกว่า

  ก็ยังจะว่าเป็น  "พระเตมีใบ้" อีกนะ... !!

                                                    






                                              ______________________________________

                                                                                                                  Sampan Chanpa







































 












วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เรื่องของ รองเท้า





                                                เรื่อง ของรองเท้า


                                             

 เท้าเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างมนุษย์  ผู้ที่ไม่มีเท้าก็อาจจะได้ชื่อว่า เป็นผู้พิการขาดสิทธิทางกายภาพไป บางทีพวกเราก็เรียกว่า "ร่างกายไม่ครบสามสิบสอง" ถ้าถามว่าผู้ที่่พิการสามารถอยู่ในสังคมได้ไหม คำตอบง่าย ๆ ก็คือสามารถอยู่ได้ ถ้าเขาอยากจะอยู่  แต่ผู้พิการส่วนใหญ่มักจะคิดว่าถูกทอดทิ้งทางสังคมหรือเป็นภาระต่อสังคม ความจริงแล้วสังคมส่วนใหญ่ไม่ได้ทอดทิ้งท่าน

  เท้าของคนเราเป็นอวัยวะที่มี่ตำแหน่งที่อยู่ต่ำที่สุดของร่างกาย ถ้าท่านไม่อยู่ในสภาพที่กำลังนอนราบไปกับพื้นโลก  ปกติแล้วเท้าได้รับมอบหมายให้ทำหน้าทีหลายอย่าง ที่สำคัญที่สุดก็คือรับน้ำหนัก และใช้เป็นตัวขับเคลื่อนนำพาร่างกายไปในที่ ๆ อยากจะไป 

  เมื่อเท้ามีหน้าที่ขับเคลื่อน มนุษย์จึงจำเป็นต้องหาอุปกรณ์มาช่วยแบ่งเบาภาระของเท้าก็คือ "รองเท้า Shoes " สมัยก่อนพวกเราเรียกว่า "เกีอก Footwear"  และรองเท้าที่ผมมีความสนิทสนมมากที่่สุดคือยี่ห้อบาจา BATA  จริง ๆ แล้วบางท่านอาจจะนึกว่าเป็นยี่ห้อรองเท้าของคนไทย ผมไปอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ์ (ฉบับวันที่ ๒๒ ต.ค.) คุณกิเลน ประลองเชิง ตำนานบาจา คุณกิเลน บอกว่า เจ้าของรองเท้า บาจา ชื่อ นายโธมัส บาจา บริษัทบาจา เริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ๒๔๓๗ ร้อยกว่าปีที่แล้ว ปี ๒๔๔๐ ประการหลักการลูกค้าเป็นนายของเรา ผลิตรองเท้าผ้าใบขาย และในปี ๒๔๖๐ สามารถทำยอดขายได้
๒ ล้านคู่ต่อปี

                                                        


  ในปี ๒๔๗๕ นายโทมาส บาจา แกก็จากโลกใบนี้ไปไม่มีวันกลับ แต่ถ้าสมมุติว่าแกกลับมาคงจะดีใจแน่นอนว่ารองเท้ายี่ห้อ BATA ของแกเจริญรุ่งเรือง ผมพูดเองนะครับ สาเหตุการจากไปของอีตาโธมัส บาจา ก็คือเครื่องบินทีแกโดยสารไป มันตกครับ แต่บริษัทรองเท้าของแกกลับยิ่งเจริญรุ่งเรือง และในปี  ๒๔๘๒ ได้มีการขยายเครือข่ายออกไปถึง ๖๓ แห่ง ใน ๖๐ ประเทศ ยอดขายปีละ ๖๐ ล้านคู่

  ในปี ๒๔๘๒ บาจาต้องสะดุด  เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เข้ามายึดครองบริษัท ผมลืมบอกไปว่า รองเท้า บาจามีต้นกำเนิด ที่กรุงปราก ประเทศเช็ก  (ชื่อเดิม เช็กโกสโลวาเกีย ) พูดมาถึงตอนนี้ให้นึกถึง รองเท้า ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งวัยรุ่นสมัยผมอยากสวมใส่มากคือยี่ห้อ เช็กโก วัยรุ่นสมัยนั้นเรียกติดปากว่า รองเท้าเช็กโก  ป็นรองเท้าหนังกลับหุ้มข้อ ใครได้ใส่ บอกได้คำเดียวว่า เท่ห์ระเบิด เดียวนี้ใครใส่รองเท้าหนังกลับไม่ว่ายี่ห้อใด เราก็เหมาเข่งเลยว่า รองเท้าเช็กโก

                                             




  สุดท้ายบริษัท บาจาไม่ยอมแพ้ ได้ย้ายไปเปิดสำนักงานใหม่ที่ประเทศ แคนาดา  และในปี ๒๔๙๓ (หลังผมเกิด ๑ ปี) บาจาได้เข้ามาตั้งบริษัทในไทย  ในปี ๒๕๑๙ ได้เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต่อมาในปี ๒๕๓๗ ตั้งเป็นบริษัทมหาชน จนถึงปี ๒๕๕๓ บาจาได้บริการลูกค้าวันละ ๑ ล้านคน มีพนักงาน  ๔ หมื่นคน มีร้านค้าปลีก ๔,๖๐๐ แห่ง ใน ๕๐ ประเทศทั่วโลก


