วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556








                                    Levi Strauss
F A S H I O N
Levi Strauss


ปี 1853 หนุ่มเยอรมัน เชื้อสายยิวอายุ 24 ปีที่ชื่อ ลีวาย สเตราส์ เดินทางไปขาย
ผ้าใบในซานฟราน-ซิสโกช่วงยุคตื่
นทอง วันหนึ่งคนขุดทองในเหมืองบอกเขาว่า “คุณน่าจะเย็บกางเกงขาย เพราะ ไอ้ที่ใส่อยู่มันไม่ทนเลย!”สเตราส์จึงนำผ้าใบมาลองเย็บกางเกงขาย แต่ก็ยังถลอกง่าย เขาจึงลองเปลี่ยนจากผ้าใบเป็นผ้าฝ้ายฝรั่งเศส (เซิร์จ เดอนิมส์ - Serge De Nims) ซึ่งต่อมาผ้าชนิดนี้ถูกเรียกว่าผ้า
เดนิม ส่วนกางเกงของสเตราส์ เรียกกันเล่นๆ ว่า บลูยีนส์ ตามสีของผ้าเดนิมที่ถูกย้อมเนื่
องจากสีน้ำเงินครามเป็นสีของเสื้อผ้าคนงานขุดทอง ใครจะคิดว่ามันจะปฏิวัติ
วงการแฟชั่นโลกกลายเป็นมาตรฐานก
ารแต่งกายของมนุษย์ จนถึงปัจจุบัน!
ปี 1873 สเตราส์และช่างตัดเสื้อคู่ใจ จาคอบ เดวิสร่วมกันก่อตั้ง Levi Strauss &Co. ค่อยๆ พัฒนากางเกงให้มีกระเป๋า ตะเข็บ กระดุม แผ่นป้ายหนัง และตอกหมุด
เพื่อเสริมความทนทาน ทำการจดสิทธิบัตรเลขที่ 139,121 ในวันที่ 20 พ.ค. 1873 จึงถือกันว่า วันนี้คือวันที่กางเกงบลูยีนส์ ได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลกอย่างเป็น
ทางการ! ส่วนโลโก้กางเกงยีนส์ Levi’s ที่มีม้า 2 ตัวนั้น เริ่มใช้ครั้งแรกในปี 1886 ส่วน
แถบแดงบนกระเป๋าหลังเริ่มใช้ปี 1936 ซึ่งเป็นเครื่องหมายของลีวายส์จ
นถึงทุกวันนี้!
    „ ครั้งแรกที่กางเกงยีนส์ Levi’s ถูกผลิตขึ้นมาในปี 1873 มันเป็นกางเกงสำหรับคนใช้แรงงาน แต่ด้วยคุณภาพความ
ทนทาน และเสน่ห์ความสวยงามของมันนี่เอง ที่ทำให้มันแพร่หลายไปทั่วโลก „ ในการผลิตกางเกงยีนส์ทุกๆ 10 ตัว
จะมี 1 ตัวที่ป้ายแดงเป็นสีแดงล้วน ไม่มีตัวหนังสือคำว่า Levi’s „ ที่สำนักงานใหญ่ของลีวายส์ในซานฟรานซิสโก
ที่พิพิธภันฑ์ที่ชื่อ The Vault ซึ่งเราสามารถไปชมกางเกงยีนส์รุ่นต่างๆ ที่ไปโผล่ในหนังดังๆ หรือกางเกงของดารา
ฮอลลีวูดมากมาย ที่สำคัญคือเข้าชมฟรี!

  
                                ________________________________
                                                   Sampan Chanpa







                                    Levi Strauss
F A S H I O N
Levi Strauss


ปี 1853 หนุ่มเยอรมัน เชื้อสายยิวอายุ 24 ปีที่ชื่อ ลีวาย สเตราส์ เดินทางไปขาย
ผ้าใบในซานฟราน-ซิสโกช่วงยุคตื่
นทอง วันหนึ่งคนขุดทองในเหมืองบอกเขาว่า “คุณน่าจะเย็บกางเกงขาย เพราะ ไอ้ที่ใส่อยู่มันไม่ทนเลย!”สเตราส์จึงนำผ้าใบมาลองเย็บกางเกงขาย แต่ก็ยังถลอกง่าย เขาจึงลองเปลี่ยนจากผ้าใบเป็นผ้าฝ้ายฝรั่งเศส (เซิร์จ เดอนิมส์ - Serge De Nims) ซึ่งต่อมาผ้าชนิดนี้ถูกเรียกว่าผ้า
เดนิม ส่วนกางเกงของสเตราส์ เรียกกันเล่นๆ ว่า บลูยีนส์ ตามสีของผ้าเดนิมที่ถูกย้อมเนื่
องจากสีน้ำเงินครามเป็นสีของเสื้อผ้าคนงานขุดทอง ใครจะคิดว่ามันจะปฏิวัติ
วงการแฟชั่นโลกกลายเป็นมาตรฐานก
ารแต่งกายของมนุษย์ จนถึงปัจจุบัน!
ปี 1873 สเตราส์และช่างตัดเสื้อคู่ใจ จาคอบ เดวิสร่วมกันก่อตั้ง Levi Strauss &Co. ค่อยๆ พัฒนากางเกงให้มีกระเป๋า ตะเข็บ กระดุม แผ่นป้ายหนัง และตอกหมุด
เพื่อเสริมความทนทาน ทำการจดสิทธิบัตรเลขที่ 139,121 ในวันที่ 20 พ.ค. 1873 จึงถือกันว่า วันนี้คือวันที่กางเกงบลูยีนส์ ได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลกอย่างเป็น
ทางการ! ส่วนโลโก้กางเกงยีนส์ Levi’s ที่มีม้า 2 ตัวนั้น เริ่มใช้ครั้งแรกในปี 1886 ส่วน
แถบแดงบนกระเป๋าหลังเริ่มใช้ปี 1936 ซึ่งเป็นเครื่องหมายของลีวายส์จ
นถึงทุกวันนี้!
    „ ครั้งแรกที่กางเกงยีนส์ Levi’s ถูกผลิตขึ้นมาในปี 1873 มันเป็นกางเกงสำหรับคนใช้แรงงาน แต่ด้วยคุณภาพความ
ทนทาน และเสน่ห์ความสวยงามของมันนี่เอง ที่ทำให้มันแพร่หลายไปทั่วโลก „ ในการผลิตกางเกงยีนส์ทุกๆ 10 ตัว
จะมี 1 ตัวที่ป้ายแดงเป็นสีแดงล้วน ไม่มีตัวหนังสือคำว่า Levi’s „ ที่สำนักงานใหญ่ของลีวายส์ในซานฟรานซิสโก
ที่พิพิธภันฑ์ที่ชื่อ The Vault ซึ่งเราสามารถไปชมกางเกงยีนส์รุ่นต่างๆ ที่ไปโผล่ในหนังดังๆ หรือกางเกงของดารา
ฮอลลีวูดมากมาย ที่สำคัญคือเข้าชมฟรี!
 
                                ________________________________
                                                   Sampan Chanpa

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สามก๊ก (ฉบับกุ๊กกิ๊ก)






สามก๊ก (ฉบับกุ๊กกิ๊ก)

   สามก๊ก ( Romance of the Three Kingdoms ) เป็นวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จัดเป็นวรรณกรรมเพชรน้ำเอกของโลก เป็นมรดกทางปัญญาของปราชญ์ชาวตะวันออกที่สุดยอด มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 10 ภาษา และมีการตีพิมพ์อย่างแพร่หลายทั่วโลก แต่งขึ้นประมาณในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ยุคสมัยราชวงศ์หยวน บทประพันธ์โดยหลัว กวั้นจง  แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยครั้งแรกโดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อปี พ.ศ. 2345 ในรูปแบบสมุดไทย ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยโรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ ในปี พ.ศ. 2408 และได้รับการตีพิมพ์ซ้ำอีกครั้งภายใต้ชื่อ "หนังสือสามก๊ก ฉบับราชบัณฑิตยสภา" โดยโรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร ในปี พ.ศ. 2471 ปัจจุบันสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้รับการตีพิมพ์ใหม่อีกหลายครั้งโดยหลายสำนักพิมพ์ถือเป็นวรรณกรรมจีนอิง ประวัติศาสตร์เล่มที่ 2 โดยแปลหลังจากไซ่ฮั่นและเก่าแก่ที่สุดในไทย

   สามก๊กมีเนื้อหาหลากหลายรสชาติ เต็มไปด้วยกลเล่ห์เพทุบาย กลศึกในการรบ การชิงรักหักเหลี่ยม ความเคียดแค้นชิงชัง ความซื่อสัตย์และการให้อภัย ซึ่งมีเนื้อหาและเรื่องราวในทางที่ดีและร้ายปะปนกัน ภาพโดยรวมของสามก๊กกล่าวถึงประวัติศาสตร์จีนในยุคสามก๊ก ในปี พ.ศ. 763 - พ.ศ. 823 โดยจุดเริ่มต้นของสามก๊กเริ่มจากยุคโจรโพกผ้าเหลืองในปี พ.ศ. 726 ที่ออกอาละวาด จนเป็นเหตุให้บุคคลทั้งสามคือเล่าปี่ กวนอูและเตียวหุย ได้ร่วมสาบานตนเป็นพี่น้องและร่วมปราบกบฏโจรโพกผ้าเหลือง รวมทั้งการแย่งและช่วงชิงอำนาจความเป็นใหญ่ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นของก๊กต่าง ๆ อันประกอบด้วยวุยก๊กหรือก๊กเว่ย  จ๊กก๊กหรือก๊กสู่  และง่อก๊กหรือก๊กหวู  จนถึงการสถาปนาราชวงศ์จิ้นโดยสุมาเอี๋ยน รวมระยะเวลาประมาณ 60 ปี นอกจากนี้ สามก๊กยังเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนร่วมกับไซอิ๋ว ซ้องกั๋งและความฝันในหอแดง ซึ่งนักอ่านหนังสือจำนวนมากยกย่องสามก๊กเป็นบทเรียนตำราพิชัยสงครามภาค ปฏิบัติ การบริหารและเศรษฐกิจ









