วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สตอกโฮล์ม ซินโดรม + นครนายก ซินโดรม


             


                   สตอกโฮล์ม  ซินโดรม + นครนายก ซินโดรม

                                      

   หลังเกิดเหตุการณ์จับตัวประกันชาวสวีเดนเมื่อ 40 ปีก่อน ที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกรู้จักคำศัพท์ว่า “สตอกโฮล์ม  ซินโดรม” ซึ่งเป็นการอธิบายถึงปฏิกิริยาของเหยื่อที่ถูกลักพาตัว แต่ชายคนหนึ่งรู้ซึ้งถึงคำว่า “สตอกโฮล์ม ซินโดรม” เป็นอย่างดี แจน-เอริค โอลส์สัน อดีตนักโทษวัย 72 ปี ยังจดจำได้เป็นอย่างดีต่อความแปลกที่เกิดขึ้น หลังจากที่เขาเดินเข้าไปในธนาคารแห่งหนึ่งในกรุงสตอกโฮล์ม เมืองหลวงสวีเดน เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ปี 2516 จากนั้นได้ชักปืนกึ่งอัตโนมัติออกมา พร้อมจับพนักงาน 4 คนของธนาคารเป็นตัวประกัน


  แต่ที่น่าแปลกก็คือ แทนที่ตัวประกันจะเอาชีวิตรอด พวกเขากลับอยู่เคียงข้างโอลส์สัน คอยปกป้องเขาในบางสถานการณ์ ทำให้ตำรวจไม่กล้ายิง โดย 5 วันของวิกฤติตัวประกันนั้น มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ออกอากาศไปทั่วสวีเดนเป็นครั้งแรก และได้กลายเป็นเรื่องที่น่าติดตามของประชาชน หลังจากตำรวจยอมทำตามความต้องการของโอลส์สันที่ให้นำตัวคลาร์ก โอลออฟส์สัน โจรปล้นธนาคารชื่อกระฉ่อนมาจากเรือนจำ
โอลส์สันบอกว่า 
 

         เขามองเห็นความกลัวในสายตาของตัวประกัน และเขาต้องการให้ตัวประกันหวาดกลัวเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะใช้ความรุนแรง แต่แล้วความกลัวได้แปรเปลี่ยนไปสู่ความรู้สึกที่สับสน และสร้างความตกตะลึงพรึงเพริดให้แก่ชาวสวีเดนทั้งประเทศ เมื่อได้รู้จากปากของตัวประกันรายหนึ่งคือคริสติน เอ็นมาร์ก ที่ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เป็นครั้งแรก


         เอ็นมาร์กกล่าวว่า เธอไม่กลัวทั้งโอลส์สันและโอลออฟส์สัน แต่เธอกลัวตำรวจ และไว้วางใจคนทั้งสอง เชื่อหรือไม่ว่า เรามีช่วงเวลาที่ดีมากด้วยกัน ในที่สุด โอลส์สันกับโอลออฟส์สัน ได้ยอมมอบตัวกับตำรวจ ส่วนตัวประกันทั้งหมดปลอดภัย แต่เรื่องราวไม่ได้จบเพียงแค่นี้ นับจากนั้นมา บทบาทของผู้จับและผู้ถูกจับเป็นตัวประกันได้ปรากฏไปทั่วโลก และ “สตอกโฮล์ม ซินโดรม” ยังคงถูกนำไปถ่ายทอดโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างแฟรงค์ ออชเบิร์ก 

                                                   
    

      จิตแพทย์ชาวอเมริกัน ออชเบิร์ก ซึ่งเคยขึ้นให้การในคดีของ แอเรียล คาสโตร ชาวเมืองคลีฟแลนด์ในสหรัฐวัย 53 ปีที่ก่อเหตุลักพาตัวและทรมานหญิง 3 คนมาเป็นเวลา 10 ปี กล่าวว่า “สตอกโฮล์ม ซินโดรม” มีองค์ประกอบ 3 ประการคือ 1. เกิดความผูกพันและความรักระหว่างตัวประกันกับคนร้าย 2. ผู้จับตัวประกันเริ่มเอาใจใส่ดูแลเหยื่อ ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่บางครั้งเราต้องการให้เกิด “สตอกโฮล์ม ซินโดรม” หากเราสามารถทำได้ ในการจัดการกับสถานการณ์ตัวประกัน 3. ทั้งตัวประกันและคนร้ายต่างไม่สนใจโลกภายนอก

                                   


      ตัวอย่างเช่น นาตาชา คัมพุช วัยรุ่นสาวชาวออสเตรีย ปรากฏตัวออกมาเมื่อปี 2549 หลังเธอถูกจับไปขังไว้ในบังเกอร์ใต้ดินเป็นเวลาถึง 8 ปี ซึ่งในนั้นเธอถูกคนที่จับตัวมากระทำย่ำยีสารพัดทั้งทำร้าย ปล่อยให้อดอาหารและข่มขืน แต่คัมพุชยอมรับว่า เธอร้องไห้ เมื่อทราบข่าวการเสียชีวิตของผู้ที่ทรมานเธอ ว่ากันว่า  
คัมพุชเติบโตเป็นสาวโดยไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากผู้ปกครอง ทำให้มีการคาดเดากันว่า เธออาจได้รับผลกระทบจาก “สตอกโฮล์ม ซินโดรม”


     ออชเบิร์กบอกว่า เมื่อผู้คนจะได้รับอิสรภาพ พวกเขาอาจรู้สึกถึงความใกล้ชิดกับคนร้ายมากกว่าเพื่อนและครอบครัว แต่สำหรับโอลส์สัน อดีตโจรปล้นธนาคาร ได้กลับเนื้อกลับตัวประพฤติตนเป็นคนดี นับตั้งแต่ได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกเมื่อปี 2523 เขาทำงานเป็นพนักงานขายรถในสวีเดน ก่อนเข้ามาอยู่ในเมืองไทยโดยยึดอาชีพเกษตรกร และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับหญิงไทย ที่แต่งงานกันเมื่อ 24 ปีก่อน.
        