  ในประเทศไทย  มีโรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง  ผลิตได้ ๘ แสนคู่ แบ่งเป็น (รองเท้านักเรียน ๔๕๐,๐๐๐ คู่ ) มีร้านค้าปลีก ๕๗ แห่ง  เอเย่นต์ค้าส่ง ๓๔๖ แห่ง

ประวัติ!!!!..... บาจายาววนานกว่า ๑๐๐ ปี ยืนยันบริหารจัดการ  ยิ่งกว่ามืออาชีพ พูดง่าย ๆ ว่าเหนือกว่า
มืออาชีพ ธุระกิจสืบทอดมาจนถึง โทมัส เจ บาจา  ทายาทรุ่นที ๑๐  แบบนี้ไม่ใช่เรื่องดวงดีแล้ว หรือโชคช่วย แต่เป็นการแสดงถึงความสามารถเหนือมืออาชีพชนิดที่ทิ้งกันแบบไม่เห็นฝุ่น

" การที่ผมเป็นลูกคนเดียวของพ่อ  ผู้เป็นตำนานบาจา เป็นเหมือนดาบสองคม  ในแง่ลบทุกคนตั้งความหวังจากผม  ผมก็ต้องการเรียกร้องความเป็นตัวของตัวเอง  อยากหลีกหนีให้ไกลจากเงาของพ่อและแม่ เมื่อใดที่ผมประสบกับความสำเร็จ  ผมก็จะกลายเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น   แต่เมื่อใดถ้าหากผมเกิดพลาดพลั้ง ขึ้นมาไม่ประสบผลสำเร็จ  ผมก็จะถูกตำหนิว่าผมทำธุระกิจของครอบครัวล้มเหลว  แต่ผมโชคดี ข้อเปรียบเทียบเหล่านี้ถูกลบไปจนหมดสิ้น"

  สันติ  วิลาสศักดานนท์  เขียนไว้ในคำนำ ว่า

"การฟันฝ่าอุปสรรคมาได้กระทั้งยามสงคราม  กลยุทธ์การเอาตัวรอด  กลยุทธ์การตลาดในการขยายธุรกิจ  การมองตลาด  หาโอกาสทำธุรกิจได้ตลอดเวลา  เป็นการแสดงถึงภาวะผู้นำ และวิสัยทัศน์  จนสามารถนำองค์กรอยู่ยืนยงมาได้"

  ในหมู่พ่อค้าคนจีน  มีคำกล่าวว่า ธุรกิจครอบครัวมักรุ่งเรืองอยู่ได้ ๓ ชั่วอายุคน  รุ่งเรืองรุ่นพ่อ  รุ่นลูกประคองไว้ได้  และมักมาเจ๊งที่รุ่นหลาน....!!!!

แต่บาจา ได้พิสูจน์แล้วว่า....ไม่ไช่

ข้อมูลบางส่วน ได้นำมาจาก  บทความไทยรัฐ ของ คุณกิเลน ประลองเชิง
                                                 
                                                   

                                                        ______________________

                                                                 สัมพันธ์ จันทร์ผา






วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อ่านมาอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น



             อ่านมาอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น

                                           



        โลกของเรานี้  ประชากร ของแต่ละประเทศย่อมมี พฤติกรรมที่แตกต่างกัน ออกไป พฤติกรรมเป็น ผลพวง ของนิสัย และนิสัยเป็น ผลพวง ของธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแต่ดั้งเดิม

มีคำถามว่า คนไทยมีนิสัยแตกต่างจากคนชาติอื่น ๆ อย่างไร เรามาดูนิสัยของคนในชาติอื่น กันก่อนดีไหม

( ผลรวมแบบกว้าง ๆ นะครับ ผู้อ่านอาจมีควาคิดต่างได้ )
                                             

                                                 


                                       

     มาดูชาติจีนกันก่อน   คนจีน จะประหยัด มัธยัสถ์ เอาการเอางาน มีเลือดรักชาติ ทะเยอทะยานไม่กลัวความลำบาก หนักเอาเบาสู้ แข็งแรง เก่งด้านค้าขาย อ่อนน้อมถ่อมตน ชอบสูบบุหรี่ ชอบพูดจาโหวกเหวก (คุณเห็นเป็นอย่างไร และปัจจุบันนี้จีนเป็นอย่างไร )


                      


                                    


  คนญี่ปุ่น จะสุภาพเรียบร้อย นิ่มนวล กดขี่ทางเพศ ล้างสมองได้ยาก มีความรับผิดชอบสูง ชาตินิยม มี ระเบียบวินัย สูง ตรงต่อเวลา ประหยัด มีความคิดสร้างสรรค์สูง หัวก้าวหน้า เครียด อารมณ์ทางเพศสูง ผู้ชายค่อนข้างซาดิสต์ ทระนงตน ใจเด็ด (ถ้าลดความทนงตนลงนิด ถ่อมตัวลงหน่อย คงจะไม่ก่อสงคราม ไปทั่วในอดีต)
         


