วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คำฟุ่มเฟือย



                   คำฟุ่มเฟือย การใช้คำฟุ่มเฟือย                              
                                     

   


 หมายถึง     การใช้คำจำนวนมากแต่ได้ความเท่าเดิม และหากตัดคำเหล่านี้ออกก็ไม่ทำให้เสียความหมายไป


 ตัวอย่าง              อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ทุกคนตายหมดไม่มีใครรอดชีวิตเลยสักคน
   ควรแก้ไขเป็น     อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ทุกคนตายหมดพราะให้ความหมายสมบูรณ์อยู่แล้ว 


  แต่คำที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ คือ คำว่า "ทำการ"  ที่ปัจจุบันใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย โดยเฉพาัะใช้คำว่า "ทำการ" หน้าคำกริยามานานแล้ว และได้ช่วยรณรงค์มาโดยตลอดให้เลิกใช้คำนี้กันอย่างพร่ำเ้พรื่อ  เช่นเดียวกับผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญภาษาไทย ครูสอนภาษาไทย  นักวิชาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ก็ออกมาแสดงความคิดเห็นให้ข้อเสนอแนะ แต่รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้ผล จนถึงปัจจุบัน คำว่า "ทำการ" หน้าคำกริยาก็ยังเป็นที่นิยมกันอยู่

ดังตัวอย่างต่อไปนี้  เขตจะทำการขุดถนนเพื่อทำการฝังท่อระบายน้ำ หรือ เขตกำลัีงทำการซ๋อมสะพาน หรือ ครูทำการสอนนักเรียน  รัฐบาลทำการชี้แจงนโยบาย  ผู้สื่อข่าวทำการสัมภาษณ์รัฐมนตรี  สมาคมทำการคัดเลือกนักกีฬา  ประโยคที่ยกตัวอย่างมา ถ้าตัดคำว่า "ทำการ"  ในทุกประโยคออก  ก็ไม่ได้เสียความแต่อย่างใด และยังได้ประโยคที่กะทัดรัดขึ้นอีกด้วย


ปัญหาเรื่องการใช้คำ "ทำการ"  มีมานานหลายสิบปีแล้ว  ดังที่พระราชวรวงศ์เธอ  กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ได้ทรงแต่งกลอนทักท้วงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือพิมพ์  ประมวญวัน ฉบับวันที่ ๔  มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ดังนี่

    สงสารคำ  "ทำการ"  มานานแล้ว       ดูไม่แคล้วตาไปในหนังสือ

มันถูกใช้หลายอย่างไม่วางมือ               แต่ละมื้อตรำตรากยากเต็มที

 ตำรวจเห็นโจรหาญ  "ทำการจับ"           โจรมันกลับวิ่งทะยาน  "ทำการหนี" 

"ทำการป่วย"  เป็นลมล้มพอดี                 "ทำการซี้"  จีนหมายว่าตายเอย


    ลองหยุดคิดสักนิดก่อนที่จะใช้คำว่า  "ทำการ"  นำหน้าคำกริยาก็หน้าจะช่วยให้ได้ประโยคภาษาไทยที่เป็นภาษามากขึ้น


                                           

                                      ___________________________________












                                                              
                                                                 Sampan Chanpa

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการสร้างความสุขด้วยวิธีง่ายๆ





                            เทคนิคการสร้างความสุขด้วยวิธีง่ายๆ

     
                                          





 ขอเสนอเทคนิคการสร้างความสุขง่ายๆ 8 ข้อ ที่สามารถนําไปปรับใช้ได้กับตัวเองขอเพียงแค่ลงมือทําอย่างสม่ําเสมอก็ สามารถปรับเปลี่ยนมุมมองชีวิตในด้านใหม่ เกิดความสุขในทุกๆวัน และเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขคครับ
1. ดูแลสุขภาพร่างกาย
       จิตใจและร่างกายมีส่วนสัมพันธ์กันหากร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยจิตใจก็แจ่ม ใสการสร้างความสุขทางใจ จึงควรร่วมกับการดูแลสุขภาพทางกายควบคู่กันไป วิธีสร้างสุขภาพให้แข็งแรง โดยการออกกําลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอรับประทานอาหารที่มีประโยชน์งดสิ่งเสพติดของมึนเมาต่างๆ