                                        


    ในเมืองไทยบ้านเราเหตุการณ์ ทำนองนี้ก็เคยมีเหมือนกัน  ในราวปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ้งในตอนนั้นผมเป็นนักเรียนฝึกสอน (เดี๋ยวนี้เรียก นักศึกษาฝึกสอน) ผมได้ไปทำการฝึกสอนที่ โรงเรียน "ตำหนักเพนียด"  พระนครศรีอยุธยา โรงเรียน เป็นตำหนักเก่า  วังเวงน่ากลัวมาก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ ผมจะเล่า ครูพี่เลี้ยงของผมเป็นสุภาพสตรีสาวใหญ่ไม่มีครอบครัว ท่านใจดีมาก ท่านเล่าว่าตอนท่านเป็นสาว ๆ ท่านเคยมีคู่รักแต่ไม่ได้แต่งงานกัน ผมก็ไม่ทราบเหตุผลเพราะท่านไม่ยอมเล่าต่อ ท่านยังบอกเป็นนัย ๆ ว่าท่านเป็นคนค่อนข้างหน้าตาดี อันนี้ผมเชื่อท่าน เพราะถึงท่านจะมีอายุ ท่านก็มีใบหน้าผิวพรรณดี ท่านบอกว่าตอนเป็นสาว ๆ ทางกลุ่มโรงเรียนได้จัดนำเที่ยว

  สมัยนั้นยังไม่ค่อยรู้จักกับคำว่า "ทัศนศึกษา" ทางกลุ่มโรงเรียนพานำเที่ยว น้ำตกสาริกา น้ำตกนางรอง วังตะไคร้ สมัยนั้นใคร ๆ ก็อยากไปกันทั้งนั้น ท่านหยุดเล่านิดนึง แล้วมองหน้าผม ผมก็เลยถามท่านว่า น้ำตกสวยไหมครับ  ท่านบอกว่าสวยมาก ๆ สวยแบบชาตินี้ถึงตายแล้วเกิดก็จะไม่มีวันลืม ผมเห็นคุณครูพี่เลี้ยงของผมกลืนน้ำลายลงคอ ท่านเล่าต่อว่า "สัมพันธ์"ท่านเอ่ยชื่อผม รถพี่ทั้งคันถูกจี้ สมัยใหม่ฝรั่งเรียกว่า [hijacked]   โดยกลุ่มวัยรุ่นมีประมาณ สิบกว่าคน พวกเขาทำการปลดทรัพย์ แต่ที่แปลกคือกลุ่มโจรวัยรุ่นพวกนี้ พูดจาเรียบร้อย มีแต่โชเฟอร์ [Chauffeur] กับเด็กรถเท่านั้นที่เขานำไปไว้อีกแห่งหนึ่งข้างทาง แล้วพวกเขาก็พาพวกเราทั้งหมดทั้งครูผู้ชายและครูผู้หญิงทั้งหมด เดินลัดเลาะเข้าป่าลงเขา พูดง่าย ๆว่าจับไปเป็นตัวประกัน จนถึงน้ำตกสาริกา พี่จำได้ว่า ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายโมงกว่า พวกเขาบอกกับพวกตัวประกันทั้งหมดให้หยุด แจกน้ำดืม และที่พี่นึกไม่ถึงคือมีการแจกข้าวห่อมีการถ่ายรูปกับตัวประกัน มีการบอกว่าใครอยากเล่นน้ำตกก็ตามสบายนะครับ มีอยู่คนหนึ่งมองมาทีนิ้วมือของพี่  พี่สวมแหวนนามสกุลทำด้วยทองคำแกะสลักเขาขอดู พี่ก็บอกไปว่าแหวนวงนี้อย่าเอาไปเลยน่ะ มันเป็นแหวนนามสกุลและที่สำคัญคุณแม่กับคุณพ่อทำให้ เขาบอกว่า คุณครูครับผมขอดูเท่านั้นเองครับ แล้วก็จริงอย่างที่เขาพูดเขาไม่ได้เอาไป

                                    


   ประมาณ สองชั่วโมงกว่า ๆ ที่พวกเราอยู่ในป่าริมน้ำตก พวกเขาก็บอกกับครูผู้ชายว่าพวกเขาจะไปแล้ว คงจะเดินกลับไปที่รถกันถูก พวกเขาก็นำผลไม้กับน้ำดืมมากองไว้ให้ พวกเขาก็แยกย้ายจากไป ทรัพย์สินที่พวกเขานำเอาไปก็ไม่มากมายเท่าไหร่ พวกเราไม่มีใครเป็นอะไรก็โชคดีแล้ว

  ผมนั่งฟังคุณครูพี่เลี้ยงเล่าด้วยความรู้สึกที่ขัดแย้งในตัวเองว่า มีอย่างนี้ด้วยหรือนี่ ผมถามคุณครูพี่เลี้ยงว่า แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีกครับ คุณครูพี่เลี้ยงเล่าให้ฟังว่า เมื่อกลับมาถึงรถเห็น
โชเฟอร์กับเด็กรถ ถูกมัดติดกับต้นไม้ไม่ไกลจากรถเท่าใดนัก 

 สรุปเป็นอันว่าพวกเรากลับมาครบและปลอดภัยกันทุกคน มีแต่พนักงานขับรถ เท่านั้นหลังจากกลับมาแล้ว พี่แกได้ไปแจ้งความกลับสถานีโรงพักตำรวจ  ว่ารถถูกกลุ่มโจรวัยรุ่นปล้นรถโดยสารและจับผู้โดยสารไปเป็นตัวประกัน