                              ประวัติการประ พันธ์

   สามก๊ก เป็นวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ ที่เรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ของจีน ซึ่งเนื้อหาโดยรวมเป็นการเล่าแบบบรรยายเกี่ยวกับเหตุการณ์ในปลายสมัยราชวงศ์ ฮั่น ซึ่งจีนในขณะนั้นบ้านเมืองเกิดเหตุการณ์วุ่นวายระส่ำระสาย เกิดการแตกแผ่นดินออกเป็นก๊กต่าง ๆ รวมสามก๊กด้วยกัน รวมทั้งมีการทำสงครามอันยาวนานนับ 100 ปี และสุดท้ายจีนที่แตกออกเป็นก๊กเป็นเหล่าก็กลับมารวมเป็นจีนแผ่นดินใหญ่อีก ครั้งในสมัยราชวงศ์จิ้นขึ้นปกครองประเทศจีนต่อ ภายหลังได้มีการชำระประวัติศาสตร์และเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตในยุคนั้น โดยนักปราชญ์ชาวจีนชื่อตันซิ่ว(เฉินโซ่ว/Chen Sou)]

   บันทึกเหตุการณ์และเรื่องราวต่าง ๆ ในยุคสามก๊กฉบับแรก ที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรคือ จดหมายเหตุสามก๊ก หรือสามก๊กจี่ หรือซันกั๋วจื้อ  ซึ่งเป็นผลงานการเขียนในลักษณะพงศาวดารโดยตันซิ่วหรือเฉินโซ่ว บัณฑิตแห่งราชวงศ์จิ้น อดีตข้าราชการอาลักษณ์คนหนึ่งของจ๊กก๊กที่ถูกกวาดต้อนมายังวุยก๊กหลังจาก พ่ายแพ้ศึกสงคราม โดยเขียนขึ้นตามบัญชาของพระเจ้าจิ้นหวู่ตี้เพื่อเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ ต่อมาในช่วงใดช่วงหนึ่งระหว่างปี พ.ศ. 1873 - พ.ศ. 1943 หลัว กวั้นจง ได้นำซันกั๋วจื้อมาแต่งใหม่ในรูปแบบนิยายกึ่งประวัติศาสตร์ โดยเนื้อเรื่องทั้งหมดนำมาจากซันกั๋วจื้อบ้างและแต่งเพิ่มเติมเองบ้าง ซึ่งเมื่อเทียบกับซันกั๋วจื้อนั้น พบว่ามาจากซันกั๋วจื้อร้อยละ 70 และแต่งเองร้อยละ 30 โดยประมาณ




                                                      สามก๊กในรูปแบบต่างๆ

   เรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคสามก๊ก เคยมีผู้นำมาเล่าเป็นนิทานเล่าสืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน และนำมาปรับปรุงเสริมแต่งเพื่อเล่นเป็นงิ้วในเมืองจีน จนกระทั่งหลัว กวั้นจง นักปราชญ์จีนในสมัยยุคราชวงศ์หมิง ในปี พ.ศ. 1911 - พ.ศ. 2186 ได้นำสามก๊กมาเรียบเรียงใหม่อีกครั้งในรูปแบบของหนังสือ ต่อมาภายหลังเม่าจงกังและกิมเสี่ยถ่าง (จิ้นเสิ้งทั่น) ได้เพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนของสามก๊กและนำไปตีพิมพ์ในจีน หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชื่อของ "สามก๊ก" ได้กลายเป็นวรรณกรรมอมตะที่ได้รับการกล่าวขานและแพร่หลายในจีน รวมทั้งอีกหลาย ๆ ประเทศและได้รับการตีพิมพ์ในรูปแบบภาษาต่าง ๆ หลายภาษา




                                                               ซันกั๋วจื้อ

   ซันกั๋วจื้อ ซึ่งเป็นจดหมายเหตุของตันซิ่ว ถือได้ว่าเป็นเอกสารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของจีนในสมัยของยุคสามก๊ก ชุดแรก ซึ่งถือว่ามีความสมบูรณ์มากที่สุด มีความยาว 65 เล่ม ประกอบไปด้วย วุยจี่ (จดหมายเหตุก๊กวุย) จำนวน 30 เล่มสมุด จ๊กจี่ (จดหมายเหตุก๊กจ๊ก) จำนวน 15 เล่มสมุด และง่อจี่ (จดหมายเหตุก๊กง่อ) จำนวน 20 เล่มสมุด มีตัวอักษรรวมทั้งหมดประมาณ 360,000 ตัว ซึ่งในตอนแรกนั้นตันซิ่วไม่ได้ตั้งชื่อบันทึกประวัติศาสตร์สามก๊กว่า "ซันกั๋วจวื้อ" ซึ่งชื่อนี้ได้มาจากบัณฑิตในสมัยราชวงศ์ต้าซ่งผู้หนึ่งเป็นผู้ตั้งให้ แต่เนื่องจากตันซิ่วรับราชการเป็นขุนนางของราชวงศ์จิ้นหรือวุยก๊ก ซึ่งทำให้การเขียนจดหมายเหตุสามก๊กนั้นเป็นการเขียนที่ยึดเอาราชวงศ์จิ้น เป็นหลัก ตันซิ่วยกให้วุยก๊กของโจโฉเป็นก๊กที่ปกครองแผ่นดินอย่างถูกต้อง ส่วนจ๊กก๊กของเล่าปี่และง่อก๊กของซุนกวน กลายเป็นเพียงรัฐที่มีการปกครองเพียงบางส่วนของประเทศจีนเท่านั้น และด้วยเหตุนี้ทำให้มุมมองของตันซิ่วที่มีต่อจ๊กก๊กและง่อก๊กแตกต่างจากสาม ก๊กของหลัว กวั้นจง ซึ่งนำเอาจดหมายเหตุสามก๊กมาดัดแปลงเพิ่มเติมจนกลายเป็นสามก๊กในปัจจุบัน

   ตันซิ่วกล่าวยกย่องจักรพรรดิของวุยก๊กทุกพระองค์ด้วยราชทินนามเช่น เรียกพระเจ้าโจโฉว่า "วุยบู๊เต๊" เรียกพระเจ้าโจผีว่า "วุยบุ๋นเต้" และเรียกพระเจ้าโจยอยว่า "วุยเหม็งเต้" และสำหรับพระเจ้าโจฮอง พระเจ้าโจมอและพระเจ้าโจฮวน ตันซิ่วยกย่องให้เป็นสามจักพรรดิพระองค์น้อย นอกจากนี้ตันซิ่วยังให้คำที่แปลว่าจักรพรรดิของแต่ละก๊กที่แตกต่างกัน โดยคำว่าจักรพรรดิของวุยก๊กใช้คำว่า "จี้" แปลว่าพระราชประวัติ แต่สำหรับจ๊กก๊กและง่อก๊ก ตันซิ่วเลือกใช้เพียงคำว่า "จ้วน" ที่แปลว่าชีวประวัติบุคคลเท่านั้น แต่สำหรับจักรพรรดิของจ๊กก๊กคือพระเจ้าเล่าปี่ ตันซิ่วยังคงให้เกียรติอยู่บ้างในฐานที่เคยอาศัยในจ๊กก๊ก จึงเรียกพระเจ้าเล่าปี่ว่า "เฉียนจวู่" แปลว่าเจ้าผู้ครองรัฐพระองค์แรก และเรียกพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า "โฮ่วจวู่" แปลว่าเจ้าผู้ครองรัฐพระองค์หลัง แต่สำหรับง่อก๊กนั้นตันซิ่วเลือกใช้คำสามัญธรรมดาด้วยการเรียกชื่อโดยตรงคือ ซุนเกี๋ยน ซุนกวนและซุนเหลียงเป็นต้น

   นอกจากนี้ตันซิ่วยังเปลี่ยนชื่อเรียกขานของจ๊กก๊กจาก "ฮั่น" เป็น "จ๊ก" ด้วยเหตุผลที่ว่าหากตันซิ่วเลือกใช้คำว่า "ฮั่น" ก็จะเท่ากับเป็นการให้เล่าปี่สืบทอดราชสมบัติและราชอาณาจักรต่อจากราชวงศ์ ฮั่นอย่างถูกต้อง ซึ่งจะกลายเป็นการไม่ยุติธรรมต่อฝ่ายวุยก๊ก ตันซิ่วจึงเลือกที่จะลดฐานะของเล่าปี่จากเชื้อสายราชวงศ์ฮั่นเป็นเพียงเจ้า ผู้ครองมณฑลเสฉวนหรือจ๊กก๊กเท่านั้น ซึ่งการเลือกใช้คำเรียกเล่าปี่ของตันซิ่วนี้ เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้นักประวัติศาสตร์ไม่พอใจและตำหนิตันซิ่วที่มีความ ลำเอียงและเลือกเข้าข้างวุยก๊กและราชวงศ์จิ้น รวมทั้งมีอคติที่ไม่ดีต่อจูกัดเหลียงที่สืบมาจากความเคียดแค้นในเรื่องส่วน ตัว แต่ถึงอย่างนั้นนักประวัติศาสตร์จีนก็ให้การยกย่องตันซิ่วที่มีความสามารถใน การเขียนประวัติศาสตร์ ที่สามารถเก็บบันทึกรายละเอียดต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุด

    

   

                                    

                              อาณาจักรสามก๊ก

   ในการปกครองบ้านเมืองของจีน ราชวงศ์ฮั่นถือเป็นราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ราชวงศ์หนึ่ง ซึ่งได้แผ่ขยายอาณาเขตออกไปไกล ขับไล่ชนเผ่านอกด่านออกไปจากภาคเหนือของประเทศได้ ด้านทิศเหนือครอบครองแมนจูเรียและเกาหลีบางส่วน ทิศใต้ครองมณฑลกวางตุ้งและกว่างซีรวมถึงตอนเหนือของเวียดนาม ครั้นถึงปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกหรือตงฮั่น จักรพรรดิทรงอ่อนแอ ขันทีมีอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ขุนศึกหัวเมืองต่าง ๆ พากันกระด้างกระเดื่องและตั้งกองกำลังส่วนตัวขึ้น ก่อความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านไปทั่วแผ่นดิน ราษฎรได้รับความเดือนร้อนไปทั่วจนทำให้เกิดกบฏโจรโพกผ้าเหลืองขึ้น กลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ทำสงครามแย่งชิงอำนาจกันโดยไม่สนใจรัฐบาลกลาง ในที่สุดแผ่นดินจีนแตกออกเป็นสามก๊กอย่างชัดเจนภายหลังจากที่โจโฉพ่ายแพ้แก่ เล่าปี่และซุนกวนในกรศึกที่ผาแดง เมื่อปี พ.ศ. 751