2. ยิ้มให้กับตัวเอง
       ในแต่ละวันหลังจากตื่นนอนให้ยิ้มหน้ากระจก พูดกับตนเองในเรื่องดีๆ เช่น พูดถึงข้อดีของตนเอง พูดให้กําลังใจกับตนเอง (พูดในใจ หรือพูดออกมาก็ได้) คําพูดดีๆเหล่านี้จะฝังอยู่ในจิตใต้สํานึก ทําให้เราเกิดพลังในการต่อสู้กับอุปสรรค
3. มองหาสิ่งดีที่มีอยู่
       ลองมองหาข้อดีหรือสิ่งดีๆที่เรามีอยู่รวมทั้งคนดีๆและโอกาสดีๆที่อยู่รอบ ตัวเราซึ่งเราอาจมองข้ามไป เช่น “แม้ว่างานจะหนักทําให้เกิดความท้อแท้ในบางครั้งแต่เราก็โชคดีที่มีงานทํา ที่มั่นคง” “เรามีแต่เพื่อนที่ดีคอยให้กําลังใจ” “แม้เราจะพิการแต่เราก็โชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่” 
4. ทําแต่ละวันให้มีคณค่า
       เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าไม่อาจย้อนคืนได้หลายคนมักเสียใจที่ไม่ได้ทําบางสิ่ง บางอย่างโดยเฉพาะกับพ่อแม่และคนในครอบครัว ถ้าวันนี้เรายังไม่ได้ทําสิ่งดีๆให้แก่กันอย่างเต็มที่ เราอาจต้องเสียใจไปตลอดชีวิตให้ลองคิดว่า “หากวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เหลืออยู่ เราจะทําสิ่งดีๆอะไรในวันนี้บ้าง”จะทําให้เราใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีคุณค่า มากขึ้น
5. “ปล่อยมันไป”
       เรื่องและสถานการณ์บางอย่างที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขได้ เปล่าประโยชน์ที่จะนํากลับมาคิดซ้ำๆให้ทําร้ายตนเอง (หรือทําร้ายคนรอบข้างด้วย) เรียนรู้ที่จะนําอดีตมาเป็นบทเรียนสอนใจและปล่อยความทุกข์ใจในอดีตให้ผ่านไป
6. ให้อภัย
       หากคนรอบข้างทําให้เราโกรธไม่พอใจ หรือแม้แต่ตัวเราทําอะไรผิดพลาดก็ตามให้คิดว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุก คนมีสิทธิ์ผิดพลาด ลองมองปัญหาที่เกิดขึ้นให้หลากหลายมุมมองจากนั้นให้นึกถึงสิ่งดีๆที่เขาเคย ทํา(หรือที่เราเคยทํา-กรณีที่รู้สึกโทษตนเอง) พยายามให้อภัยในสิ่งที่เขาหรือเราได้กระทํา เพราะว่าความโกรธแค้นต่างๆถ้าไม่รู้จักกําจัดทิ้งมันก็เหมือนของเน่าเสียที่ ย้อนกลับมาทําร้ายตัวเอง เราเลือกได้ว่าจะรับสิ่งดีๆมาใส่ใจหรือเก็บแต่เรื่องที่ไม่ดีไว้กับใจ …ลองให้อภัยแล้วใจจะเบาลง