  หลังจากนั้นไม่กี่เดือนต่อมาหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าจับกลุ่มโจรวัยรุ่นพวกนั้นได้ขอเชิญเจ้าทุกข์ที่ถูกปลดทรัพย์และถูกจับตัวไปเป็นตัวประกัน ให้มาชี้ตัว แต่ สัมพันธ์ เธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจเธอนะคณะครูของเราไม่มีใครไปเป็นพยานเลยสักคนเดียว  ก็คงจะมีแต่เจ้าของรถเท่านั้นที่ไป
พี่เองก็ไม่เข้าใจตัวพี่เองเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร

 ถ้าท่านผู้ใดมาอ่านเจอบทความนี้กรุณาช่วยหาคำตอบให้ด้วยนะครับจะขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ

                                       

                                                    _____________________

 Sampan Chanpa




















วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เพลง " Cherry Pink And Apple Blossom White"



                  "Cherry Pink  And Apple Blossom  White"  
                                       
                                       Cherry Pink and apple blossom white

    เป็นเพลงฝรั่งเศส เขียนขึ้นในปี 1950 ชื่อในภาษาฝรั่งเศสคือ Cerezo Rosa มีการนำมาบรรเลง และขับร้องกันหลายครั้ง  ครั้งที่เป็นการบรรเลงที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก คือ Perez Prado ในปี 1955 โดยเสียง Trumpet ในเพลงนั้นเล่นโดย Billy Regis ซึ่งสามารถแผดเสียงแหลมปรี๊ดเสียดแทงทุกโสตประสาทรวมถึงเย้ายวนอารมณ์ได้อย่างเหลือเชื่อ  จนทำให้เพลงนี้ เป็นเพลงยอดเยี่ยมที่สุดของปี 1955  ไปโดยปริยาย โดยนำไปใช้ในภาพยนตร์เรื่อง Underwater นำแสดงโดย Jane Russell. Gilbert Roland. Richard Egan. Jayne Mansfield.


   มาว่ากันถึงเรื่องที่ว่า เพลงนี้ไม่ว่าใคร ๆ พอได้ยินก็จะต้องนึกโชว์วาบหวิวสำหรับท่านชายโดยเฉพาะนั่นไม่น่าแปลกอะไร เพราะผมเคยได้ยินนักเพลงท่านหนึ่งบอกไว้ว่า Apple Blossom นั้นมีความหมายในเชิงเพศอยู่  ผมจึงได้ศึกษาเนืื้อเพลงนี้ รวมถึงการใช้ศัพท์คำนี้ในเพลงอื่น ๆ ผมก็เห็นคล้อยตามด้วยซะแล้ว ความหมายนัยแฝงที่ว่านี้มิใช่ในทางลบแม้แต่น้อย แต่เป็นความงดงามเชิงกวี มาดูกันหน่อยครับว่ามันเป็นอย่างไร

  
  ในเนื้อเพลง Cherry Pink นี้ ท่อนเริ่มแรกของเพลงเขาว่าไว้ดังนี้

It's Cherry Pink and apple blossom white
When your true love comes your way
It's Cherry Pink and apple blossom white 
The poets say





"เมื่อเชอร์รีเป็นสีชมพู (สุกงอม) และดอกแอปเปิ้ลผลิบาน ยามเมื่อรักแท้มาถึง ดังคำที่กวีว่าไว้"

  คำว่า  Apple Blossom white มีความนัย ถึงหญิงสาวในยามที่ก้าวเข้าสู่วัยสาวสะพรั่ง พร้อมที่จะมีความรัก อย่างสมบูรณ์ เป็นคำเปรียบเปรยที่ชัดเจนถึงหญิงสาวในวัยสาวสะพรั่ง ซึ่งในทางตะวันตกนั้น  เรื่องในทางเพศไม่ใช่เรื่องที่พยายามปิดกั้นแทบเป็นแทบตายแบบในบ้านเรา จึงนำมาใช้ในเพลงได้อย่างเต็มที่ ในรูปแบบภาษาเชิงกวีที่งดงาม

  มีเพลงอีกเพลงหนึ่งที่นำคำนี้มาใช้  แล้วให้ความหมายที่ชัดเจนมาก ๆ อีกเพลงหนึ่ง คือ (I'll Be With You in)  Apple Blossom Time ร้องโดย Tap Hunter ในปี 1959 โดยเนื้อเพลงตอนต้นเริ่มว่า

I'll be with you in apple blossom time
I'll be with you to change your name to mine

"ผมจะไปหาคุณ เมื่อยามแอปเปิ้ลบาน  ผมจะไปเพื่อเปลี่ยนนามสกุลของคุณมาเป็นนามสกุลของผม"

ช่างแปลออกมาได้ทื่อ ๆ แต่เพื่อให้ได้ความหมายตรงตามพจนานุกรม เปรียบเทียบกับความหมายในเชิ่งกวี การเปลี่ยนนามสกุล ก็คือการแต่งงานกัน หนุ่มจะไปหาสาว เพื่อขอวิวาห์ เมื่อสาวอายุถึงพร้อมนั่นเอง โดยใช่คำว่า "ดอกแอปเปิ้ลผลิบาน" เป็นการซ่อนความนัยที่งดงามตามภาษากวี

                                           



                                           ___________________________

Sampan Chanpan






วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประตูนรก-ประตูสวรรค์


                                         นรกสวรรค์เป็นของมีจริงหรือ

                                         