                                          


                                                  


  คนอินเดีย จะชอบกิน อาหารเผ็ดร้อน พวกเครื่องเทศ ชอบแกงคั่ว พูดเก่ง ตื๊อเก่ง เจรจาการค้าเก่ง อดทนสูง ทำธุรกิจบางอย่างที่คนไทยทำไม่ได้ ขยัน ประหยัด ลูกเล่นแพรวพราว และสกปรก (สกปรกนั้นเป็นส่วนใหญ่ ที่สะอาดหูสะอาดตาก็มีอยู่มากเหมือนกัน ฝรั่งสกปรกก็มีมากเหมื่อนกัน)      





                                                  


                                
     คนเยอรมัน ตรงไปตรงมา จริงใจ ไม่ชอบเอาเปรียบใครและไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ รอบคอบในการใช้เงินมีการวางแผนชีวิตที่ดี (ถ้าไม่ก่อสงครามคงเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ ของโลกไปแล้ว)

     คนสวิตเซอร์แลนด์ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง สันโดษ รักอิสระ ไม่ชอบเป็นลูกจ้างใคร ไม่ชอบให้ใครมาบงการ เจ้าระเบียบ   เป็นระบบ เกลียดความวุ่นวาย         (คุณเชื่อไหมว่า ประเทศสวิตแทบไม่มีผลกระทบกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ เลย )
                               

                                           
                 

  คนอังกฤษ จะตระหนี่ ประหยัด มัธยัสถ์ สุขุมลุุ่มลึก ขี้เก๊ก ฟอร์มผู้ดี จริงจังกับชีวิต ทำงานหนักสู้ค่าครองชีพที่สูง ยิ้มยาก หน้าตาเครียดตลอดเวลา (ไม่รู้ว่าถูกยกย่องว่าเป็นผู้ดีอังกฤษได้อย่างไร หรื่อเป็นชาติเดียวในโลกที่ได้รับสมญานามว่า "ดินแดนที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ")                                               

                                              
  



  คนอเมริกัน รักอิสระเหนือสิ่งอื่นใด มีนิสัยหลากหลายตามเชื้อชาติของเขา ชอบเฮฮาปาร์ตี้ เปิดเผย พูดตรง ตรงต่อเวลา เอาแต่ใจตัวเอง มีอีโก้สูงมาก คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น (ตอนนี้เลยเริ่มจะชักหน้าไม่ถึงหลัง เพราะคนเราบางครั้ง จะเก่งหรือจะทำอะไรก็ต้องมีขอบเขต )                                        

                                          


  คนฝรั่งเศส รับผิดชอบสูง เจ้าสำอาง พิถีพิถันในการแต่งกาย รสนิยมสูง ครอบครัวจะมาก่อน นิยมใช้ขนมปังปาดจานจนเกลี้ยง ใช้รถคันเล็ก ๆ เพราะต้องการประหยัดพลังงาน (แต่ในอดีตก็พอ ๆ กับอังกฤษ เหมือนกัน นักล่าอาณานิคมทั้งคู่ )    


                                                    


  คนออสเตรเลีย ขี้เหนียว ขยันทำงาน ไม่ค่อยจะเปิดใจยอมรับคนผิวเหลือง ทำมาหากินเก่ง ใครด้อยกว่าจะโดนเอาเปรียบได้โดยง่าย (ในอดีตก็คนส่วนใหญ่เชื้อสายอังกฤษไปรุกรานเขาแล้วก็เหมาเอาเป็นชาติของตัวเอง ปัจจุบันก็กีดกันไม่ย่อมให้ผู้ลี้ภัยชาติอื่นเข้าประเทศ ความจริงก็เป็นเกือบทุกชาติ แต่ออสเตรเลียกีดกันมาก)
        



                                                


  คนนิวซีแลนด์ สุภาพ เรียบร้อย อ่อนโยน ไม่หยิ่ง ไม่ถือตัว อัธยาศัยดี ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่อวดรวย รักธรรมชาติ (แทบจะเรียกแบบภาษาชาวบ้านว่า "บ้านเหนือบ้านใต้"กับออสเตรเลีย แต่นิสัยต่างราวฟ้ากับเหวเลยก็ว่าได้)                           


                                           
  
                                          
  คนอิตาลี จริงจัง มุ่งมั่น ขยันงาน คุยตลก สนุกสนาน ใช้มือประกอบการพูด รักสะอาด รักง่ายหน่ายเร็ว การหย่าร้างสูง  (ในอดีตดินแดนนี้เคยรุ่งเรื่องมากเรารู้จักกันในนามว่า "อาณาจักรโรมัน" แต่อำนาจใด ๆ ในโลกนี้ ล้วนไม่ยั่งยืน )     


                                               

   

  คนสเปน ทะลึ่งทะเล้นนิด ๆ ขี้เล่น ไม่ชอบเครียด เอ็นจอยกับชีวิต แม้เศรษฐกิจของชาติจะไปไม่รอดแต่ก็ยังเฮฮาอยู่ เป็นคนไม่อ้อมค้อม  (มีส่วนร่วมสังฆกรรมกับอังกฤษและฝรั่งเศษ 