7. อย่าอยู่เฉยๆ
       ควรหากิจกรรมที่สนใจทําในเวลาว่างการอยู่เฉยๆจะทําให้คิดฟุ้งซ่าน และส่วนใหญ่มักจะคิดในเรื่องที่ทําให้ทุกข์มากกว่าสุข
8. คิดถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
       ก่อนนอนในแต่ละวัน ลองนึกทบทวนว่าวันนี้เราพบเหตุการณ์อะไรดีๆมาบ้าง หรือเราได้ทําสิ่งดีๆอะไรบ้าง ไม่จําเป็นต้องเป็นเรื่องยิ่งใหญ่อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ทําให้รู้สึกดี แล้วคุณจะพบว่าความสุขอยู่ไม่ไกลและหาได้ไม่ยาก 
                                       

                                                __________________________

                                                                           Sampan Chanpa

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เพื่อนผมชื่อ "เยื้อน"




                                       เยื่อนเพื่อนรัก

                                         

  ใช่ครับ "เยื้อน" คือเพื่อนของผมที่เรียนหนังสือมาด้วยกัน  พ่อของเยื้อนมีอาชีพรับจ้างทั่วไป แต่อาชีพหลักคือ ถีบสามล้อรับผู้โดยสารในตลาดสุพรรณบุรี เมื่อห้าสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมกับเยื้อนเรียนหนังสือมาด้วยกันในชั้นประถม ที่โรงเรียนวัดปราสาททอง ผมจำได้ว่าคุณครูใหญ่เป็นผู้หญิงแต่ชื่อของท่านเหมือนผู้ชาย คุณครูประยูร ซึ่งท่านก็สนิทกับคุณพ่อของผม ตอนนั้นพ่อของผมเป็นนักการเมื่องท้องถิ่น และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย ผมจำได้ว่าท่านสังกัดพรรค"เสรีมนังคศิลา" ผมกับน้องชายก็เรียนที่โรงเรียนนี้ เยื้อนเป็นเด็กซนมากและก็อยู่ไม่สุก (Restless children)  อุปกรณ์การเรียนของ เยื้อน เพื่อนของผมไม่ต้องถาม  แค่เยื้อนมาโรงเรียนได้เกือบทุกวันก็นับว่าอัศจรรย์แล้ว วันไหนถ้าเยื้อนมาโรงเรียนไม่ถูกดุก็ถูกทำโทษ ส่วนใหญ่จะโดนทั้งถูกดุและถูกลงโทษเสมอ   แต่นั่นก็ไม่ถึงกับเป็นสาเหตุที่ทำให้เยื้อนถึงกับขาดเรียนเสื้อผ้าชุดนักเรียนของเยื้อน     ผมคิดว่าคงมีอยู่ชุดเดียว แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจ  ผมจำได้ว่าเสื้อนักเรียนของเยื้อนมีเม็ดกระดุมไม่ครบเวลาติดกระดุมเสื้อบางครั้งก็ไม่สัมพันธ์กัน  จึงทำให้ชายเสื้อไม่เท่ากัน  แต่เยื้อนก็เรียนหนังสือเก่งกว่าคนทุกคนในห้องร่วมทั้งผมด้วย
                                   
  แล้ววันโลกาวินาศก็มาถึง จริง ๆ แล้วผมไม่อยากที่จะใช้คำนี้ แต่สมัยนั้นแม้แต่ตัวผมเองก็ตกใจเหมือนกัน  ผมจำได้ว่า พวกเราเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๔ ในขณะนั้นครูที่สอนพวกเรามีเพียงคนเดียวในแต่ละห้อง เรียกว่า ครูประจำชั้นก็ได้ แต่เผอิญวันนั้นครูประจำชั้นไม่อยู่ คุณครูใหญ่จึงได้ให้ คุณครูจรูญ  ผมจำนามสกุลของท่านไม่ได้ มาสอนแทน จริง ๆ แล้ว ท่านเป็นครูพิเศษสอนวิชาเรขาคณิตประถมปลาย แต่วิชาพละท่านก็สอน วิชาขับร้องดนตรีท่านก็สอน ผมมาคิดดูแล้วท่านเก่งสอนได้ทุกวิชาและถ้าครูคนใดขาดท่านก็จะเข้าสอนแทนได้ทุกห้อง 
และตัวของเยื้อนเองก็ถูกคุณครูจรูญทำโทษอยู่บ่อย ๆ     วันนั้นท่านถือวงเวียนไม้กับผลส้ม---    -เขียวหวานมาสอนแทนครูประจำชั้น   ผมเองก็ยังไม่รูเลยว่าท่านจะสอนวิชาอะไร แต่เยื้อนก็โดนดุก่อนแล้วเพราะความซน   และเกาโน่นเกานี่เหมือนกับลิง  วันนั้นครูจรูญสอนวิชาภูมิศาสตร์เรื่องโลกกลม
                                             