ผมเห็นสภาผู้ทรงเกียรติเปิดศึกถล่มกันทำให้นึกถึงนิทาน เซ็น เรื่องหนึ่งขึ้นมาทันที เรื่องเกิดในประเทศญี่ปุ่นกาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้วมีทหารลูกพระอาทิตย์แต่งแบบครบเครื่องพร้อมทั้งดาบซามูไร ได้ปีนป่ายขึ้นเขาไปหาอาจารย์ ฮากูอิน ความต้องการก็คืออยากไปคุยกับพระ ให้พระแก้ข้อสงสัยที่ตัวเองก็ชักจะไม่เชื่อครามครัน มันเป็นหลักความคิดนึกที่เก็บงำไว้แต่ผู้เดียวนานมาแล้ว จะเอ่ยปากกะผู้ใด  ก็กลัวจะถูกคนอื่นเขาหาว่าเป็นคนไม่มีศาสนา สู่อุส่าห์ถ่อร่างมาไกล มาหาพระอาจารย์ องค์ที่ทุกคนในญี่ปุ่นเขาลือว่าท่านเก่ง


ทหารคนนั้นเอ่ยปากถามท่านอาจารย์ว่า  "ท่านอาจารย์ขอรับ ถ้าเราจะมาว่าให้ตรงตามเป็นจริงกันแล้ว นรกสวรรค์เป็นของมีจริงหรือ?"

ท่านอาจารย์ หันขวับมาจ้องหน้าเจ้าของคำถามทันที แทนที่จะแก้ข้อสงสัย หรืออธิบาย  ท่านกลับย้อนถามเอาทหารคนนั้นว่า "เธอน่ะ ใคร?" 

"กระผมเป็นซามูไร ครับ" ทหารคนนั้นแจ้งสถานะความเป็นนักรบของตนโดยซื่อ  ท่านอาจารย์กลับขึ้นเสียงเอาอีกว่า "อาไร้ ! ทหารทะแหนอะไรนี่! เจ้านายคนไหนนะช่างไปเอาคนอย่างเธอนี่น่ะ มาเป็นลิ้วล้อไพร่พล? หน้าตายังกับขอทานแน่ะ"

โดนหลู่เกียรติเข้าจัง ๆ เช่นนั้น ทหารคนนั้นก็โกรธพลุ่งจัดลุกขึ้นฉับไว  ใช้มือขวากุมด้ามดาบ เท่านั้นยังไม่พออีก  ท่านอาจารย์ ฮากูอิน ยังสำทับกล่าวออกไปอีกว่า "ฮึ มีดาบมาด้วยรึ! คมหรือเปล่านะตัดหัวฉันได้ไหมนั่น"  เหมือนอย่างกะเอาน้ำมันสาดเข้าไปในกองไฟที่เริ่มคุ  ทหารผู้ปริ่มล้นด้วยศักดิ์ศรี ไม่ฟังอิร้าค่าอิรมอันใด มือตีนหน้าตามันเป็นไปของมันเอง  ชักดาบออกจากฝักเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว ก็พอดี ได้ยินอาจารย์เปลี่ยนระดับเสียง ด้วยน้ำใจกรุณาปรานีเยี่ยงพระมาโปรดสัตว์หน้าโง่  ว่า

"นี่ไง ลูกเอ๋ย  ประตูนรกแล้วละ ! ที่เธอกำลังเป็นอยู่ทั้งเนื้อทั้งตัว  ขณะนี้นี่แหละ กำลังเหยียบประตูนรกแล้วละ  ถ้ามีประตูแล้ว นรกจะมีหรือไม่มีล่ะ?"

ฉับพลันทันทีนั้นเหมือนกัน  นักดาบซามูไรของเราก็สำนึกตัวสำนึกบาป  มือไม้แข้งขาอ่อน ทรุดตัวลงกราบแทบเท้า ไหว้แล้วไหว้อีก  ขออภัย  และยอมตัวเป็นศิษย์  ยอมหมดทั้งกายและใจตั้งแต่บัดนี้ไป  ท่านอาจารย์เลยถือโอกาสกล่าวชี้แจ้งขึ้นอีกวาระหนึ่ง ว่า  "นี่ไง ลูกเอ๋ย ประตูสวรรค์ละ !  ที่เธอกำลังเป็นอยู่ทั้งเนื้อทั้งตัวขณะนี้  กำลังเหยียบประตูสวรรค์แล้วละ  ถ้ามีประตูสวรรค์แล้ว สวรรค์จริง ๆ จะมีหรือไม่มีละ?" นิทานเรื่องนี้ก็จบ

                                        


ถ้าพระอาจารย์อธิบายเรื่องนรกสวรรค์แจกแจงธรรมะก็ต้องใช้เวลาหลายวันหลายอาทิตย์คำอธิบายก็อาจจะลึกลับซับซ้อนผู้ฟังอาจต้องทำความเข้าใจค้อนข้างลำบาก สู้ทำให้เห็นกันละเอียดแต่นำสืบให้เห็นกันสด ๆไม่ได้ เกี่ยวกับนรกสวรรค์นั้น ยิ่งพวกนักการเมืองของไทยที่บางคน
ร่ำรวยและมีการศึกษาสมัยใหม่ หรือผู้ทรงเกียรติทั้งหลายบางคนยังนึกว่าตัวเองไม่เจ็บไม่ตาย เรื่องนรกสวรรค์ไม่ต้องไปพูดถึง พวกเขาไม่รับรู้และยอมรับ แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง (วันที่เจ็บป่วยและสูญเสียชีวิตนั่นแหละถึงจะสำนึกได้แต่ก็สายไปเสียแล้ว ) เวลาที่พวกเราจะอยู่บนโลกใบนี้ช่างน้อยเหลือเกิน อย่าไปนึกว่าตัวเอง เป็นผู้มีอำนาจ ร่ำรวย หรือ ยากจน ทุกคนต้องพบจุดจบเช่นเดียวกันหมดทุกรูปทุกนาม  

ท่านผู้เจริญทั้งหลาย การที่ใครก็ตาม  เริ่มอยากรู้และถามเรื่องตายเกิด  หรือนรกสวรรค์ พึงให้รู้เถิดว่าเขากำลังบ่ายหน้าสนใจเรื่องของศาสนามาบ้างแล้ว อย่าได้ไปตั้งข้อรังเกียจเขา ถ้าชี้แจงให้เขาไม่กระจ่าง ก็ควรบอกให้เขาไปถามคนที่สมควรต่อ ๆ ไป เยี่ยงผู้มีน้ำใจเป็นนักกีฬา บางทีเขาอาจไปโดนทีเด็ด อย่างท่านอาจารย์ ฮากูอิน ในเรื่องนี้บ้างกระมัง...!!!