ล่าอาณานิคมกับเขาด้วยเหมื่อนกัน เดินเรือเก่ง และต่อเรือเก่งอีกต่างหาก)    


                               
                      

 


  คนแคนาดา มีส่วนผสมของชนชาติต่าง ๆ มาก คนเอเชียไปอยู่ที่นี่มาก คนแคนาดาจึงเป็น ลูกผสม โดยไม่รู้ตัว  ( แคนนาดาอยู่ติดกับอเมริกา แต่คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจนะครับว่าอเมริกาแทบจะร้องไห้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะดันไปขายดินแดนที่นึกว่ามันไม่มีประโยชน์ให้แคนนาดา เพียงราคาแค่ ๑ เหรียญ หนึ่งเหรียญจริง ๆ ครับ แคนนาดาก็ซื้อครับเหมือนได้เปล่า และที่ว่าอเมริกาแทบร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด ก็เพราะว่ามารู้ที่หลังว่า เป็นแหล่งน้ำมันที่มีมากมายมหาศาล แต่ก็ได้แต่นั่งน้ำลายยืด กระพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับบ้านพี่เมืองน้องอยู่ในเวลานี้ อ้อ !  เกือบลืมบอกไปว่าดินแดนนี้ คือ อลาสก้าในปัจจุบันครับพี่น้อง)

  คนไต้หวัน ผู้ชายต้องตักอาหารก่อน ครอบครัวมาก่อนเสมอ ผู้ชายทำงานบ้านเก่ง แต่อารมณ์ร้อน ชอบแต่งตัว ชอบทำหน้า ผู้ชายเกาหลี ซ้อมภรรยา มากที่สุด ถ้าแต่งงานกัน ผู้หญิงเกาหลีต้องนับถือญาติฝ่ายชายมากกว่าญาติตัวเอง  (ชาตินี้ว่าไปในอดีตก็น่าสงสารมากครับ เราเรียกว่า เกาะ ฟอร์โมซา จริง ๆ แล้ว ฟอร์โมซา คือภาษา ของชนพื้นเมืองเดิม ที่เดิมใช้ติดต่อพูดคุยกัน แต่เดี่ยวนี้มีผู้ใช้ภาษานี้น้อยมาก เกือบจะกลายเป็นภาษาตายไปแล้ว )

 

                                            

                                        


และนี่ก็เป็นนิสัยของพวกเราชาวไทยผู้น่าสงสาร  (อยู่ในขณะนี้) ความจริงน่าเวทนามากกว่า

   คนไทย ชอบกินอาหาร ชอบกินข้าว ร่าเริง เป็นกันเอง ชอบเล่นหวย ชอบการพนัน เชื่อโชคลาภ ชอบหวังน้ำบ่อหน้า เชื่อคนง่าย ด่วนสรุป ชอบต่างชาติโดยเอาเฉพาะพวกฝรั่ง ชอบเที่ยว ชอบชอปปิง ชอบซื้อสินค้าแบรนด์เนม นิยมความหรูหรา ทำนองรายได้ต่ำรสนิยมสูง การทำงานเป็นทีมไม่ค่อยจะได้รับความสำเร็จ ขี้อิจฉา ขี้หมั่นไส้ รับทุกอย่างที่ขวางหน้า จะเห็นได้ชัดคือ วันสำคัญ ๆ ของคนต่างชาติ คนไทยรับมาเป็นวันสำคัญของตัวหมด ชอบใช้ บัตรเครดิต เพราะเชื่อในเรื่องอนาคตยังมีความหวังและประการสำคัญ มีความเป็นไทยสูงใช้สิทธิและเสรีภาพเปลือง

   ผมไม่มีข้อคิดเห็นนะครับ เพราะผมเป็นคนไทยรักชาติไทยไม่อยากให้คนไทยในขณะนี้แตกความสามัคคีกัน  จนไม่เหลือความเป็นชาติ ทำให้ชาติอื่น รวมทั้งคนบางกลุ่มในชาติของเรา เอาความอ่อนแอของชาติเราไปกอบโกยผลประโยชนฺ์ใส่ตัวเอง ถ้าคนในชาติไม่รักสามัคคีกัน
แค่คิดน้ำตาก็จะไหลแล้ว แต่มันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ  " ไม่มีสันติภาพ และความสงบ เกิดขึ้นแน่ ถ้าโลกใบนี้ยังหวังกอบโกยและหาผลประโยชน์กันไม่มีที่สิ้นสุด"


                                                ___________________________



           

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์



                                วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์ 


      วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์ นิยามความรวยกับความจน มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่? ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า...

 ๑) ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็ก ๆ เป็นกระท่อมน้อย ๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ มันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

 ๒) มีที่ดิน แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่ง มันเยอะมาก จริง ๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงิน เขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้น ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ ๆ ด้วย


     เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่ายคือ ปลูกต้นไม้ ไม้ประดูููููููููุุุุุูู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปี ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น เป็นเรื่องแปลก ที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย..มันร้อน ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะ จะทำการเกษตรได้ ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ ไม่เอาๆ อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า

   แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญา จะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผม เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ...