  ท่านพยายามอธิบายว่าโลกที่พวกเราอาศัยอยู่นี้มีลักษณะกลมคล้ายผลส้มเขียวหวานที่ท่านนำมา  และท่านยังอธิบายต่อไปอีกว่าโลกใบนี้ยังมีการหมุนรอบตัวเอง และหมุนรอบดวงอาทิตย์ รวมทั้งปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่นโลกหมุนรอบตัวเองทำให้เกิดกลางวัน  และกลางคืน ส่วนการหมุนรอบดวงอาทิตย์ทำให้เกิดฤดูกาลต่าง ๆ ในระหว่างที่ท่านพยายามอธิบายไปนั้น เยื้อนเองก็ดูเหมือนไม่สนใจ   ผมเองในวัยขนาดนั้นก็ไม่รู้เรื่องและไม่ค่อยเข้าใจ   (แต่ก็นับว่าท่านตั้งใจสอนมากมีอุปกรณ์การสอนบวกกับความตั้งใจ) แต่ท่านลืมนึกไปว่าวิชาที่ท่านกำลังสอนนั้นน่าจะเป็นของเด็กมัธยมมากกว่า ผมเองเวลานั้นก็ตั้งใจฟังแต่ย่อมรับว่าไม่เข้าใจเรื่องของปรากฏการณ์ กลางวันกลางคืน หรือเรื่องของฤดูกาล  และเยื้อนเองจะเข้าใจหรือเปล่าผมเองก็ไม่รู้เพราะความซนเหลือหลายนั่นเอง  ขณะเดียวกันครูจรูญท่านเองก็สรุปตอนท้ายว่า "แล้วเรื่องโลกมีลักษณะกลมเหมือนส้มเขียวหวานมีใครสงสัยบ้าง" ทุกคนในห้องเงียบหมด ยกเว้นเยื้อนคนเดียวที่ยกมือขึ้นอย่าว่าแต่ทุกคนในชั้นเรียนที่ไม่เชื้อในสายตาตนเองเลย แม้แต่ครูจรูญเองก็แสดงความรู้สึกไม่ต่างจากพวดเราในชั้นเรียนเท่าไหร่

                                           


ต่อไปนี้เป็นคำพูดของคุณครูจรูญ กับเด็กชายเยื้อน



 ครูจรูญ             "สงสัยอะไรเด็กชาย เยื้อน ครูพูดเธอยังไม่ฟังเล่นตลอด" 

 เด็กชายเยื้อน    "ผมว่าโลกไม่ได้กลมอย่างส้มเขียวหวานที่คุณครูเอามหรอกครับ"

 ครูจรูญ             " เธอรู้ได้อย่างไรว่าโลกไม่กลมเหมือนส้มเขียวหวานที่ครูเอามา
                          เธอตอบให้ดีนะ" คุณครูจรูญเริ่มไม่พอใจ

 เด็กชายเยื้อน    "ผมว่า โลกของเรากลมเหมือนจานกินข้าว"

 ครูจรูญ             "รู้ได้อย่างไร"    เสียงเริ่มดังมากจนพวกผมตกใจ เยื้อนเองก็เงียบ

 ครูจรูญ             "ว่าไงเยื้อน" เยื้อนก็ยังเงียบ อันนี้เองสร้างจุดเดือดให้ครูจรูญ