                                   


                                    ________________________________

 Sampan Chanpa

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิธีแสนง่ายเลี้ยงลูกให้ฉลาด



                                               วิธีแสนง่ายเลี้ยงลูกให้ฉลาด

                                      


วิธีง่ายๆ ต่อไปนี้อาจช่วยขยายไอเดียของคุณ ๆ ได้ หากลูกคุณยังไม่ได้ดังใจ แต่อย่างใดก็ตามเด็กก็คือเด็ก เป็นผ้าขาวของสังคม เราต้องเข้าใจธรรมชาติของเขา ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงให้เขาเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น วิธีต่างๆ เหล่านี้ผ่านการวิเคราะห์ ทดสอบ ทดลอง และสรุปผลมาแล้วจากนักวิชาการว่าใช้ได้ผลดีมาแล้วทั่วโลก (แต่ไม่ได้บอกว่าได้ดีมากหรือน้อยเท่าใด)

                                                  


1.ตามองตา

เมื่อลูกลืมตาตื่นขึ้น ให้เรามองหน้าสบสายตาหนูน้อยสักครั้งหนูน้อยแรกเกิดจดจำใบหน้าของคนได้เป็นสิ่งแรกเสมอ และใบหน้าของพ่อแม่คือใบหน้าแรกที่ลูกอยากจะจดจำ ซึ่งแต่ละครั้งที่หนูน้อยจ้องมองใบหน้าของเรา สมองก็จะบันทึกความทรงจำไว้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย

2.พูดต่อสิลูก

เวลาพูดกับลูก เว้นช่องว่างในช่วงคำง่าย ๆ ที่ลูกจะสามารถพูดต่อได้ เช่น พยางค์สุดท้ายของคำ หรือคำสุดท้ายของประโยค ในช่วงแรก ๆ ลูกอาจจะเงียบและทำหน้างง แต่ในที่สุดถ้าทำอย่างนี้บ่อย ๆ ในประโยคซํ้า ๆ ลูกจะค่อย ๆ จับจังหวะ จับคำพูดบางคำได้และเริ่มพูดต่อในช่วงว่างที่พ่อแม่หยุดไว้ให้

3.ฉลาดเพราะนมแม่

ให้นม แม่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลการศึกษาในเด็กวัยเรียนพบว่าเด็กที่กินนมแม่ตอนที่เป็นทารกมักจะมีไอคิวสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ นอกจากนี้การให้นมลูกยังเป็นช่วงเวลาสำคัญ ในการสร้างสายสัมพันธ์กับลูกน้อย

4. ทำตลกใส่ลูก

แม้กระทั้งเด็กน้อยอายุเพียงแค่ ๒ วัน ก็มีความสามารถเลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้าอย่าง
ง่าย ๆ ของพ่อแม่ได้ ไม่เชื่อลองแลบลิ้นหรือทำหน้าตาตลก ๆ ใส่ลูกคุณจะทำตามแน่ ๆ

5.กระจกเงาวิเศษ

ทารกน้อยเกือบทุกคนชอบส่องกระจก เขาจะสนุกที่ได้เห็นเงาของตัวเองในกระจกโบกมือหรือยิ้มแย้มหัวเราะตอบออกมา ทุกครั้ง

                                            


6.จั๊กจี้จั๊กจีั้

การหัวเราะเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการด้านอารมณ์ขัน การเล่นปูไต่ทำให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับการคาดเดาเหตุการณ์ด้วยว่า ถ้าพ่อแม่เล่นอย่างนี้แสดงว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ปูจะไต่จากไหนไปถึงไหนเป็นต้น

7.สองภาพที่แตกต่าง

ถือรูปภาพ 2 รูป ที่คล้ายกันให้ลูกมอง โดยวางให้ห่างจากใบหน้าของลูกประมาณ ๘-๑๒ นิ้ว เช่น ภาพรูปบ้านที่เหมือนกันทั้งสองรูป แต่อีกรูปหนึ่งมีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ข้างบ้าน แม้ยังเป็นเด็กทารกแต่เขาสามารถ สังเกตเห็นความแตกต่างนี้ได้เป็นการสร้างความจำที่จะเป็นพื้นฐานในการจดจำตัวอักษรและการอ่านสำหรับลูก ต่อไป

8.ชมวิวด้วยกัน

พา ลูกออกไปเดินเล่นนอกบ้าน และบรรยายสิ่งที่เห็นให้ลูกฟัง เช่นบนต้นไม้ต้นนี้มีนกเกาะอยู่เต็มเลย ดูสิลูกบนนั้นมีนกด้วย การบรรยายสิ่งแวดล้อมใหลู้กฟังสร้างโอกาสการเรียนรู้คำศัพท์ให้กับลูก

9.เสียงประหลาด

ทำเสียงเป็นสัตว์ประหลาด คุ๊กคู ๆ หรือทำเสียงสูง ๆเลียนแบบเสียงเวลาที่เด็ก ๆ พูด ทารกน้อยจะ
พยายามปรับการรับฟังเสียงให้เข้ากับเสียงต่าง ๆ จากพ่อแม่