 ๑) ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ 


 ๒) ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่
     สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า ลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้       เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ

 ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอน ให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน 

  
 ผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์มากที่สุด คืองานเกษตรซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่ม ในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหาร ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด


   
     ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เพราะว่าสะอาด จ้างเท่าไหร่ก็ไม่อยากให้ไปอยู่ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด สำคัญที่สุดคือ เรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง เพราะว่าคนเมืองเห็นแก่ตัว วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ เดี๋ยวก็ฆ่ากัน ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโล


   คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น เอื้ออาทรกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกัน ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ ถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบของใครของมัน บ้านคนละหลัง ครอบครัวคนละหลัง ไม่รู้จักกัน ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็ก ๆ เราก็ช่วยเหลือกันได้ คุยกันได้ แบ่งปันกันได้ ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้ 


      ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงิน ไม่ได้เรียนหนังสือสูุุุุุงๆ แต่เขาจะมีสิ่งที่ดีกว่านั้นเยอะ คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี ไม่มียาเสพติด ไม่มีการพนัน ไม่ม อาชญากรรม มันน่าอยู่ ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้นมันก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง 


   ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยา ไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่น ลูกผมเรียนหนังสือไม่เก่ง ปีนี้เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขา มีนักเรียน ๓๙ คน มันเดินสายกลางพอดีเลย (หัวเราะ) แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่า เป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้น ฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว 

          ผมเคยอยู่ในสังคมอย่างนั้นมาก่อน มันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจ แต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิตของคนอีสาน ที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา ทำให้ลูกอายุแค่ ๘ ขวบเป็นคนมีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมาก ๆ เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก สำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต ผมคิดว่าเขาคงมีความสุขแน่


                                    _____________________________





เรื่องของกรรม (เรื่องนี้ไม่ตลก)




                                   เรื่องของกรรม (อย่ามองข้าม ) ตอนที่ ๑

                                                 

เรื่องที่ ?

      เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน ผมต้องขอยอมรับว่าผมมีความผูกพันกับวัตถุชนิดนี้น้อยมาก เพราะตัวผมเองก็ไม่เคยมีปืน และออกจะกลัว ๆ เสียด้วยซ้ำไป แต่ก็ต้องย่อมรับว่าในช่วงหนึ่งของชีวิตผมได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับอาวุธที่เรียกว่าปืน อย่างช่วยไม่ได้ เพราะจริง ๆ แล้วก็ไม่มีใครจะช่วยผมได้
   
    วันนั้นผมจำได้ว่าเป็นเวลาพักกลางวันภายในโรงเรียน  (ขอสงวนชื่อโรงเรียนนะครับ) แต่มีครูอาวุโส ท่านหนึ่งท่านชอบอาวุธปืนเอามาก ๆ ท่านพกปืนไปโรงเรียนทุกวัน ไม่รู้ว่าท่านพกปืนไปทำไมเพราะเท่าที่สังเกตท่านเป็นคนที่ไม่มีศัตรู อารมณ์ดี ติดตลก ข้อสำคัญ อันนี้ผมแอบไปรู้มาเอง คุณครูท่านนี้ กลัวเมียมากที่สุดเท่าทีผมไปรู้มา 

                                                            



    มีผู้สันทัดกรณี ได้แอบเข้าไปเห็นพฤติกรรมของคุณครูผู้นี้ทำยุทธหัตถีกับเมียแก แล้วแอบมากระซิบดัง ๆ ให้ผมฟังว่า แกกลัวเมียแกมากขนาดตีกันวันนั้น ได้ยินเสียเมียแกร้องลั่นบ้านว่า " ช่วยด้วย ช่วยด้วย " สนั่นบ้าน คนแถวนั้นก็ได้ยิน ลูกหลานได้ยินกันหมด รวมทั้งตัวผู้เล่าเหตุการณ์ให้ผมฟัง ทุกคนวิ่งขึ้นไปบนบ้าน แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นนั้นมันกลับไม่ได้เป็นไปตามที่คาดคิด ภาพที่ปรากฎ นั้น เมียแกนั่งคร่อมบนตัวสามีแกมือซ้ายกดคอมือขวาตบสามีแบบไม่ยั้ง ปากเมียแกก็ร้องตะโกน ให้คนช่วย ไม่รู้จะร้องทำไมเพราะดูสภาพการณ์แล้ว ผัวแกน่าจะเป็นฝ่ายร้องมากกว่า
     
                                                 


    ว่าจะเล่าเรื่องปืนไหงดันไปเล่าเรื่องผัวเมียตีกัน  เป็นอันว่าเรื่องนี้พักไว้แค่นี้  วันนั้นผมจะไม่มีวันลืมเลย  คุณครูท่านนี้แทนที่จะพกปืนสั้นมาอย่างที่เคยเป็น แต่แกดันถือเอาปืนยาวมาโรงเรียนด้วย มีครูหลายคนถามแก ว่า พี่เอาปืนยาวมาทำไม แกก็ได้แต่ยิ้มแบบคนอารมณ์ดีแต่ไม่ให้คำตอบ 
                                                   