                                    ____________________________


Sampan Chanpa

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อ่านมาอย่าไรก็เขียนไปอย่างนั้น (ประธานาธิบดีจนสุดในโลก)




                            ประธานาธิบดีจนที่สุดในโลก

   
     หากพูดถึงตำแหน่งประธานาธิบดี แล้ว  ทุกคนจะคิดว่าเป็นผู้นำประเทศ ที่มีหน้าตา  ในสังคม มี
บ้านพัก  หรูหราโอ่อ่าเหมาะสมกับตำแหน่ง


     ไปไหนมาไหนจะมี คนขับรถ  หรือ การ์ด คอยอารักขา มี รถนำขบวนตามขบวน มากมายหลายคัน แต่ถ้าใครได้เห็นการดำเนินชีวิตของประัธานาธิบดีอุรุกวัยที่ชื่อ"โฮเซ มูจีกา " รับรองว่า ต้องอึ้ง เพราะแม้ว่าตำแหน่งของเขาจะ ใหญ่โตที่สุดในประเทศ แต่เขาเลือก  ใช้ชีวิตแบบ  ชาวไรชาวนา  อยู่ในบ้านซอมซ่อ พอมีพอกินเฉกเช่น  เกษตรกรคนหนึ่งเท่านั้นเอง
 
     
                                                                          โฮเซ มูจิกา
     "โฮเซ" ได้รับการขนานนามว่า เป็นประธานาธิบดีที่จนที่่่่สุดในโลก  เขา ปฏิเสธ  บ้านพักที่หรูซึ่งทางการจัดให้  เขา ปฏิเสธ การใช้ชีวิตหรูหรา  แต่เขา  เลือก  ที่จะใช้ชีวิตกับภรรยา  อย่างสมถะ  อยู่ในบ้านเก่า ๆ หลังหนึ่งในชนบทนอกเมืองมอนเตวิเดโอ   เขาอยู่อย่างพอเพียง ทำสวน  ปลูกผัก  ไว้กินกับภรรยา  น้ำที่ใช้ในแต่ละวัน  เขาสูบขึ้นมาจากบ่อ   เขามีรถไถ  ไว้ใช้ทำสวนทำไร  มีรถเต่าเก่า ๆ ไว้ขับเพียงหนึ่งคัน  เงินเดือนที่เขาได้รับกว่า 360,000 บาทต่อเดือนนั้น  เขาเก็บไว้เพียง 10 เปอร์เซนต์เท่านั้นอีก 90 เปอร์เซนต์  เขานำไปบริจาคช่วยเหลือคนยากจน  และโครการสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ


     บวกลบคูณหารแล้ว  เขามีเงินใช้เพียงเดือนละ 23,000 บาทเท่านั้นเอง (ผมเองก็มีบำนาญรับประทานเท่าท่านประธานาธิบดีพอดีแต่รายรับรายจ่ายก็ต้องประหยัด ไม่ค่อยอยากจะไปไหนกลัวจะบริหารเงินไม่ถึงสิ้นเดือนเพราะอะไร ๆ ในเมื่องไทยมันก็แพงเกือบทุกอย่างอย่านึกว่ามากนะครับถ้าใช้ไม่ดีก็มีสิทธิ์ตกม้าตายได้)  มาพูดถึงท่านประธานาธิบดีโฮเซกันอีกดีกว่า "โฮเซ"  เปิดเผยว่า  แม้ว่าเขาจะได้ "รับฉายาว่า เป็นประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก  แต่  เขาไม่รู้สึกจนเลย  คนจน  ในทรรศนะของเขา  คือคนที่เอาแต่ทำงานงก ๆ เพื่อยกระดับชีวิตของตัวเอง  ให้ร่ำรวย  นอกจากนี้  คนจนคือคนที่มีความต้องการในสิ่งนั้นสิ่งนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

                                                    โฮเซกับรถเก่า ๆ
     เขาบอกว่า  การใช้ชีวิตของเขานั้นเป็นอิสรภาพที่แท้จริง  ถ้าหากมนุษย์ไม่มีความต้องการอะไรมาก เราก็ไม่จำเป็นทำงาน  เยี่ยงทาส  เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้น และเราจะมีเวลาให้กับตัวเราเองมากขึ้น ซึ่งเขาบอกว่า  เขาอาจดูเป็นคนแก่ที่แปลก  แต่นี่คืออิสรภาพที่แท้จริงสำหรับเขา


     "โฮเซ"  ผ่านร้อนผ่านหนาวในชีวิตมามาก  เขา เคยถูกยิง 6 ครั้ง ขณะเป็นสมาชิกกลุ่มกองโจรทูปเมารอส  ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธฝ่ายซ้ายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการปฏิวัติในคิวบา  เขาเคยถูกจำคุก 14 ปี  ซึ่งระหว่างถูกจำคุกนั่นเอง  ทำให้เขาเกิดความคิดบางอย่าง  และมีมุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากนั้น "โฮเซ" เปิดเผยว่า  ด้วยวัยที่แก่แล้ว  เขาจะครองตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยสุดท้ายก่อนที่จะไปใช้ชีวิตเฉกเช่นผู้สูงอายุธรรมดาคนหนึ่ง  และอาศัยสวัสดิการของรัฐเป็นที่พึงเท่านั้น
                                              โฮเซกับสุนัขพิการสามขา

     ซึ่งเขาเชื่อว่า   จะไม่มีปัญหาเรื่องมีรายได้น้อยแต่อย่างได  เพราะเขา  เคยชิน  กับการใช้ชีวิตแบบสมถะ  และพอเพียงมาตลอดชีวิตแล้ว  "โฮเซ มูจิกา"  คือตัวอย่างบุคคลที่น่าศึกษา  เพราะมีผู้นำประเทศน้อยคนมากที่ใช้ชีวิตธรรดา ๆ ขณะดำรงตำแหน่งสูงสุดในประเทศ

                                                   โฮเซ ปลูกผักกินเอง                                                                
                                                                   
     ส่วนใหญ่ เป็นใหญ่แล้วมีแต่ฮึกเหิม บ้าอำนาจ และ บ้าเงิน ซึ่งหาความจีรังในชีวิตไม่ได้เลย

                  ___________________

                                                                                                                                  Sampan Chanpa                                         


   























     

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รามเกียรติ์ ตอน ศึกกุมภกัณฐ์ ตอนที่ ๒ ( ขำทุกบรรทัด )



                         รามเกียรติ์ ตอน ศึกกุมภกัณฐ์  ตอนที่ ๒ 
  
                                   (พระลักษณ์ถูกหอกโมกขศักดิ์ของกุมภกัณฐ์)

      ความเดิมตอนที่แล้วทศกรรฐ์สั่งให้กุมภกัณฐ์ไปแก้แค้นพระรามที่ไปฆ่าไมยราพ (ความเป็นจริงแล้วกุมภกัณฐ์เป็นยักษ์อยู่ในศีลในธรรมแต่เพราะพี่ทศของเรามันสติไม่คอยจะดีเหมือนใครบางคนในบ้านเมืองเราเลยพาวงศ์ตระกูลฉิบหายไปด้วย)


  กุมภกัณฐ์กำลังทดน้ำตัดน้ำตัดไฟ  เอ้ย..!!ไม่ใช่ตัดน้ำอย่างเดียว ไม่ให้พวกลิงใช้เดือดร้อนไปตาม ๆกัน  คำแหงหนุมานถือตรีกระโจนลงไปในแม่น้ำ ปรี่เข้ากระทืบกุมภกัณฐ์เอากำไรไว้ก่อน มหาอุปราชกำลังนอนร่ายเวทวิทยา เมื่อถูกทำร้ายก็ตกใจรีบลุกขึ้นต่อสู้ กระแสน้ำไหลงลงสู่ทางใต้ทันที หนุมานกับกุมภกัณฐ์สู้รบกันเกือบสามชั่วโมงไม่มีใครแพ้ใครชนะ กุมภกัณฐ์ทรงเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียก็ล่าถอยเข้าพระนครลงกาและรุดเฝ้าท้าวทศกรรฐ์พระยายักษ์.