 10.ร้องเพลงแสนหรรษา

สร้างเสียงและจังหวะส่วนตัวระหว่างเราและลูกน้อยขึ้นมา เช่น เวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก ก็ร้องเพลง เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก อาจจะเป็นกลอนสั้น ๆ แล้วใส่เสียงสูงตํ่าแบบการร้องเพลงเข้าไป หรืออีกทางคือเปิดเพลงชนิดต่าง ๆ ให้ลูกฟังบ้าง เช่น บางวันอาจจะเป็นลูกทุ่ง บางวันเป็นเพลงบรรเลง หรือเพลงป๊อปยอดฮิตทั่วไป มีนักวิจัยค้นพบว่า จังหวะดนตรีเกี่ยวพันกับการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของลูก
 

                                               



11.มีค่ามากกว่าแค่อาบนํ้า
 
เวลาในการอาบนํ้าสอนให้ลูกรู้จักส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการอาบนํ้า การบรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่ากำลังทำอะไรและจะทำอะไรต่อไปเท่ากับเป็นการสอนคำศัพท์ และช่วยให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันไปในตัว

12.อุทิศตัวเป็นของเล่น

ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องเล่นราคาแพงไว้ให้ลูกบริหารร่างกาย เพียงแค่คุณพ่อหรือคุณแม่นอนราบลงไปบนพื้นและปล่อยให้หนูพยายามคลานข้ามตัวไป แค่นี้ร่างกายของคุณพ่อคุณแม่ก็จะกลายเป็นสนามเด็กเล่นที่ราคาถูกที่สุด และสนุกที่สุดสำหรับหนูน้อยได้พัฒนากล้ามเนื้อให้ทำงานสัมพันธ์ และเรียนรู้เรื่องการแก้ปัญหาไปพร้อมกัน

13.พาลูกไปช็อปปิ้ง

นาน ๆ ครั้งพาลูกน้อยไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตด้วยก็ไม่เสียหายพบหน้าผู้คนอันหลากหลาย รวมถึงแสง สี เสียง ในห้างสรรพสินค้า คือสิ่ง บันเทิงใจสำหรับหนูน้อยเชียวล่ะ
 

14.ให้ลูกมีส่วนร่วม

พยายามให้ลูกได้มีส่วนร่วมในกิจวัตรต่าง ๆ เช่น ถ้ากำลังจะปิดไฟก็อาจจะบอกลูกว่า แม่กำลังจะปิดแล้วนะ เสร็จแล้วจึงกดปิดสวิชต์ไฟ นี้จะเป็นการสอนให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับเหตุและผล ลูกน้อยจะเรียนรู้ว่าเมื่อคุณแม่กดสวิชต์ หลอดไฟจะปิดเป็นต้น

15.เสียงและสัมผัสจากลมหายใจ

ช่วยให้ลูกน้อยกระปรี่กระเปร่าขึ้นด้วยการเป่าลมเบา ๆ ไปตาม ใบหน้า มือแขน หรือท้องของลูก หาจังหวะในการเป่าของตัวเอง เช่น เป่าเร็ว ๆ สลับกับไปบ้าง หรือเป่าแล้วตามด้วยเสียงต่าง ๆ ตามแต่
จินตนาการของคุณพ่อคุณแม่ แล้วรอดูปฏิกริยาตอบสนองจากลูก


                                              


 16.ทิชชู่หรรษา

ถ้าลูกชอบดึงกระดาษทิชชู่ออกจากม้วน ปล่อยเขาค่ะ อย่าห้าม แต่อาจใช้กระดาษทิชชู่ม้วนที่เราใช้ไปพอสมควรแล้ว จนเหลือกระดาษอยู่เพียงเล็กน้อย เพราะการที่เด็กน้อยได้ขยำหรือขยี้กระดาษให้ยับย่น หรือพับให้เรียบนั่น เป็นการฝึกประสาทสัมผัส และการใช้มือของลูกเป็นอย่างดี
 

17.อ่านหนังสือให้ลูกฟัง

การอ่าน หนังสือช่วยให้ลูกเรียนรู้เรืองภาษาได้จริง ๆ มีผลการวิจัยออกมา แล้วว่าแม้กระทั่งเด็กอายุ ๘ เดือน สามารถเรียนรู้จดจำการเรียงลำดับคำในประโยคที่ผู้ใหญ่อ่านให้ฟังสัก ๒-๓ ครั้งได้ ดังนั้น ควรจัดเวลาในแต่ละวันอ่านหนังสือให้ลูกฟังเป็นประจำ
 

18.เล่นซ่อนหาจ๊ะเอ๋

การเล่นจ๊ะเอ๋นี้นอกจากจะทำให้ลูกหัวเราะแล้ว ยังช่วยให้ลูกเรียนรู้ว่าเมื่อสิ่งของหายไปแล้วสามารถกลับคืนมาได้อีก

19.สัมผัสที่แตกต่าง

หาสิ่งของที่มีผิวสัมผัสแตกต่างกัน เช่น ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ไหมรื้อผ้าฝ้าย ค่อย ๆ นำพื้นผิวแต่ละอย่างไปสัมผัสแก้ม เท้า หรือท้องลูกเบา ๆ ระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ก็บรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่าความรู้สึกเมื่อถูกสัมผัส เป็นอย่างไร เช่น นี้จั๊กจี้นะลูก ส่วนอันนี้นุ๊ม นุ่ม ใช่ไหม เป็นต้น
 

20.ให้ลูกผ่อนคลายและอยู่กับตัวเองบ้าง
 

ให้ เวลาประมาณ ๕-๑๐ นาที ในแต่ละวัน นั่งเงียบ ๆ สบาย ๆ กับลูกน้อยบนพื้นบ้านไม่ต้องเปิดเพลง เปิดไฟ หรือเล่นอะไรกัน ปล่อยให้ลูกได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ ตามใจชอบ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องไปยุ่งกับลูกเลยและรอ ดูว่าใช้เวลาสักเท่าไรหนูน้อยจึงจะ คลานมาขอเล่นกับคุณพ่อคุณแม่อีกครั้งนี่เป็นการฝึกความเป็นตัวของตัวเองให้ลูกขั้นแรก