    

     แต่พอแกเดินผ่านห้องผมแกก็บอกว่า" สัมพันธ์ ตอนพักเที่ยงว่างหรือเปล่า" ผมบอกว่า

"พี่มีธุระอะไรจะให้ผมทำหรือครับ" "เปล่าไม่มีอะไรหรอก" แกตอบผมเบา ๆ เป็นคำพูดที่เราเคยได้ยินบ่อย ๆ (แต่ความจริงมีเรื่อง) "จะชวนสัมพันธ์ ไปซ้อมมือหน่อย"  ผมก็ถามแกไปว่า "ซ้อมอะไรครับ"  "ยิงปืนซ้อมเป้า"แกว่าของแกแบบนั้น     "แต่ผมไม่เคยยิงปืนนะพี่"    เฮ้ย !!! เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่สอนให้   เป็นอันจบเพราะแกเดินไปเลยไม่รอคำตอบ 

     เที่ยงวันนั้นหลังสนามฟุตบอลล์  ไม่ใช่ผมคนเดียวที่พี่แกชวน แต่มีครู มณฑล ครูไพบูลย์ รวมผมอีกคนเป็นสาม   พี่เจ้าของปืน (ผมขอสงวนนามท่าน)" ใครจะประเดิมก่อน เป้าปืนพี่ให้เด็กไปทำเรียบร้อยแล้ว "   ทุกคนเงียบ " งั้น มณฑลก็แล้วกัน ไพบูลย์คนต่อไป  ส่วน สัมพันธ์ ยังไม่เคยยิงเอาไว้คนสุดท้าย " แกจัดคิวให้เสร็จ   ผมก็อดถามแกไม่ได้ว่า "แล้วทำไมพี่ไม่ยิงให้ผมดูก่อนครับ" แกตอบว่า " เรื่องนั้นน้องไม่ต้องเป็นห่วงพี่เคยยิงบ่อย พี่อยากให้น้อง ๆได้ทดลองยิงกัน พี่ให้คนละห้านัด แต่สำหรับพี่ขอนัดเดียว"

                                             



     ฟังจากน้ำเสียงที่พี่แกพูดแล้ว ฝีมือพี่แกคงจะไม่เบาทีเดียว พวกผมทั้งสามเริ่ม ยิงปืนกันจนครบ ถูกเป้าบ้างไม่ถูกเป้าบาง ที่ถูกเป้าก็ไม่ใช่ตรงกลาง เฉียดไปก็เฉียดมา แต่ก็เป็นที่สนุกสนาน ทีนี้ถึงตอนที่พี่เจ้าของปืนได้แสดงฝีมือ  ทุกคนเงียบกริบไม่มีใครส่งเสียงตาจ้องแบบไม่กระพริบไปที่เป้า  แต่ก็ไม่เห็นพี่แกเหนี่ยวสับไกปืน ได้ยินพี่แกพูดว่า "ทำไมเงียบ"  "ผมกลัวว่าพี่จะไม่มีสมาธิครับ" ผมตอบพี่แกไปแบบนั้น   " ไม่เป็นไรพี่น่ะไม่ได้คุยนะ ระยะแค่นี้พี่หลับตายิงก็ยังได้เลย สัมพันธ์"  เสียงปืนดังสนั่นขึ้น ผมตกใจ แทบตาย  ผมไม่นึกว่าแกจะยิงปืนในขณะที่กำลังพูดอยู่กับพวกผม

    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ แม่นเป็นจับวาง  ตรงเป้าพอดี  แต่ที่ผมทั้งสามตกใจสุดขีดน้้น ก็คือเสียงที่พี่แกหัวเราะดังลั้น แต่ขณะเดียวกันนั้นแกคงดีใจมากจนลืมตัวเอาด้ามปืนกระแทกพื้นลูกปึนดันลั่นออกมาอีกหนึ่งนัดเฉียดพวกเราไปนิดเดียว ไปถูกหลังคาสังกะสี เป็นรูโหว่ ทุกคนอ้าปากตาค้างไปตาม ๆ กัน ผมเห็นพี่แกหน้าซีด แต่ไม่รู้ว่าผมและเพื่อนครูอีกสองคนหน้าซีดด้วยหรือเปล่า   


                                                



   พี่แกคงเสียใจมาก แกพูดออกมาเบา ๆ แต่พวกเราทั้งสามคนก็ได้ยินกันชัดเจน เพราะมันเงียบมาก
"พี่เสียใจพี่นึกว่าหมดแม็กแล้ว พี่ไม่น่าพลาดเลยต่อไปนี้พี่คงจะไม่ชวนน้อง ๆ มายิงปืนอีกแล้ว"

    ตั้งแต่วันนั้นพี่แกก็ไม่เอาปืนมาโรงเรียนอีกเลย รวมทั้งปืนพกที่พี่แกพกเป็นประจำ พวกผมเองก็ไม่กล้าถามพี่  แต่ทุกวันนี้พี่ผมคนนี้เสียชีวิตไปแล้ว ผมจึงขอนำเรื่องนี้มาเล่าเป็นอุทาหรณ์สำหรับนักเลงปืนทุกท่านครับ