                                                                      มังกรกัณฐ์

     “อ้าว กำลังทดน้ำอยู่ กลับมาทำไมล่ะน้อง ทนนอนขวางแม่น้ำอีกสักสามสี่วันเท่านั้นพวกลิงก็จะอดน้ำตายกันหมดทั้งกองทัพ”
“พิธีของหม่อมฉันถูกทำลายเสียแล้วท่านพี่”
“หา ว๊อท แฮ็ปเป็น...” รับสั่งถามเป็นภาษาฝรั่ง.
“อ้ายจ๋อหนุมาน พ่ะย่ะค่ะ มันตามลงไปกระทืบหม่อมฉันในน้ำ เลยต้องลุกขึ้นมาสู้รบกับมัน”
“อือ อ้ายนี่ร้ายมาก บาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า น้องรักของพี่”
“ถูกมันกัดหูข้างซ้ายหน่อยหนึ่ง พ่ะย่ะค่ะ กำลังมันมากเหลือเกิน แล้วก็ว่องไวเสียด้วย หม่อมฉันเห็นท่าสู้มันไม่ได้ ก็ต้องล่าถอยเข้าเมือง”
ทศเศียรทรงลูบหลัง ลูบหน้าพระอนุชา.
“น้องรัก พยายามต่อไป พยายามตายเพื่อพี่นะน้อง บอกพี่ซิกุมภกัณฐ์ น้องมีทางที่จะปราบ ราม ลักษณ์ อีกบ้างไหม”
“มีพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะไปเอาหอกโมกขศักดิ์ที่ฝากพระพรหมไว้นานแล้ว หอกเล่มนี้พุ่งถูกใครเข้ามีแผลเพียงเล็กน้อยก็ต้องตาย หม่อมฉันจะไปเอามาทำศึกกับรามลักษณ์”
ทศกรรฐ์ปลาบปลื้มพระทัยอย่างยิ่ง.
“มันต้องอย่างนี้ถึงจะเรียกว่าพี่น้องกัน เราเป็นยักษ์อย่ายอมให้มนุษย์มันดูหมิ่นย่ำเหยียบเราได้ คิดดูสิน้อง เราใหญ่กว่า...มากกว่า...เหนือกว่า...และมีฤทธิ์กว่า ฮ่ะ ฮ่ะ นั่งพักผ่อนเสียสักครู่ซีแล้วค่อยไป ดื่มน้ำอัดลมหรือเบียร์สักขวดไหมล่ะ”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะรีบไป วันนี้วันเสาร์ พระพรหมท่านจะอยู่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ตามธรรมดาวันเสาร์มักจะเสด็จไปประทับแรมที่บ้านเล็กเสมอ”
“เอ๊ะ พระองค์มีนางฟ้าตัวอ่อนๆ เหมือนกันหรือน้อง”
“พ่ะย่ะค่ะ พวกเทวดาเขาหาไปถวาย เจ้าพี่ช่วยหม่อนฉันหน่อยเถอะ”
“ได้สิ จะให้พี่ช่วยอะไรว่ามา”
“ช่วยให้เจ้าหน้าที่โยธาธิการเร่งสร้างโรงพิธีให้หม่อนฉันริมฝั่งแม่น้ำสีทันดร ให้เสร็จในบ่ายวันนี้ พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะทำพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ที่นั่น ถ้าลับหอกได้ครบสี่คม โมกขศักดิ์ของหม่อมฉันก็จะเป็นอาวุธที่ร้ายแรงที่สุด พระรามหรือพระลักษมณ์โดนเข้าทีเดียวดิ้นพล่าดๆ ไม่มีทางแก้เลย”
“ตกลงกุมภกัณฐ์ พี่จะจัดการในเรื่องโรงพิธีให้เสร็จเรียบร้อย รับรองว่าบ่ายสองโมงต้องเสร็จ ถ้าไม่เสร็จพวกวิศวกร และสถาปัตย์จะต้องถูกตัดหัว”
กุมภกัณฐ์ทูลลาพระเชษฐาเหาะขึ้นสู่สวรรค์ทันที พระองค์เป็นยักษ์ชั้นเจ้าฟ้า และทรงมีศีลธรรมคุณธรรม จึงรู้จักคุ้นเคยกับพวกเทวดาและนางฟ้าทั้งหลายเป็นส่วนมาก ใครเห็นพระองค์ก็ทักทายกันเกรียวกราว.
ในที่สุด มหาอุปราชแห่งเมืองลงกาก็เข้าเฝ้าพระมหาพรหม พระผู้เป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์ พระองค์ผู้ทรงสร้างโลกและทุกสิ่งทุกอย่าง และทรงลิขิตชีวิตมนุษย์ ตลอดจนสัตว์ทั้งหลายไว้ด้วย



     พระพรหมทรงเป็นหนุ่มกระชุ่มกระชวยขึ้นกว่าเก่า เมื่อพระองค์ทรงมีพระชายาเล็ก ๆ จอมเทวดาทรงพระสรวลเมื่อทอดพระเนตรเห็นกุมภกัณฐ์.
“ไงวะ หายหน้าหายตาไป สบายดีหรือกุมภกัณฐ์”
“ขอเดชะ ด้วยบารมีของพระองค์ หม่อมฉันสบายดี พ่ะย่ะค่ะ”
“เออ-ดีแล้ว นั่นห่ออะไรอยู่ในถาด”
“วิสกี้ พ่ะย่ะค่ะ แล้วก็เครื่องกระป๋องอีกหลายอย่าง หม่อมฉันถือโอกาสนำมาถวายพระองค์”
“ดีมาก อย่างนี้ถึงจะเรียกว่ากตัญญู มาหาผู้หลักผู้ใหญ่ก็ควรมีอะไรติดมือติดตีนมาฝากบ้าง ข้าน่ะไม่ชอบของกำนัลหรอก แต่มันเป็นการแสดงน้ำใจของเด็กๆ ที่เป็นศิษย์ของข้า เอ็งมีอะไรจะพูดกับข้าก็ว่ามากุมภกัณฐ์ ข้ามีเวลาคุยกับเอ็งเพียงเล็กน้อย จะรีบไปธุระโว้ย”
มหาอุปราชก้มลงกราบแทบเบื้องพระบาท.
“หม่อมฉันมาเฝ้าเพื่อขอรับหอกโมกขศักดิ์ที่ฝากไว้ พ่ะย่ะค่ะ”
พระพรหมพยักพระพักตร์.
“ได้-เอาคืนไปเสียทีก็ดี ทิ้งไว้ที่นี่ ข้าเป็นคนโมโหร้าย พวกเทวดาพูดผิดหู หรือขัดคอข้า ถ้าข้าระงับโทสะได้ก็ดีไป ถ้าระงับไม่ไหว ข้าพุ่งด้วยโมกขศักดิ์ของเจ้า มันก็ตายเท่านั้น บนสวรรค์เดี๋ยวนี้แย่ เทวดาและนางฟ้าไม่ใคร่จะมีระเบียบวินัย ชอบเต้นตะลุง แท็มโบ้ เต้นทวิต แซมบ้า หรือกัวราช่า อะไรเหล่านี้ แทนที่จะรำเทพนม, ปฐม, พรหมสี่หน้า, สอดสร้อยมาลา, กวางเดินดง, หงส์บิน, กินรินเลียบถ้ำ ไม่เอาแล้ว เทวดาหนุ่มๆ ริอ่านมือไวใจเร็ว ชอบลักเล็กขโมยน้อยเสียด้วยซี หงษ์ของข้าเอาไว้ขี่ไปไหน ๆ เผลอหน่อยเดียวถูกนักเลงดีเอาไปเชือดต้มข่ากินเสียแล้ว เห็นจะต้องสังคายนากันเสียที ไล่เทวดาและนางฟ้าเลว ๆ ไปอยู่นรกให้หมด ถ้าข้าไม่เด็ดขาดอีกหน่อยสวรรค์ก็จะกลายเป็นก๊วนไป”
จอมเทวราชเสด็จลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องบรรทม สักครู่ก็ถือหอกโมกขศักดิ์ด้ามยาวประมาณ ๒ เมตรออกมา ใบหอกเป็นรูปสี่เหลี่ยมขาวคมวับ ความจริงคมอยู่แล้วแต่กุมภกัณฐ์ก็ต้องเอาไปลับอีกตามพิธี.
พระพรหมทรุดพระองค์ลงนั่งบนพระแท่นฟองน้ำ แล้วรับสั่งกับมหาอุราชแห่งนครลงกา.
“ข้าสงสัยใจเสียแล้ว เอ็งอาจจะประพฤติผิดศีลธรรม หรือมีจิตใจชั่วช้าก็ได้ หอกของเจ้ามีสนิมขึ้นนิดหน่อยว่ะ ความจริงข้าก็ใช้จาระบีทาไว้เสมอ ไม่น่าจะขึ้นสนิมเลย”
กุมภกัณฐ์ทูลกลบเกลื่อน.
“หม่อมฉันยังยึดมั่นในศีลธรรม และคุณธรรมเสมอ พ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ดีแล้ว มนุษย์หรือยักษ์ก็ตาม ถ้าเป็นคนดีมีศีลธรรมใคร ๆ ก็เคารพนับถือ ดูแต่ปู่ของเจ้าซีวะ กุมภกัณฐ์ ท้าวมาลีวราชได้เป็นเทวดาอาวุโสก็เพราะท่านเป็นยักษ์ที่ดี เจ้าควรจะเจริญรอยตามพระอัยกาของเจ้า อ้า-เจ้าฝากหอกของเจ้าไว้กี่ปี”
“แปดปี พ่ะย่ะค่ะ”
พระพรหมทรงพระสรวล.


     “แปดปีกับหกเดือนโว้ย ข้าคิดค่ารักษาปีละ ๕๐๐ บาท รวมทั้งหมด ๔,๒๕๐ บาท จ่ายให้ข้าเสียให้เรียบร้อย แล้วเอ็งเอา หอกโมกขศักดิ์ของเอ็งไป”
กุมภกัณฐ์ทรงยิ้มแห้ง ๆ.
“ขอเดชะ พระแสงหอกเล่มนี้เป็นของพระองค์ประทานให้หม่อมฉันผู้เป็นศิษย์ ประทานเป็นรางวัลที่หม่อมฉันยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดีงามไม่สร้างบาป ไม่สร้างเวร ไม่เบียดเบียนข่มเหงใครให้เดือดร้อน หม่อมฉันฝากหอกไว้ พระองค์ไม่น่าจะโปรดเกล้าเรียกค่ารักษาเลย พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้ ข้าต้องรักษาผลประโยชน์ของข้า และทำอะไรอะไรตรงไปตรงมาเสมอ นี่ถ้าเป็นของเทวดาองค์อื่นที่เอามาฝากข้า ข้าก็ต้องเรียกค่ารักษาปีละพันบาทรวด เอ็งดูซีวะ กุมภกัณฐ์ ในปราสาทของข้าเต็มไปด้วยข้าวของอันมีค่ามากมายหลายพันชิ้น เทวดาหรือนางฟ้าองค์ไหน เดือดร้อนเรื่องเงินก็เอาของมาจำนำข้าไว้ ข้าก็ประเมินราคา และจ่ายเงินให้ไปเรียกค่ารักษาตามธรรมเนียม ข้าแก่แล้วอยู่บนสวรรค์ปกครองเทวดานางฟ้ามาหลายกัปหลายกัลปแล้ว ข้าทำอะไรกินไม่ได้ก็ต้องหาลำไพ่ด้วยการรับจำนำ หรือขายฝาก หรือใครจะกู้เงินข้าไปใช้ก็ได้”
กุมภกัณฐ์ทรงพระสรวล และนึกในพระทัยว่าท้าวมหาพรหมจอมเทวราชทรงพระอัฐิไม่น้อย มหาอุปราชล้วงกระเป๋าฉลองพระองค์ หยิบซองธนบัตรหนังจระเข้ออกมา ดึงธนบัตรใบละร้อยบาทสามสี่ปึกใหม่เอี่ยมออกมานับได้ ๔,๒๕๐ บาท แล้วยื่นถวายพระพรหมผู้ทรงฤทธิ์.
ขอได้โปรดประทานพระแสงหอกให้หม่อมฉันเถิด”
“เดี๋ยว ให้กูตรวจนับเงินให้เรียบร้อยก่อน เงินมันเป็นของบาดใจโว้ย ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือลูกศิษย์ลูกหาก็เชื่อไม่ได้...หนึ่งพัน...สองพัน...สามพัน...สี่พัน...หนึ่งร้อย...สองร้อย...ยี่สิบ...สี่สิบ...ไง๋ขาดไป๑๐ บาทล่ะอ้ายเวร”
“ก็มันซ้อนอยู่ข้างหลังใบละ ๒๐ พ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ แบ๊งค์มันใหม่ติดกัน ดีแล้ว เป็นอันว่าเอ็งได้จ่ายค่ารักษาให้ข้าถูกต้องแล้วเอาหอกของเอ็งไป ตรวจดูเสียก่อนนะไม่มีอะไรชำรุดเสียหายเลย ข้าให้นางเมขลามันขอยืมไปไล่แทงรามสูรหนเดียวเท่านั้น แต่ไม่ทันได้แทงหรอก อ้ายนั่นเห็นหอกโมกขศักดิ์เข้าก็วิ่งไม่คิดชีวิต”
มหาอุปราชแห่งนครลงกา ก้มลงกราบถวายบังคมท้าวมหาพรหมแล้วรับหอกโมกขศักดิ์มาถือไว้.
“หม่อมฉันทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
“เออ สวัสดีอ้ายหลานชาย แวะเยี่ยมท้าวมาลีวราชปู่ของเอ็งเสียหน่อยซี ป่านนี้เขาคงกำลังเล่นเผอยู่กับเพื่อนเทวดาของเขา”
กุมภกัณฐ์ออกจากวิมานพรหมก็เหาะลงสู่โลกมนุษย์มุ่งตรงลงกาธานี นึกเสียดายเงินค่ารักษาอย่างยิ่ง เพราะเป็นเงินไม่ใช่น้อย เท่ากับเงินเดือนของชายาเล็ก ๆ ถึงสองคน ทรงรำพึงรำพันว่า ไม่ว่าในสวรรค์ในนรก ในบาดาล หรือในโลกมนุษย์ เงินย่อมมีความหมาย และเป็นแก้วสารพัดนึกเสมอ เพราะธนบัตรเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย.