                                               


21.ทำอัลบัมรูปครอบครัว

นำรูป ภาพของญาติ ๆ มาใส่ไว้ในอัลบัมเดียวกัน และนำออกมาให้ลูกดูบ่อย ๆ เพื่อให้จดจำชื่อญาติแต่ละคน แล้วเวลาที่คุณปู หรือคุณย่าโทรศัพท์มาก็นำรูปท่านออกมาให้ลูกดูพร้อมกับทั้งให้ลูกฟังเสียงของท่านจากโทรศัพท์ไป ด้วย

 22.มื้ออาหารแสนสนุก

เมื่อถึงเวลาที่ลูกสามารถกินอาหารเสริมที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้วอย่าลืมจัดอาหารของลูกให้มีชนิดขนาดและพื้นผิวที่หลากหลาย เช่น มีทั้งผลไม้ชิ้นเล็ก เส้นพาสต้า มักกะโรนี หรือซีเรียล ปล่อยให้ลูกน้อยใช้มือจับอาหารถ้าลูกอยากทำ เป็นการฝึกใช้นิ้ว และฝึกใช้ประสาทสัมผัสเมื่อได้สัมผัสกับอาหารที่มีลักษณะแตกต่างกัน

23.เด็กชอบทิ้งของ

บางครั้งดูเหมือนเด็กชอบทิ้งของลงพื้นซํ้าแล้วซํ้าเล่าพฤติกรรมนี้เกิดจากเด็กทดสอบเรื่องแรงโน้มถ่วงว่าจะตกลงสู่พื้นทุกครั้งหรือไม่
 

24.กล่องมายากล

หากล่อง หรือตลับที่เหมือนกันมาสักสามอัน แล้วซ่อนของเล่นชิ้นโปรดของลูกไว้ในกล่องใบหนึ่ง สลับกล่องจนลูกจำไม่ได้ แล้วให้ลูกค้นหาของเล่นชิ้นนั้นจนเจอ นี่เป็นเกมฝึกสมองอย่างง่ายสำหรับเด็ก

25.สร้างอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ

กระตุ้น ทักษะการทำงานของกล้ามเนื้อให้ลูก โดยนำเบาะ โซฟา หมอน กล่อง หรือของเล่นวางขวางไว้บนพื้น แล้วพ่อแม่ก็แสดงวิธีคลานข้าม ลอด หรือคลานรอบ ๆ สิ่งกีดขวางเหล่านี้้ได้อย่างไร
 

                                              



26.เลียนแบบลูกบ้าง

เด็กชอบให้พ่อแม่ทำอะไรตามเขาในบางครั้ง เช่น เลียนแบบท่าหาวของลูก แกล้งดูดขวดนมของลูก ทำเสียงเลียนแบบเวลาที่ลูกส่งเสียงอ้อแอ้หรือคลานในแบบที่ลูกคลาน การทำอย่างนี้กระตุ้นให้ลูกแสดงกิริยาท่าทางต่าง ๆ ออกมา เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของพ่อแม่นี่คือก้าวแรกของลูกสู่การมีความคิดสร้างสรรค์

27.จับใบหน้าที่แปลกไป

ลองทำหน้าตาแปลก ๆ เช่น ขมวดคิ้ว แยกเขี้ยว แลบลิ้นให้ลูกดู เวลาลูกเห็นพ่อแม่ทำหน้าตาตลก หนูน้อยจะอยากลองจับ ปล่อยให้ลูกได้ลองจับต้องใบหน้าของพ่อแม่ แล้วสร้างเงื่อนไขบางอย่างขึ้นมาเช่น ถ้าลูกจับจมูกจะทำเสียงแบบนี้ ถ้าจับแก้มจะทำเสียงอีกแบบหนึ่งทำแบบนี้ ๓-๔ รอบ แล้วจึงเปลี่ยนเงื่อนไขไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ลูกแปลกใจ

 28.วางแผนคลานตามกัน

ลองคลานเล่นไปกับลูกให้ทั่วบ้าน คลานช้าบ้างเร็วบ้างและหยุด หรือพ่อแม่อาจจะวางของเล่นที่น่าสนใจ หรือจัดบ้านในบางมุมให้แปลกไปก่อนที่จะมาคลานเล่นกับลูกเพื่อไปสำรวจตามจุด
ต่าง ๆ ที่จัดไว้ตามแผน
 

29.เส้นทางแห่งความรู้สึก

อุ้มลูก น้อยเดินไปทั่วบ้านในวันฝนตก จับมือลูกไปสัมผัสหน้าต่างที่เย็นชื้น หยดน้ำที่เกาะบนใบไม้ ต้นไม้ หรือสิ่งของอื่น ๆ ในบ้านที่จับต้องได้อย่างปลอดภัย เป็นการเปิดประสาทสัมผัสของลูกสู่ความรู้สึกต่าง ๆ เมื่อได้แตะต้องสิ่งของเย็น เปียก หรือความลื่น

30.เล่าเรื่องของลูก

เลือก นิทานเรื่องโปรดของลูก แต่แทนที่จะเล่าอย่างที่เคยเล่า ลองใส่ชื่อของลูกลงไปแทนที่ชื่อตัวละครตัวสำคัญของเรื่อง เพื่อให้หนูน้อยรู้สึกแปลกใจและสนุกสนานไปกับชื่อของตัวเองในนิทาน


                                         