    ความจริงพี่ผมคนนี้ยังมีเรื่องที่น่าสนใจและขำ ๆ อีกหลาย ๆ เรื่องซึ่งถ้าผมมีโอกาสจะนำมาเล่าสู่กันฟัง

                                                 

       

                                                _________________________________________


สัมพันธ์ จันทร์ผา                       









วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

                                                  กินเจ + กินจัง
                                                  
                                              


  ความหมาย "กินเจ" สั้น ๆ ว่ากินเฉพาะผัก ไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิด  การกิเจมีประโยชน์มากมายบรรยายไม่หมด  แต่จะขอยกตัวอย่างให้ท่านผู้ที่มีโอกาส บังเอิญมาได้อ่านบทความนี้
   
   ข้อแรก ช่วยยืดอายุสัตว์ให้ตายช้าลง (แต่ในที่สุดก็ตายอยู่ดี ประการที่สอง ทำให้สัตว์ได้มีเวลาและโอกาสได้ขยายวงศาคณาญาติ relations ได้จำนวนมากขึ้น แต่ผลดีอีกอย่างหนึ่งก็คือตรงที่ทำให้บ้านเมืองสงบ อุบัติเหตุลดน้อยลงพอสมควร

  ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะคนที่รับประทานเจจะต้องอยู่ในศีลในธรรม  บางทีเราเรียกว่า "ถือศีลกินเจ" นั่น แหละครับ  คนอยู่ในศีลก็จะไม่เล่นการพนัน  ไม่ดื่มเหล้า ไม่ลักขโมย ไม่กล่าวเท็จ ผัวไม่โกหกเมีย เมียไม่โกหกผัวหรือปกปิดสิ่งที่ไม่ดี อะไรทำนองนั้น  อีกทั้งไม่กล่าวร้ายให้คนอื่นเสียหาย 
เหมือนศีลห้าไม่มีผิดเลย ความจริงเราก็ปฏิบัติกันอยู่บ้างแล้วพอสมควร และสมัยนี้พระบางรูปก็ทำผิดวินัยสงฆ์ออกอยู่บ่อย ๆ 

  
   พอพูดมาถึงตรงนี้อดที่จะนึกถึงสภาผู้แทนทักษิณ เอ๊ย !! สภาผู้แทนราษฎร Legislator สังเกตได้จาก สภาผู้แทนราษฎรที่มีการประชุมในช่วงเทศกาลกินเจ  ผู้ที่เป็น ส.ส. และ ส.ว. จะพูดจาเรียบร้อยอย่างผิดหูผิดตา

   อีกประการหนึ่งที่ได้ประโยชน์กับผู้ที่รับประทานเจก็คือ การถ่ายท้องสดวก เนื่องจากการกินเจคือการกินผักทำให้มีกากอาหารมากจึงช่วยในการขับถ่าย

   การกินเจอาจมีข้อเสียอยู่บ้าง ก็เห็นเป็นเรื่องของนักการเมืองในอดีตบางคนเท่านั้นเอง  ที่เข้าใจผิดคิดว่า ป่าก็คือผักชนิดหนึ่ง  จึงพากันกินป่าแทนผัก

                                                         

  
   ทีนี้ก็มาถึงเรื่อง การกินจัง กันบ้าง  กินจังก็แปลว่าการกินมากจนเกินไป และข้อสำคัญกินไม่เลือกด้วย กินทั้งผักและเนื้อสัตว์แถมยังแอบขโมยเสือไปขายอีก จนโดนศาลท่านสั่งให้ออกจากราชการไปก็มีให้เห็น บางคนก็โกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง พวกนี้เท่าที่สังเกตว่าพอแกอยู่ป่าไปนาน ๆ ก็เลยนึกว่าป่าเป็นอาณาจักร domain ของแก กูอยากจะทำอะไร กูก็จะทำ ใครจะทำไม พวกนี้น่าจะดู ทาร์ซาน เป็นตัวอย่าง หรือจะดูลิงคู่หูทาร์ซานก็ได้

                                                
   ผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งมันรับสารภาพว่า ป่วยไปหลายวัน สาเหตุเพราะมันไปกินปลาหมึกตอนทะเลมีคราบน้ำมัน และตบท้ายด้วยทุเรียนของชอบของมัน (มันบอกว่ากินก่อนแล้วรักษาที่หลัง)
คนมันชอบทำไงได้ รู้สึกว่ามันกินมากจนเกินไป  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีโรคเบาหวานอยู่ในร่างกาย
ของมัน (ความจริงก็ไม่ใช่ร่างกายของมันหรอกมันมาอาศัยเขาอยู่แต่มีข้อแม้ว่าต้องดูแลด้วย)    มาหลายปี  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ากินทุเรียนแล้วได้เรื่องทุกครั้ง แต่มันก็บอกตรง ๆ ว่าอดใจไม่ไหว

                                       