                                                        พระลักษณ์ถูกหอกโมขศักดิ์

     เพราะกุมภกัณฐ์เงียบหายไปไม่ยกกองทัพออกมาอีก ซึ่งพระรามรอฟังข่าวศึกตั้งแต่เช้ายันบ่าย องค์พระสี่กรก็รู้สึกแปลกพระทัย จึงรับสั่งถามพิเภกโหราจารย์ ผู้เปรียบเสมือนแว่นทิพย์ของพระองค์.
“จงบอกข้าซิพิเภก วานนี้ข้าใช้ให้หนุมานไปทำลายพิธีทดน้ำของกุมภกัณฐ์จนสำเร็จ วันนี้กุมภกัณฐ์ควรจะยกทัพใหญ่ออกมารบกับเรา ทำไมถึงเงียบไป”
พระยาพิเภกหยิบกระดานชนวนขึ้นมา ขีดเขียนตัวเลขคล้ายกับไส้เดือนตัวเล็ก ๆ จนเต็มกระดาน แล้วก็ทำปากหมุบหมิบบวกลบคูณหารอยู่สักครู่ก็กราบทูลองค์พระหริรักษ์.
“ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้า ข้าพระองค์ทราบเกล้าแล้ว พ่ะย่ะค่ะ เท่าที่พระเชษฐามหาอุปราชไม่ยกทัพออกมาวันนี้ ก็เพราะพระเชษฐากำลังทำพิธีลับหอกโมกขศักดิ์อยู่ริมฝั่งแม่น้ำศรีทันดรพ่ะย่ะค่ะ”
“หอกโมกขศักดิ์...” พระทรงครุฑทรงอุทาน “มันเป็นอาวุธวิเศษเช่นนั้นหรือพิเภก”
“พ่ะย่ะค่ะ ท้าวมหาพรหมได้ประทานให้พระเชษฐากุมภกัณฐ์มานานแล้ว หอกนี้เมื่อจะใช้ต้องเข้าพิธีร่ายเวทวิทยาเสียก่อน เสกเป่ามนต์พลางลับหอกไป ถ้าลับเสร็จทั้งสี่คมจะเป็นอาวุธที่ร้ายกาจที่สุด ใครถูกหอกเข้าเพียงมีบาดแผลนิดเดียว ก็จะสิ้นชีวิตทันที พ่ะย่ะค่ะ”
พระรามพระพักตร์เสีย หันมาทางพระอนุชา.
“แย่ละโว้ย พระลักษมณ์ ถ้าเธอหรือพี่ออกรบกับมัน เจอหอกโมกขศักดิ์ของมันเข้าพวกลิงก็มีโอกาสถวายพระเพลิงเราเท่านั้น”
พระลักษมณ์ผู้มีพระวรกายเหลืองอ๋อยเหมือนคนสูบเฮโรอีน ประนมหัตถ์ถวายบังคมพระเชษฐา แล้วทูลว่า.
“เสด็จพี่ลองปรึกษาพิเภกดู พ่ะย่ะค่ะ”
“เออ จริงสินะ” แล้วพระองค์ก็หันมารับสั่งถามพิเภก “พอมีทางแก้ไขอะไรได้บ้างไหมพิเภก”
“มีพ่ะย่ะค่ะ ขณะนี้พระเชษฐากุมภกัณฐ์ยังอยู่ในระหว่างพิธีลับหอก ถ้ารับสั่งใช้ให้หนุมานกับองคตไปทำลายพิธีก็คงจะได้ พระเชษฐาของพระองค์เป็นยักษ์ที่สะอาด เกลียดของเน่าเหม็นสกปรกพ่ะย่ะค่ะ ถ้าหากหนุมานแปลงตัวเป็นสุนัขเน่า และองคตแปลงเป็นอีกาจิกหมาเน่าลอยไปใกล้โรงพิธี พระเชษฐาเห็นเข้าก็คงจะทรงพระอ้วกแตกแน่นอน แล้วก็คงรีบเสด็จเข้าพระนครลงกา เมื่อลับหอกไม่เสร็จทั้งสี่ด้าน อานุภาพของหอกโมกขศักดิ์ก็ลดน้อยลงพ่ะย่ะค่ะ แต่ก็มีฤทธิ์เดชกว่าสามง่าม หรือหอกธรรมดามากมายนัก”
พระจักรกฤษณ์ทรงแย้มพระสรวล ทอดพระเนตรหนุมานทหารเอก และองคตซึ่งกำลังนั่งอ้าปากหวออยู่เบื้องหน้าที่ประทับ พร้อมด้วยทหารลิงพวก ๑๘ มงกุฎ.
“ที่ข้ากับพิเภกพูดกัน เจ้าทั้งสองได้ยินแล้วไม่ใช่หรือ”
หนุมานยกเท้าขวาเกาศีรษะพลางทูลพลาง.
“ได้ยินแล้ว พ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้ายังงั้น เจ้าทั้งสองรีบไปทำลายล้างพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ของกุมภกัณฐ์ได้ ถ้าเจ้าทั้งสองทำงานสำเร็จกลับมาข้าจะให้รางวัลแอ็ปเปิลออสเตรเลียคนละ ๒ ลูก”
หนุมานกับองคตต่างกราบถวายบังคมพระจักรี แล้วคลานถอยไปจากสุวรรณพลับพลา

                                                                      กุมภกัณฐ์

     (บทพากย์) ลูกพระพายและหลานอมรินทร์ เหาะมายังถิ่นศรีทันดร สองวานรก็พากันลงสู่ริมฝั่ง มองเห็นโรงพิธีตั้งอยู่เบื้องหน้า หนุมานก็ยอกรร่ายเวทวิทยา จำแลงแปลงเป็นหมาตายมาหลายวัน ขึ้นอึ้ดทึ่ดหนอนและแมลงวันเกาะกิน ฝ่ายองคตพานรินทร์ไม่รอช้า ประนมหัตถ์ว่าคาถาพึมพำ แล้วหลานพระอินทร์ก็กลายเป็นกาดำเกาะหมาเน่า ส่งกลิ่นเหม็นไม่บันเบาน่าคลื่นเหียน กระแสชลพาวนเวียนไปติดอยู่หน้าพลับพลาใหญ่และเหม็นคลุ้ง อุปราชแลเห็นก็รากพุ่งผุดลุกจากแท่น คว้าหอกโมกขศักดิ์วิ่งตูดแป้นลงจากพลับพลา ไคลคลากลับคืนพระนคร เมื่อนั้น...เชิด
ถึงแม้ถูกทหารพระนารายณ์มาทำลายพิธี ถึงแม้ว่าหอกโมกขศักดิ์อันเรืองฤทธิ์ลับได้เพียง ๓ ด้าน เหลืออยู่อีกด้านเดียวกุมภกัณฐ์ก็พอพระทัยแล้ว พระองค์ทรงกริ้วโกรธรามลักษณ์อย่างยิ่ง ที่ใช้ทหารปลอมเป็นหมาเน่า และอีกาลอยมาหน้าพลับพลาพิธี ทำให้พระองค์คลื่นไส้อาเจียนอยู่หลายชั่วโมง ไม่ยอมเสวยพระกระยาหาร เสวยแต่เหล้าอย่างเดียว ทรงนึกถึงหมาเน่าทีไรก็ทำคอขย้อนอยากจะอ้วก.
ตอนเย็นวันต่อมา.
ที่ค่ายของพระราม พระลักษมณ์ ขณะที่สองพระองค์เสด็จเยี่ยมเยือนทุกข์สุขของพวกอ้ายจ๋อทั้งหลาย เสียงโห่ร้องของไพร่พลยักษ์ก็ลอยมาตามลม เท่าที่ฟังจากสียงโห่ทำให้พระรามรู้สึกว่ากองทัพยักษ์ที่ยกออกมานี้มีไพร่พลมิใช่น้อย และกุมภกัณฐ์ มหาอุปราชคงเป็นจอมทัพคุมมาแน่นอน แต่เพื่อให้แน่พระทัยจึงรับสั่งถามพิเภกโหราจารย์.
“ทัพกุมภกัณฐ์พี่ชายของเจ้าใช่ไหม พิเภก”
“ใช่ พ่ะย่ะค่ะ”
“กุมภกัณฐ์มีหอกโมกขศักดิ์มาหรือเปล่า”
“มี พ่ะย่ะค่ะ”
พระจักรีสะดุ้งโหยง พระพักตร์ซีดเผือดเพราะกลัวตาย พระองค์ทรงฝืนยิ้มให้พระอนุชา และรับสั่งว่า.
“เป็นโอกาสของเธอแล้วพระลักษณ์ ยกทัพออกไปรบกับกุมภกัณฐ์เถิด พี่เชื่อว่าเธอคงจะฆ่ามันได้โดยไม่ยากลำบากอะไรนัก เพราะฝีมือฉมังธนูของเธอก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพี่”
พระลักษณ์ก็ทรงรู้สึกเช่นเดียวกับพระราม คือกลัวตาย.
“ขอเดชะ หม่อมฉันคิดว่า เสด็จพี่ยกทัพออกไปเองดีกว่า กุมภกัณฐ์เป็นมหาอุปราชควรจะตายด้วยน้ำมือของเสด็จพี่”
พระรามชักฉิว.
“ถูกละ มันเป็นอุปราช และเป็นน้องเจ้านครลงกา เธอก็เป็นอุปราชอยุธยา และเป็นน้องของพี่ย่อมมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน กุมภกัณฐ์มันต่ำชั้นกว่าพี่ จะให้พี่ออกไปรบกับมันได้อย่างไร เตรียมตัวยกทัพออกไปเถอะ”
พระลักษณ์ทรงยิ้มแห้งแล้ง.
“เอาก็เอา” รับสั่งเสียงอ่อยน่าสงสาร.
ในชั่วโมงนั้นเอง ทัพลิงก็เคลื่อนพลออกจากค่ายหลวง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องเสียงฆ้องเสียงกลอง นักรบลิงล้วนแต่คึกคักเข้มแข็ง ส่วนมากเปลือยกายล่อนจ้อนตามประสาลิง เว้นแต่ตัวนายที่เป็น ๑๘ มงกุฎเท่านั้นที่