 ครูจรูญ             "จะตอบหรือไม่ตอบไอ้เยื้อน" ตอนนี้เองที่เยื้อนเพื่อนของผมรวบรวมความกล้า 
                         แล้วค่อย ๆ ตอบว่า (ก่อนอื่นผมขอยืนยันว่าเยื้อนตอบออกไปแบบนี้จริงๆ ครับ)

เด็กชายเยื้อน    " พ่อของผมเคยพาผมไปเที่ยวงานประจำปีภูเขาทองที่กรุงเทพฯ และพาผมเดิน
                         ขึ้นไป  บนภูเขาทองแล้วมองลงมาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้เหมือนวางอยู่ 
                         ในชามกินข้าวครับ"   ( ความจริงต้องเป็นจานกินข้าวแต่เด็กสมัยผมเรียกชามกิน
                         ข้าว )              

                                                           

  คุณครูจรูญโกรธมากครับ แกขว้างวงเวียนไม้ลงไปที่โต๊ะของเยื้อนส่วนแหลมของวงเวียนปักอยู่บนโต๊ะสั่นไปมา ผมเห็นเยื้อนตกใจมาก แล้วครูจรูญก็เดินออกจากห้องไป โดยไม่พูดอะไรเลย ผมก็ไม่เข้าใจว่าคุณครูจรูญโมโหเยื้อนเพื่อนของผมเรื่องอะไร และตั้งแต่นั้นมา เยื้อนเพื่อนของผมก็ไม่มาโรงเรียนอีกเลย  ผมเคยไปหาเยื้อนที่บ้าน แต่ก็ไม่พบเยื้อนและพ่อของเยื้อน  คนแถวนั้นบอกว่าไม่รู้ย้ายบ้านไปอยู่ที่ไหน

                                         

  ผมมาทบทวนดูว่า เหตุการณ์ในวันนั้นจะไม่เกิดขึ้น ถ้าคุณครูจรูญยอมรับความคิดเห็นของเยื้อน และไม่โมโหจนเกินไป เยื้อนก็พูดไปตามประสาเด็กที่คิดมาอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น และถ้าคุณครูจรูญอธิบายให้เยื้อนได้เข้าใจ ผมคิดว่าวันนี้คงจะมี นายแพทย์เยื้อน หรือวิศวกรเยื้อน ในประเทศไทยอีกคนหนึ่งก็เป็นได้

   ผมเองก็เชื่อว่าเยื้อนคงไม่เคยไปภูเขาทอง แน่นอน เพราะเยื้อนเคยพูดกับผมว่าอยากไปเที่ยวงานภูเขาทองมากแต่พ่อไม่เคยพาไปเสียที  แต่นั่นไม่ใช่ประเดนสำคัญ  แต่ที่ผมสงสัยที่สุดก็คือ เยื้อนสร้างจินตนาการตอนนั้นได้อย่างไร ผมเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน...!!!!!!

                                                                 


                                                   ____________________________



Sampan Chanpa


           


วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เลียะัพะ ....!!!!

                                 เลียะพะ  

                                     

  
                                                    ในหลวงเสด็จเยือนสำเพ็ง


เมื่อตอนที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลง คำจีนที่เรียกว่า "เลีะพะ" ซึ่งแปลว่า "จับและตี"  หมายถึงการกลุ้มรุมทำร้าย  เป็นคำที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในเมืองไทย  คนไทยที่เข้าไปเดินอยู่ในย่านคนจีน  เมื่อได้ยินเสียงคนร้องขึ้นว่า "เลีะพะ" ก็ต้องวิ่งกันทันที มิฉะนั้นก็จะโดนเลียะพะ
                                        