   อีกคนหนึ่งมันทำงานในโรงพยาบาล มันชอบกินสัตว์ปีกทุกชนิด ยกเว้นแมลงสาป Cockroachและแมลงวัน Fly ที่มันไม่กินและไม่เข้าใกล้ ไก่หรือเป็ดมันกินทั้งนั้น  ยิ่งเป็นห่านพะโล้ มันชอบนัก
"อุ้งตีนห่านหรือขาห่านกินเท่าไหร่ไม่มีวันเบื่อ  มันยังเคยแนะนำร้านขายห่านพะโล้ให้ผมรู้จักด้วยแต่ผมไม่ชอบเลยไม่ได้ไปลองลิ้ม Enjoy the taste  ทั้ง ๆ ที่พอมันกินเข้าไปแล้วทำให้ปวดตามข้อ
เพราะเป็นเกาต์ มันบอกว่ามันย่อมดูเอาเถอะคนมันจะกิน มันยังบอกอีกว่ามันไม่ได้กินตรงปีกโว้ย



  ถูกแล้วทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากการกินสัตว์ปีก  แต่มันก็ยังบอกว่าอดใจได้เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น  ที่เป็นเช่นนี้ มันยังบอกต่ออีกว่ามันมียาดีหรือยาผีบอกอะไรพวกนี้ผมไม่อยากฟังมัน วันไหนกินสัตว์ปีกก็จะกินยาตามเข้าไปทันที
                                                      
                                                                


   เมืองไทย มีของกินมากมายสาธยาย Enunciate ไม่ ถูก อยากกินตรงไหน ที่ไหนเวลาใดมีให้กิน ตลาดโต้รุ่งมีทุกจังหวัดทั่วประเทศก็ว่าได้ บางจังหวัดมีตลาดสว่างคาตาเพิ่มเข้าไปอีกคนกินคนขายไม่รู้ว่ามันนอนตอนไหน หรือนอนไปกินไป ขายไปนอนไป นี่แหละเสน่ห์ เมืองไทย  บางทีตีสองแล้วยังมีคนมานั่งกินข้าวขาหมู  ข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า หน้าตาเฉยคือจะกินเวลาใดก็ได้
ส่วนข้าวต้มกุ๊ยน่าจะขายดีที่สุด เป็นอาหารโปรดของพวกนักเที่ยวที่ไม่เกรงใจเดือนและตะวัน



 ประเภท ลาบ ส้มตำ เนื้อน้ำตก ไส้กรอกอีสาน ลูกศิษย์ผมคนหนึ่งมันบอกผมว่า "อาจารย์ไส้กรอกมันเป็นไส้กรอกปลอม มันทำมาจากฟองเต้าหู้ soybean cake " "รู้ได้ไง" ผมถามสวนออกไป "โธ่ก็ผมมีอาชีพส่งไส้กรอกฟองเต้าหู้" จะเอาไส้แท้ ๆ มาจากไหนกัน เออ! จริงของมัน

                                                              

    คนไทยส่วนหนึ่งกินได้กินดี  กินมากเกินอิ่ม  จนทำให้อ้วนลงพุงเกินงาม (รวมทั้งผมด้วย) คนที่อ้วนมาก ๆ ก็มาจากสาเหตุการกิน มากกว่าพันธุ์กรรม  จึงห้ามเอาสายพันธุ์มาแก้ตัวเด็ดขาด ตอนที่ผมพาภรรยาไปให้หมอตรวจร่างกายนั้น หมอบอกว่าควรลดความอ้วนได้แล้ว  เพราะความอ้วนเป็นบ่อเกิดของโรคหลายอย่างมาก เช่นโรคเบาหวานและคณะ

                                                 



  คณะของโรคเบาหวานประกอบไปด้วย  หัวใจขาดเลือด  ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือด และมีน้ำตาลในเลือดมากกว่าปกติ  หมอยังบอกต่ออีกว่า  คนไทยกินจนตาย  มากกว่าอดตาย  สาเหตุการป่วยส่วนใหญ่ของคนไทยมาจากเรื่องการกินทั้งนั้นคือกินมากไป  หรือกินจังนั่นแหละ แล้วข้อสำคัญกินไม่เลือก  ที่บอกแต่ต้นแล้วว่า  แม้แต่แมลงก็ไม่เว้น


  โทษของการกินจังก็มีดังนี้แล



        แต่คนทั่วไปถ้ากินจังก็ยังดีกว่านักการเมืองบางคนที่กินจัง   เพราะไม่ได้กินอาหารอย่างเดียว
แต่กินเหล็ก กินปูน กินหิน กินทราย กินสารพัดกิน  ได้ข่าวว่ากำลังจะกู้เงิน สองล้านล้าน มากินอีก
ซวย แน่คราวนี้คนไทยทุกคนมากินยาตายกันดีกว่า มาใช้หนี้ที่พวกเราไม่ได้ก่อ พวกเราก็ก้มหน้าก้มตาย่อมกันอยู่ได้ไม่เข้าใจจริง ๆ (โว้ย)  กินจังแบบนี้ไม่ดีเลย เพราะเท่ากับเป็นการกินทำลายชาติ
                                                      
                                                       ___________________________________



                                                        
สัมพันธ์ จันทร์ผา