                                                                            พระราม


 แต่งตัวสวยงาม พระลักษณ์ประทับอยู่บนรถศึกอีกคันหนึ่งเทียมม้า ๒ ตัว พวกลิงได้ช่วยกันสร้างรถทรงคันนี้ด้วยฝีมือหยาบๆ สารถีเป็นนายทหารลิงชั้นนายหมู่ แต่ไม่ใช่พวกอัศวินหรือ ๑๘ มงกุฎ พระลักษมณ์นั่งปอดลอยอยู่บนรถศึกตลอดเวลา ยิ่งเข้าเขตสนามรบแลเห็นกองทัพยักษ์ตั้งขบวนอยู่ข้างหน้า พระอนุชาก็อกสั่นขวัญแขวน พลยักษ์มากมายเกลื่อนกลาดไปทั่วท้องทุ่ง แต่พลลิงมีเพียงหมื่นตัวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามกองหน้าของพระลักษมณ์ ล้วนแต่เป็นทหารลิงชั้นดีที่คัดเลือกแล้ว คือลิงอันธพาล และลิงจิ๊กโก๋ทั้งหลาย กล้าหาญเข้มแข็งดุร้าย ไว้ผมเป็นกระเซิง และดัดผมเป็นลอน ส่วนมากไม่มีอาวุธ เพราะเชื่อฝีมือ และความว่องไวของตัวเองที่จะแย่งอาวุธของยักษ์มาใช้ได้ เมื่อเกิดสู้รบกันแบบตะลุมบอน.
ในที่สุดทัพลิงก็หยุดเผชิญหน้ากับทัพยักษ์ในระยะห่างพอสมควร พระยากุมภกัณฐ์สั่งให้สารถีขับรถเคลื่อนออกมาหาพระลักษมณ์ทันที แล้วรับสั่งกับสารถี.
“เฮ้ย พระรามตัวมันเขียวนี่หว่า อ้ายนั่นมันตัวเหลืองอ๋อย”
“พระลักษมณ์ พ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่พระราม”
“งั้นเรอะ ก๊อหวานกูน่ะซี มึงคอยดู กูจะพุ่งด้วยหอกโมกขศักดิ์ จั๊กเดียวหล่นจากรถเลย แต่จะต้องมีการเจรจากันนิดหน่อยตามธรรมเนียมก่อน ตัวโตกว่าลูกหมานิดเดียวจะมาสู้อะไรกู เมื่อปีก่อนพระลักษมณ์ก็ถูกอินทรชิตหลานกูเล่นงานด้วยศรนาคบาสมาทีหนึ่งแล้ว”
พระลักษมณ์ฝืนพระทัยรับสั่งให้สารถีลิงขับรถเข้ามาหากุมภกัณฐ์ แล้วพระองค์ก็ลุกขึ้นยืน ทรงหยิบลูกธนูในกระบอกที่สะพายอยู่ข้างหลังออกมาหนึ่งดอก เตรียมพร้อมที่จะยิงกุมภกัณฐ์.
รถศึกทั้งสองคันอยู่ห่างจากกันราว ๕ เมตร กุมภกัณฐ์ยืนเด่นเป็นสง่า พระหัตถ์ขวาถือพระแสงหอกโมกขศักดิ์ พระพักตร์ที่มองดูพระลักษมณ์นั้นเต็มไปด้วยความมั่นพระทัย ที่จะได้ชัยชนะพระอนุชาของพระจักรี.
อุปราชมหานครลงกาทรงพระสรวลอย่างยิ้มเยาะ.
“ท่านน่ะหรือคือพระลักษมณ์”
“ถูกแล้ว เราคือพระลักษมณ์น้องพระราม”
กุมภกัณฐ์สั่นพระพักตร์.
“ท่านไม่น่าเป็นนักรบเลย ผอมกะหร่องจนเห็นซี่โครงพะเยิบพะยาบ ผิวเนื้อก็เหลืองผิดปกติ สงสัยว่าท่านคงสูบเฮโรอีนหรือม่ายก็สูบฝิ่นเป็นแน่ จงถอยทัพกลับไปบอกให้พระรามออกมาสู้รบกับเราดีกว่า”
พระลักษมณ์กระทืบบาทแล้วตะโกนสุดเสียง แต่เสียงของพระองค์แหบเครือ.
“เหม่...กุมภกัณฐ์ ท่านก็ชายเราก็ชายไม่น่าจะดูหมิ่นเชิงชายกันถึงเพียงนี้” รับสั่งจบก็ร้องโอยแล้วทรงไอแค็กๆ “มา...มารบกัน เราจะฆ่าท่านด้วยศรของเรา”.
กุมภกัณฐ์หัวเราะงอหาย.
“ยังไม่ทันรบเลย ส่งเสียงดังหน่อยหอบซี่โครงบานแล้ว ท่านน่ะเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ไง๋ริสูบเฮโรอีน มันเป็นยาเสพย์ติดที่จะทำลายชีวิตท่าน ทำลายมันสมอง และจิตใจของท่าน ตลอดจนร่างกายของท่าน คนที่สูบเฮโรอีนก็คือคนที่ฆ่าตัวเอง อย่างช้าอีกสามปีท่านก็ม่องเท่ง”

                                                                            สีดา

     พระลักษมณ์โกรธมากแข็งใจลงจากรถศึก ร้องตะดอกบอกพลลิงโจมตียักษ์กุมภกัณฐ์ตะโกนบอกพลยักษ์ให้ประจัญบานกับพวกลิงทันที ศึกตะลุมบอนระหว่างลิงกับยักษ์เริ่มต้นแล้ว ส่งพระลักษมณ์กับกุมภกัณฐ์ก็เข้าสู้รบกัน.
เมื่อได้โอกาสมหาอุปราชก็พุ่งหอกโมกขศักดิ์ ถูกพระอุระของพระลักษมณ์อย่างถนัดเสียงดังฉึก พระลักษมณ์เซแซ่ดๆ ถอยหลังออกไปหลายก้าว แล้วล้มลงสิ้นสติสมประดี พวกสิบแปดมงกุฎหลายตัวได้ช่วยกันคุ้มกันห้อมล้อมพระลักษมณ์ไว้ ส่วนหนุมาน, สุครีพ, องคต, ชมพูพาน, นิลนนท์, นิลเอก, นิลขันธ์, ปิงคลา แลเห็นพระลักษมณ์ถูกหอกก็เดือดดาลช่วยกันโจมตีกองทัพลงกา
กุมภกัณฐ์ได้รับชัยชนะแล้วก็สั่งกองทัพล่าถอยใช้วิธีสู้พลางหนีพลาง ในที่สุดสุครีพซึ่งป็นห่วงพระลักษมณ์ ก็สั่งให้ทหารแตรเป่าแตรสัญญานเรียกระดมพลลิงทั้งหมด การสู้รบจึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้.
ที่สุวรรณพลับพลาหรือที่ค่ายใหญ่ของพวกลิง.
พระรามกำลังนั่งเล่นหมากรุกกับพิเภกอย่างสนุกสนาน ซึ่งพิเภกแกล้งเดินให้กินเอาอกเอาใจเจ้านาย
พระรามเข้าใจว่าพระองค์มีชั้นเชิงหมากรุกเหนือกว่าพิเภก ก็ทรงเดินอย่างสนุกสนานอย่างยิ่ง กินเอา ๆ กินม้ากินโคนและขุน แล้วพิเภกก็ยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข.
พอเริ่มตั้งหมากเพื่อเริ่มกระดานใหม่ พระจักรีก็ทอดพระเนตรเห็นนิลนนท์ทหารเอกหนึ่งในสิบแปดตัวของพระองค์เดินร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมาบนพลับพลา พระรามแปลกพระทัยอย่างยิ่ง ทรงเป็นห่วงพระอนุชาของพระองค์ทันที.
“นิลนนท์” รับสั่งขึ้นดังๆ
ขุนกระบี่ทรุดตัวลงนั่งกราบถวายบังคมแล้วทูลพลางร้องไห้พลาง.
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า ท่านแม่ทัพได้ใช้ให้ข้าพระองค์มากราบทูลว่า พระอนุชาถูกหอกโมกขศักดิ์ของกุมภกัณฐ์สิ้นพระชนม์ในที่รบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พระอวตารเย็นวาบไปทั่วพระองค์.
“พระลักษมณ์ พระลักษมณ์น้องข้าตายเสียแล้ว โธ่ไม่น่าจะแพ้ยักษ์เลย” แล้วพระองค์ก็กันแสง.
พิเภกซักถามรายละเอียดนิลนนท์จากการสู้รบในสมรภูมิ หรือแนวรบด้านตะวันตก แล้วเขาก็จับยามดู ในที่สุดโหราจารย์ก็กราบทูลพระนารายณ์.
“ขอเดชะ พระอนุชายังไม่สิ้นพระชนม์หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
พระรามหยุดกันแสงทันที.
“หา เจ้าว่ายังไงนะพิเภก น้องข้ายังไม่ตาย”
“พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่สลบไปเท่านั้น รีบเสด็จไปสนามรบเถอะพ่ะย่ะค่ะ ข้าพระองค์จะหาทางแก้ไขให้”
พระรามพาพิเภกและนิลนนท์ออกจากสุวรรณพลับพลาโดยด่วน วิ่งบ้างเดินบ้างมุ่งตรงไปยังสนามรบ สักครู่ใหญ่ๆ ก็มาถึง พวกทหารลิงทั้งกองทัพกำลังร้องไห้ฟูมฟายไปตามกัน เมื่อพระรามเสด็จเข้ามายังที่พระลักษมณ์นอนสิ้นสติอยู่บนพื้นดิน พวก ๑๘ มงกุฎก็กราบถวายบังคมโดยทั่วหน้ากัน พระจักรีทรุดองค์ลงนั่งประคองพระอนุชาแล้วรำพัน.