   ทั้งนี้เกิดจากคนจีนมีความโกรธแค้นญี่ปุ่นอย่างมาก  และหลายคนก็โกรธแค้นมาถึงรัฐบาลไทยที่ร่วมรบกับญี่ปุ่น  ประกอบกับได้รับการยุยงจากหน่วยใต้ดินของก๊กมินตั๋งในไทย  ว่าจีนเป็น ๑ ใน ๕ชาติมหาอำนาจที่ชนะสงครามในครั้งนี้  และจอมพลเจียงไคเช็ค กำลังจะส่งทหารเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทย  ทำให้คนจีนกลุ่มหนึ่งฮึกเหิม  โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ขุ่นเคืองการปฏิบัติของตำรวจไทย  หวังจะได้แก้แค้น  แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ส่งทหารอังกฤษเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทยส่วนทหารก๊กมินตั๋งปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในอิโดจีนเท่านั้น ทำให้คนจีนกลุ่มนี้ผิดหวังอย่างมาก

  ในคืนวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๘๘  เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์  ผู้คนไปเที่ยวเตร่แถวเยาวราชกันแน่น ราว  ๒ ทุ่มได้มีทหารอังกฤษกลุ่มหนึ่งไปนั่งกินเหล้าในร้านแถวเยาวราช  แสดงความสนุกสนานกันอย่างเต็มที่  ได้นำเอาธงชาติจีนขึ้นมาโบก  จึงมีคนมายืนมุงดูกันแน่นถนน  เผอิญในขณะนั้นมีรถสามล้อเฉี่ยวชนคนจีนคนหนึ่งเขา  จึงทำให้มีปากเสียงทะเราะกัน  คนจีนกลุ่มหนึ่งได้เข้ากลุ้มลุมทำร้ายคนขี่สามล้อซึ่งเป็นคนไทย  ตำรวจเข้าระงับเหตุการณ์ก็ถูกโดนรุ่มทำร้ายไปด้วย  สถานีตำรวจพลับพลาชัยได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธไป ๑ คันรถ เกลี้ยกล่อมให้ฝูงชนสลายตัวกลับไป แต่ไม่มีใครเชื่อฟังและยังโยนประทัดเข้าใส่  ตำรวจจึงยิงปืนขึ้นท้องฟ้าแล้วถ่อยกลับโรงพัก  ทางรัฐบาลได้ส่งทหาร  ตำรวจ  และยุวชนทหารซึ่งมีบทบาทสำคัญตอนสงครามไปรักษาการณ์  ใช้รถถังวิ่งตรวจไปตามถนนเยาวราช  ถนนเจริญกรุง  จนถึงหัวลำโพง ฝ่ายพวกจีนที่ก่อการจลาจลได้แอบอยู่ในตึกแถวข้างถนนได้ยิงปืนลงมา  เกิดการยิงตอบโต้กันจนร้านค้าทั้งหลายต้องปิดหมด
                                                      
                                                    วัยรุ่นชาวจีน
  รุ่งขึ้นวันที่ ๒๑ การจลาจลได้กระจายออกไปตามย่านที่มีคนจีนอยู่ เช่น แถวเจริญกรุง  บางรัก  หัวลำโพง  และบางลำพู  มีโปสเตอร์เป็นภาษาจีนติดอยู่หลายแห่งปลุกปั่นคนจีนให้ทำร้ายคนไทย  และมีคนเข้าพักในโรงแรมย่านเยาวราชมากผิดปกติ  มีข่าวลืือกันว่าคืนนี่้จะมีการก่อการจลาจลขั้นรุนแรง  ทางการจึงได้เตรียมรับมืออย่างเต็มที่  จนราว ๒ ทุ่มเสียงปืนก็ดังไปทั่ว มีบาดเจ็บและล้มตายกันหลายคน และมีกลุ่มอันธพาลเข้าผสมโรงบุกเข้าปล้นร้านค้าคนจีนย่านเยาวราชกวาดทรัพย์สินไปได้มาก (เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมนึกถึงกลุ่มพวกเสื้อแดงบุกปล้นร้านค้าราชประสงค์เหตุการณ์เหมือนกันยังกะลอกสูตรกันมาเลยเวรกรรมของประเทศไทยคนจัญไรทำลายประเทศ)