                                      _____________________________

 หมายเหตุ  ตอนที่ผมเลี้ยงลูก ผมก็เลี้ยงตามสัญชาตญาณ Instinct ความเป็นมนุษย์ ตำราตอนนั้นยังไม่มีใครเขียนขึ้นมา (แค่เกิดมาไม่สร้างปัญหาให้สังคมทำประโยชน์เพื่อสังคมบ้างผมก็พอใจแล้วครับ)

                                                    [Sampan Chanpa]

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เรื่อง ของ เท็ดดี้ (เกี่ยวกับการเรียนการสอนของครูและนักเรียน




                                เรื่องการสอนของครูและนักเรียน







คุณครูทอมป์สันโกหกนักเรียนชั้น ป. 5 ของครูทั้งชั้นซะแล้ว ตั้งแต่วันแรกเลยด้วย คุณครูบอกเขาว่าครูรักเด็กๆ เท่ากันหมดเลย แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนนึง ชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีนึงและ สังเกตว่าเขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเด็ก คนอื่นเท่าไหร่ เสื้อผ้าของเขาสกปรกและเค้าตัวเหม็นหึ่งอยู่ตลอดเวลาด้วยแหละ และบางทีเท็ดดี้ก็เกเรด้วย ถึงขั้นที่ว่าครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ด ดี้  ด้วยหมึกสีแดง กากบาทไปหนาๆ และใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ

ที่โรงเรียนที่คุณครูทอมป์สันสอน - - - คุณครูต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย และครูก็ไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้าย แต่เมื่อคุณครูตรวจแฟ้มเข้า ครูทอมป์สันก็แปลกใจใหญ่เลยครับ

เมื่อพบว่า ….

ครูชั้น ป. 1 ของเท็ดดี้วิจารณ์มาว่า "น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย มารยาทดี เป็นเด็กที่ น่ารักมากทีเดียว" 
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 2 เขียนว่า
"เท็ด ดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน แต่กำลังมีปัญหา เพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนักและชีวิตทางบ้านต้องลำบากมาก แน่ๆ" 


คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 3 เขียนว่า
"เขาเสียใจมากที่ เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว แต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรัก ความสนใจเขาเท่าไหร่ และชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งผลกระทบต่อเขาแน่ๆ ถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ" 

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 4 เขียนว่า
"เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควร ไม่ค่อยมีเพื่อน
และหลับในห้องเรียน"


ตอนนี้ คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้ว และอับอายในการกระทำของตนเองมาก ครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีกเมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาสมา ให้ห่อในกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี ยกเว้นแต่ของเท็ดดี้ 

ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆ ในกระดาษลูกฟูกหนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าวครูทอมป์สันกัดฟันเปิดกล่องของเท็ดดี้ดู กลางกองของขวัญอื่น ๆ เด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่าเท็ดดี้ให้กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้น และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่ก้นขวดแก่เธอ แต่ครูก็หยุดเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ

เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่า"กำไลเส้นนั้นสวยเพียงใดสวมมันไว้ที่ข้อมือ และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย"

เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ นิ่งอยู่นานพอที่จะพูดว่า "ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ*

หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้าน ครูทอมป์สันก็ร้องไห้อย่างนั้นเป็นชั่วโมง

วันนั้นเอง คุณครูเลิกสอนหนังสือ เลิกสอนการเขียน และเลิกสอนเลขคณิต คุณครูเริ่มสอนเด็กๆ แทน

คุณครูทอมป์สันเอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษ  เมื่อครูพยายามช่วยเขา จิตใจของเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น

ภายในสิ้นปีนั้น เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง และแม้ว่าคุณครูจะบอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน

เท็ดดี้ก็ได้กลายไปเป็น"ศิษย์โปรด" ของครู  หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู จดหมายนั้นมาจากเท็ดดี้ บอกครูว่าคุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี

หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่าเขาเรียนจบ ม.ปลายแล้ว ได้ที่สามในทั้งระดับ และคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต

สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีก บอกว่าแม้ว่าชีวิตเขาจะลำบากบ้าง เขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือ และจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ด้วยเกียรตินิยม อันดับหนึ่ง (เหรียญทอง)และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า   คุณครูเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดใน ชีวิตเขา

จากนั้นสี่ปีผ่านไปแต่จดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว
เขาตัดสินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด จดหมายนั้นอธิบายว่าคุณครูยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมีแต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีกหน่อย จดหมายนั้นลงชื่อว่า

นพ. ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์

เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะ คือว่า ฤดูใบไม้ผลินั้นก็ยังมีจดหมายมาอีก เท็ดดี้บอกว่า เขาได้เจอสาวคนนึงและก็จะแต่งงานกัน เขา อธิบายว่าพ่อของเขาได้เสียไปเมื่อสองสามปีก่อนและเขาสงสัยว่าคุณครูทอมป์สัน จะตกลงมานั่งในที่นั่งสำหรับพ่อ-แม่เจ้าบ่าวในงานแต่งงานหรือไม่

แน่นอนที่สุด ครูทอมป์สันก็มา และทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูกและต้องฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่าแม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศกาลคริสต์มาสครั้งสุดท้ายด้วยกันครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณหมอเท็ดก็กระซิบในหูคุณครูทอมป์สันว่า

"ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัวผม ขอบคุณมากที่ทำให้ผมรู้สึกสำคัญและแสดงให้ผมเห็นว่าผมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้"

ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า 

"หมอ เท็ด เธอเข้าใจผิดแล้วแหละเธอต่างหากที่สอนครูว่า ครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ ครูไม่รู้จักการสอนจนกระทั่งครูได้พบ ได้รู้จักเธอนั่นแหละ"

ที่มา fwd mail

                                    


                                                ____________________


                                                                                        Sampan Chanpa