                                                                           มณโฑ


     “เจ้าลักษมณ์เอ๋ย เพราะพี่กลัวตายใช้ให้น้องออกมารบ น้องก็เลยรับเคราะห์ถูกหอกโมกขศักดิ์แทนพี่ โธ่-ปักแน่นเสียบอกดึงเท่าไรก็ไม่เขยื้อน” แล้วพระองค์ก็หันมารับสั่งกับโหราจารย์ “ช่วยน้องข้าซีพิเภก ทำยังไงดีล่ะ”
พิเภกนิ่งคิดอยู่สักครู่.
“ขอเดชะ ขณะนี้ก็พลบค่ำเข้าไต้เข้าไฟแล้วพ่ะย่ะค่ะ เราจะช่วยพระอนุชาได้ก็ต้องก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้ ถ้าหากพระอาทิตย์ขึ้นยังแก้ไขให้พระอนุชาฟื้นไม่ได้พระอนุชาก็ต้องสิ้นพระชนม์”
“ก็ช่วยแนะนำข้าต่อไปซี ทำอย่างไรถึงจะทำให้หอกหลุดออกมาได้ ข้าคิดว่าสุวรรณหงส์ถูกหอกก็คงจะไม่หนักหนาถึงอย่างนี้”
“ขอเดชะ หอกจะหลุดออกมาได้ก็ต้องใช้สมุนไพรบนยอดเขาพระสุเมรุสองชนิด มาตำแล้วพอกที่แผล สมุนไพรนั้นก็คือสังกรณีและตรีชวาพ่ะย่ะค่ะ เป็นพฤกษชาติวิเศษย้ายที่ของมันได้เอง ต้องใช้ให้หนุมานไปเก็บด้วยวิธีเรียกหาต้นสังกรณีตรีชวาแล้วพยายามค้นหาให้พบแต่หนุมานจะต้องเสียเวลามาก อาจจะเก็บยาได้ในตอนเช้า ข้าพระองค์คิดด้วยเกล้าว่า หนุมานจะต้องไปเฝ้าพระอาทิตย์ทูลขอร้องให้พระองค์อย่าพึ่งชักรถจนกว่า หอกโมกขศักดิ์จะหลุดออกจากพระอุระของพระอนุชา”
พระรามรับสั่งกับลูกพระพายทันที.
“เจ้าได้ยินแล้วไม่ใช่หรือที่พิเภกพูดกับข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ดีแล้ว จงไปค้นหาสังกรณีตรีชวาที่เขาพระสุเมรุในคืนนี้ ถ้าหาไม่ได้พอรุ่งสว่างให้เจ้ารีบไปเฝ้าพระอาทิตย์ทูลขอร้องให้พระองค์หยุดรถไว้ก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ไปเถอะหนุมาน กองทัพของเราจะหยุดยั้งอยู่ที่นี่ และข้าจะรอคอยเจ้าด้วยความหวังน้องของข้าจะรอดตายหรือไม่ก็อยู่ที่ความสามารถของเจ้าเท่านั้น”
คำแหงหนุมานเหาะขึ้นจากสนามรบบ่ายโฉมหน้าตรงไปยังเขาพระสุเมรุ ซึ่งมองแลเห็นอยู่สุดขอบฟ้าเบื้องหน้าโน้น ยอดเอเวอเรสต์สูง ๒๙,๑๔๑ ฟุต เสียดแทงทะลุกลุ่มเมฆขึ้นไปมองเห็นสูงเด่น เขาพระสุเมรุก็คือหิมาลัยนั่นเอง.
ตลอดคืนวันนั้น หนุมานได้ใช้ความพยายามค้นหายาวิเศษชื่อสังกรณีตรีชวา จนสุดความสามารถ เมื่อเขาร้องตะโกนเรียกต้นยาวิเศษก็ขานรับ แต่พอเข้าไปหาตามเสียงที่ดังมาก็ไม่พบ.
“สังกรณีตรีชวาโว้ย อยู่ไหนโว้ย”
“อยู่นี่โว้ย” ต้นยาขานรับเสียงลั่นขุนเขา “มานี่ซีโว้ยอ้ายจ๋อ”
มีการเรียกและการขานรับอยู่อย่างนี้จนรุ่งสว่าง หนุมานนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าพระอาทิตย์ส่องแสงถูกพระลักษมณ์เมื่อใดพระอนุชาก็จะสิ้นพระชนม์เมื่อนั้น คิดแล้วลูกพระพายก็เหาะจากเขาพระสุเมรุไปหาพระอาทิตย์ และพยายามเหาะเร็วที่สุดถึงชั่วโมงละ ๗๐๐ ไมล์ขนาดความเร็วของเครื่องบินไอพ่นประจัญบาน  ๖.๓๐ น. ตรง

                                                                          พระลักษณ์


     พระอาทิตย์ทรงขับรถออกจากหน้าวิมานของพระองค์แล้ว เทียมด้วยเทพสินธพสีดำมะเมื่อมถึง ๔ ตัว องค์สุริยะเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์อย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ หลายกัปหลายกัลปแล้ว พระพักตร์ของพระองค์มีแสงอันร้อนแรงมากมายมายังโลกมนุษย์ ช่วยให้ส่ำสัตว์และมนุษย์ทั้งหลายมีชีวิตอยู่ได้ นอกจากนี้แสงของพระองค์ยังมีคุณประโยชน์มากมายเหลือที่จะกล่าว เป็นต้นว่าเผาน้ำให้กลายเป็นไอ และทำให้เกิดเป็นฝนตกลงมา พืชและสิ่งที่มีชีวิตต้องอาศัยพระองค์ทั้งนั้น.
พระองค์ขับรถเหาะมาเรื่อย ๆ เริ่มต้นทางทิศตะวันออกโคจรรอบโลกมนุษย์ เมื่อทรงรู้สึกว่าท้ายรถทรงของพระองค์สั่นไหวเหมือนมีอะไรถ่วง พระองค์ก็หันพระพักตร์ไปทอดพระเนตรอย่างแปลกพระทัย.
คำแหงหนุมานเกาะอยู่ที่ท้ายรถ แต่แล้วแสงอันร้อนแรงจากพระพักตร์เทพเจ้าสุริยะที่เผาไหม้ร่างกายของหนุมานเป็นผุยผงไปในพริบตาเดียว คงมีแต่ขนเพชรและเขี้ยวแก้วลอยอยู่เท่านั้น.
พระอาทิตย์ทรงพระสรวลลั่นฟ้า.
“ชะช้า นึกว่าใครเสียอีก เจ้าหรอกหรือหนุมาน นึกขลังยังไงขึ้นมาวะอ้ายหลานชายถึงได้มายึดรถข้า ปล่อยโว้ยม้ามันตื่น”
“สวัสดีพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา พระรามใช้ให้หม่อมฉันมาทูลขอร้องเสด็จอาให้หยุดชักรถไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ พระลักษมณ์ถูกหอกโมกขศักดิ์กุมภกัณฐ์นอนสลบอยู่ที่สนามรบ หม่อมฉันจะต้องเก็บยาสังกรณีตรีชวาไปให้พิเภกบดมาแผลที่หอก หอกถึงจะหลุดออกมาได้”
“แล้วกัน” เทพสุริยะทรงอุทาน “รบยังไงวะถึงได้เสียทียักษ์ได้ พระลักษมณ์ยังสูบเฮโรอีนอยู่หรืออ้ายหลานชาย”
“เลิกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทรงเสวยใบกระท่อมแทน”
“นั่นน่ะซี ถึงได้ผอมกระหร่องเอวบางร่างน้อยมองดูคล้าย ๆ กะเทย อาหยุดรถไม่ได้หรอกหนุมาน เพราะอาจะต้องทำงานส่องโลกตามเวลา”
“โธ่-เสด็จอาช่วยหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
พระอาทิตย์หันพระพักตร์ไปทางหน้ารถ หนุมานเป็นโอรสพระพายใครจะฆ่าจะฟันหรือถูกอะไรก็ไม่ตาย เมื่อพระสุริยะหันพระพักตร์ไป เขาก็กลับคืนร่างเป็นพระยาลิงเผือกโหนรถทรงพระอาทิตย์ตามเดิม.
“อาจะช่วยก็ได้โว้ยหนุมาน แต่พระรามก็ต้องช่วยอาบ้าง”
หนุมานลอบค้อนพระอาทิตย์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของเขา คือเป็นผู้น้องของพระพายผู้เป็นบิดาของหนุมานนั่นเอง.
“เสด็จอาจะเอาสักเท่าใด”
“สองหมื่นโว้ย”
“ตกลงพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะไปกราบทูลพระรามตามนี้ เงินสองหมื่นเพื่อช่วยชีวิตพระอนุชาพระองค์คงยินดีจ่ายให้เสด็จอาโดยดี แล้วมะรืนนี้หม่อมฉันจะนำมาถวาย”
“พรุ่งนี้ซีโว้ยไม่ใช่มะรืน”
หนุมานจุ๊ปาก