  รุ่งขึ้นเช้าวันที่ ๒๒ ทหารตำรวจได้จู่โจมเข้าเคลียร์พื้นที่ ที่มีการปะัทะจับกุมผู้ต้องสงสัยไปได้หลายคน  แต่ก็ยังมีการยิงโต้ตอบเป็นระยะ  จนตกบ่ายเสียงปืนจึงค่อย ๆ หายไป 
                                             
                                                        สมาคมคังเจี้ยน
  ในวันที่ ๒๓ "สมาคมคังเจี้ยน"ซึ่งเป็นองค์กรของ ก๊กมินตั๋งในประเทศไทย ได้ปิดประกาศเรียกร้องให้คนจีนปิดตลาด ซึ่งผู้ค้าขายที่เป็นคนจีน ต่างปฎิบัติตามเพราะกลัวการคุกคาม  แต่เจ้าของตลาดเก่าเยาวราชได้ระดมแม่ค้าพ่อค้าจากที่อื่นมาขายแทน และส่งคนเข้าคุ่มครองคนขายด้วย

  และในวันเดียวกันนี้สหสมาคมต่อต้านญี่ปุ่นในประเทศไทย  ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้พี่น้องไทย-จีนช่วยกันถนอมไมตรีที่มีต่อกันมาช้านาน อย่าหลงกลผู้ไม่หวังดียุแหย่ให้เกิดความแตกร้าวขึ้นในชาติ  รัฐบาลได้จัดตั้งกองกำลังรักษาความมั่นคงไทย-จีนขึ้น    มี พล.ร.ต.สังวร  สุวรรณชีพ เป็นหัวหน้ารักษาความสงบ  จนในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๔๘๙ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช  นายกรัฐมนตรี ได้เซ็นสัญญาสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน กับนายหลีเทียะเจิง  เอกอัครราชทูตจีน  กองกำลังผสมนี้จึงเลิกไปกับเสียง "เลียะพะ" ด้วย
                                              
                                                         ถนนเจริญกรุง
  ในช่วงเกิดเหตุการณ์นี้  ถ้ามีคนไทยเดินเดี่ยวเข้าไปในย่านของคนจีน  ก็จะมีวัยรุ่นจีนที่ฮึกเหิมร้องตะโกนขึ้ว่า "เลียะพะ" จากนั้นวัยรุ่นที่อยู่โดยรอบก็ขจะกรูเข้ามาทำร้าย  หลายรายมีทั้งมีด และไม้เป็นอาวุธ และเกิดเหตุการณ์เช่นนึ้อยู่ทั่วไป

  ดาราดังในอดีตคนหนึ่งคือ คุณสาหัส บุญ-หลง (ภายหลังเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น พฤหัส บุญ-หลง) มีรอยแผลเป็นที่หน้าติดตัวมาตลอด สาเหตุก็เกิดจาก เลียะพะ
                                                
                                                   คุณพฤหัส บุญ-หลง
  ตอนนั้น "ลุงหัส" แกดังแล้ว แสดงละครอยู่ที่ศาลาเฉลิมนคร  พอละครเลิกตอนดึก ลุงหัสแกคงจะหิวและอยากบุหรี จึงเดินออกมาหาซื้อ  เพื่อนนักแสดงด้วยกันคงจะเป็นห่วงจึงตะโกนออกไปว่าออกไปคนเดียวไม่กลัวถูก เลียะพะ หรือ ลุงหัสแกก็ยิ้ม  เพราะก่อนที่ลุงหัสจะมาเป็นนักแสดงนั้นลุงหัสเคยเป็นนักเลงมาก่อน ทั้งยังเชื่ออีกว่าตัวเองหนังเหนียว เจอศึกมาหลายครั้งแม้จะโดนอาวุธมีคมของคู่ต่อสู้ "ลุงหัส"ก็ไม่เคยระคายผิวถึงเลือดออก อย่างเก่งก็แค่มี "ยางบอน" และตอนนี้ก็เป็นนักแสดงที่คนย่านนั้นรู้จักหน้าดี คงไม่มีใครกล้ามาทำร้าย

   "ลุงหัส" ลัดเวิ้งนครเขษมมาออกสี่แยกวัดตึกจึงเจอแผงขายบุหรี่  แต่คนขายกลับไม่ยอมขายให้ตอนนั้นพ่อค้าแม่ค้าในย่านเยาวราชถูกยุแหย่ไม่ย่อมขายสินค้าให้คนไทย  เมื่อ ลุงหัส ซื้อบุหรีที่กำลังอยากสูบไม่ได้เลยเกิดอารมณ์ มีปากเสียงกับคนขาย  ทันใดก็มีคนร้อองขึ้นว่า "เลียะพะ" 
                                                 
                                                           เยาวราช
  จากนั้นวัยรุ่นราว ๑๐ คนก็โผล่เข้ามารุมสกรัม  แต่ถึงจะโดนรุมยำขนาดนั้น "ลุงหัส"ก็ไม่ยอมถอยระหว่างที่ชุลมุนอยู่ก็เห็นอาวุธในมือคนร้ายต้องแสงไฟวาววับสับมาที่หน้า  และเห็นว่าเป็นตะขอเกี่ยวกระสอบข้าวสาร "ลุงหัส" รู้สึกเพียงเจ็บ ๆ ที่หน้าผากและคิดว่าไม่เข้า  ครู่หนึ่งรู้สึกเหมือนมีแมลงไต่ลงมาที่แก้ม  พอเอามือลูบดูก็ปรากฎว่าเป็นเลือด "ลุงหัส"เลยบ้าเลือดยิ่งขึ้นอีก จนตำรวจมา คนเหล่านั้นจึงสลายหายตัวเข้าตรอกซอกซอยไป ตำรวจพา "ลุงหัส" ไปทำแผลที่โรงพยาบาลกลาง  เลยได้ที่ระลึก เลียะพะไว้ที่หน้า
                                   


  ต่อมาในวัน ๓ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลา ๐๙.๐๕ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จเยี่ยมสำเพ็ง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีพระมหากษัตริย์เสด็จเยี่ยมสำเพ็งอย่างเป็นทางการทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทอย่างช้า ๆ ไปบนพรมที่บรรดาพ่อค้าจัดปูลาดไปตลอดความยาวของถนนสำเพ็ง และประดับด้วยซุ้มดอกไม้ ธงทิว แพรผ้า หน้าร้านค้าต่างตั้งโต๊ะมุกเครื่องบูชา และเฝ้ารับเสด็จตลอดเส้นทางพระราชดำเนิน ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับราษฎรที่รอเข้าเฝ้าตามทางเป็นระยะ และเสด็จฯ เข้าประทับในบางร้าน  สมเด็จพระอนุชาธิราชทรงเป็นช่างภาพกิตติมศักดิ์  ทรงเปิดโอกาสให้ชาวจีนได้เข้าเฝ้าแทบละอองธุลีพระบาทอย่างใกล้ชิด ทรงรับของที่ระลึกด้วยพระหัตถ์จากร้านหนึ่งไปยังอีกร้านหนึ่ง  ทรงใช้เวลาเสด็จเยี่ยมสำเพ็งครั้งนี้ ถึง ๔ ชั่วโมง  จากนั้นได้เสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่สมาคมไทย-จีน ถนนสาทรตามคำกราบบังคมทูลของบรรดาพ่อค้าจีน  และทอดพระเนตรการละเล่นต่าง ๆ ก่อนเสด็จกลับ ยังความปลาบปลื้มปิติยินดีแก่ชาวจีนเป็นล้นพ้น

     จากนั้นความสัมพันธ์ของคนในชาติก็สนิทเป็นเนื้อเดียวกันดังเดิม

                                   _______________________

                                                                               Sampan Chanpa