                                                     สุครีพ


     “เสด็จอาก็ พรุ่งนี้มันวันอาทิตย์แบ็งค์ปิด มะรืนนี้ก่อนเที่ยงหม่อมฉันจะเอามาถวายเสด็จอาขับรถไปถึงไหนหม่อมฉันก็เหาะตามทัน”
“อือ ดีมาก จ่ายเงินสดนะ เช็คอาไม่เอา ไม่ใช่ว่ากลัวเช็คเด้ง หรือเช็คสปริงหรอกแต่กลัวถูกพระพรหมท่านสอบสวนทีหลัง จ่ายเช็คมันเป็นหลักฐานมัดตัวอา เงินสดดีกว่า เจ้ารีบไปเก็บใบยาเถอะอ้ายหลานชาย อาจะชักรถเข้ากลีบเมฆและขับช้า ๆ ถ่วงเวลาให้ สมัยนี้มันต้องพูดกันด้วยเงินโว้ย”
คำแหงหนุมานผละจากรถทรงของพระสุริยะเจ้า เหาะตรงไปยังขุนเขาพระสุเมรุอีกครั้ง ขณะนี้แสงเงินแสงทองส่องฟ้าแล้ว มองแลเห็นสิ่งต่าง ๆ บนพื้นปถพีอย่างเลือนราง วายุบุตรเหาะลงที่เชิงเขาพระสุเมรุแล้วจำแลงแปลงตัวใหญ่โตเกือบเท่าขุนเขาหางยาวหลายโยชน์ ยืนหยักรั้งตั้งท่าร้องตะโกนเรียกต้นยาวิเศษ.
“สังกรณีตรีชวาโว้ย พระรามให้ข้ามาเชิญเอ็งไปรักษาพระลักษมณ์อยู่ที่ไหนขานรับหน่อยซี”
เสียงยาวิเศษขานรับอยู่บนยอดเขา.
“หยูฮู หยูฮู...ขึ้นมาซีอ้ายจ๋อ”
หนุมานร้องเรียกอีก พอได้ยินเสียงขานรับก็ใช้หางตวัดรัดขึ้นไป และด้วยความสามารถพิเศษของลิงชั้นดีที่เป็นลูกพระพาย หนุมานก็เอาหางทึ้งต้นยาสังกรณีตรีชวามาได้อย่างละต้น.
“ปู้โธ่ กูนึกว่าต้นไม้วิเศษ พิเภกเรียกชื่อเสียโก้ทีเดียว สังกรณีตรีชวา ที่แท้มันก็ต้นกระท่อมและต้นกัญชานี่เอง”
หนุมานรีบนำพฤกษชาติวิเศษทั้งสองต้นเหาะไปยังสมรภูมิทันที.
อีกครั้งหนึ่งที่พระลักษมณ์รอดชีวิตได้เพราะพิเภก และความสามารถของวายุบุตรทหารเสือของพระรามนั่นเอง.
พิเภกได้บดใบสังกรณีตรีชวาจนละเอียดผสมกับน้ำนิดหน่อย แล้วพอกแผลที่หน้าอกพระลักษมณ์รอบ ๆใบหอก สักครู่เมื่อพิเภกจับด้ามหอกดึงเบา ๆ หอกโมกขศักดิ์ก็หลุดออกมาจากพระอุระของพระอนุชา พระลักษมณ์ฟื้นคืนสติทันที พลลิงต่างกระโดดโลดเต้นดีอกดีใจโห่ร้องกันเกรียวกราวทั่วทั้งกองทัพ ส่วนพวกยักษ์กองคอยเหตุสามสี่คนที่แอบซ่อนตัวสังเกตการณ์อยู่ที่ชายป่า แลเห็นพระลักษมณ์รอดตายฟื้นขึ้นมาได้ ก็แปลกใจไปตามกัน.
ยักษ์นายหมู่กล่าวกับลูกน้องของมันว่า.
“สงสัยเสียแล้วโว้ย พระพรหมคงอมหอกโมกขศักดิ์ของเจ้านายเราเป็นแน่ หอกเล่มนี้อาจเป็นหอกปลอมก็ได้ถึงไม่มีฤทธิ์ ยังงี้ใช้สามง่ามดีกว่า ไปเถอะเว้ยพวกเรา รีบไปทูลให้มหาอุปราชทรงทราบ.
ชาตาชีวิตของขุนยักษ์กุมภกัณฐ์ที่ถึงกำหนดอายุขัยตามพรหมลิขิต ทำให้อุปราชนครลงกาเห็นผิดเป็นชอบเข้าข้างพระเชษฐามีใจเจ็บร้อนแทนกัน และอาฆาตพยาบามพระรามพระลักษมณ์
สองพี่น้องวันตายของกุมภกัณฐ์มาถึงแล้ว.
พระองค์ยกทัพใหญ่เคลื่อนพลออกจากลงกาในตอนสาย ตรงมายังสมรภูมิด้านตะวันตกซึ่งตามเวลาที่กล่าวนี้อีแร้งนับร้อยกำลังลงกินซากศพยักษ์และลิงในสนามรบ ทัพยักษ์ในวันนี้รู้สึกเงียบเหงาไป มีลางสังหรณ์หลายอย่าง ราชสีห์ ๗ ตัวที่เทียมราชรถของกุมภกัณฐ์ก็เห่าเป็นเสียงสุนัข แทนที่จะคำรามแบบสิงโตหรือราชสีห์ ลมสงัด

                                                          หนุมาน

     ธงทิวไม่สะบัดเลย ช้างศึกและม้าศึกหลายตัวน้ำตาไหลพราก เสียงโห่ร้องของไพร่พลเหมือนเสียงร้องไห้ตอนที่นำศพลงมาจากเรือน นายหมวดนายหมู่และนายกองยักษ์หง็อยเหงาไปตามกัน.
ลางสังหรณ์เหล่านี้ทำให้มหาอุปราชลงกาเสียขวัญ แต่เมื่อทรงคิดได้ว่าพระองค์เป็นยักษ์หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ พระองค์ก็มีทิฐิมานะตัดสินพระทัยสู้ตาย.
กุมภกัณฐ์สั่งหยุดพักกลางทุ่งกว้าง แล้วสั่งไพร่พลทั้งหลายให้โห่ร้องขึ้น ต่อจากนั้นทหารยักษ์ก็พักผ่อนสนทนากันอยู่เหมือนซังกะตายพูดคุยกัน มหาอุปราชทรงลูบคลำตะบองคู่พระหัตถ์ เตรียมตีคอต่อพระรามและพระลักษมณ์ แล้วพระองค์ก็รับสั่งถามสารถี.
“เฮ้ย อ้ายยักษ์ พระรามน่ะมันยิงธนูแม่นนักหรือ”
“ขอเดชะ ข้าพระองค์ไม่เคยเห็นพ่ะย่ะค่ะ เคยได้ยินแต่เขาเล่าลือกัน”
“เออ เขาว่ายังไง”
“แม่นมากพ่ะย่ะค่ะ แมลงหวี่ตัวเล็กๆบินอยู่ในอากาศยังยิงเสียบทะลุอก”
“ถึงยังงั้นเชียวเรอะ แย่ละโว้ยกู ลืมใส่เสื้อเกราะมาเสียด้วย วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไรช่างขี้หลงขี้ลืมเสียจริงๆ กางเกงในก็ลืมนุ่ง รองเท้าก็ใส่ผิดข้างมึงดูซี แดงข้างนึงดำข้างนึง ก่อนออกจากเมืองก็ไม่ได้ทูลลาเสด็จพี่ วันนี้กูถ้าจะม่องเท่งแน่”
เวลาผ่านไปทีละน้อย พอใกล้จะถึงเที่ยงวันกองทัพลิงก็ปรากฏขึ้น เกลื่อนกลาดไปทั่วยุทธบริเวณ เสียงโห่ร้อง เสียงฆ้องกลอง เสียงเถิดเทิงหรือกลองยาวดังกึกก้อง พวกลิงต่อตัวกันเป็นสามสี่ตัว แล้วตัวบนก็แสดงปาหี่หกคะเมน ตีลังกาแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างสนุกสนาน พวก ๑๘ มงกุฎจับแรดหรือช้างป่ามาขี่เล่น ทหารลิงสัพยอกหยอกล้อกันมาตลอดทาง.
สองพระองค์รามลักษมณ์ประทับอยู่บนรถศึกคันเดียวกัน สุครีพ, หนุมาน, และพิเภกเดินตามรถศึกอย่างใกล้ชิด เมื่อกองทัพวานรอยู่ไม่สุขเคลื่อนเข้ามาใกล้จะถึงกองทัพยักษ์ พระยาสุครีพก็สั่งพลแตรเดี่ยวให้เป่าแตรหยุดเคลื่อนขบวน.
ทัพทั้งสองประจันหน้ากันแล้ว พวกลิงแหกหูแหกตาแยกเขี้ยวยิงฟันหลอกยักษ์ ส่วนทหารยักษ์ยืนดูเฉยๆ จะแหกหูแหกตาหลอกบ้างก็ขาดความชำนาญ พระรามสั่งให้สารถีขับรถศึกค่อย ๆ เคลื่อนเข้าไป ในเวลาเดียวกันนั้นเองกุมภกัณฐ์ก็ตะโกนสั่งการทหารยักษ์.
“ตะลุมบอนโว้ยพวกเรา ฆ่าอ้ายจ๋อให้หมด”
สุครีพร้องตะโกนขึ้นบ้าง.
ลิงกับยักษ์รบกันแล้ว พระรามถือศรกระโจนลงจากรถศึกอย่างคล่องแคล่วว่องไวทรงกวักพระหัตถ์เรียกอุปราชลงกา.
“ลงมากุมภกัณฐ์ ลงมารบกับข้าตามที่ท่านปรารถนา”
กุมภกัณฐ์ลังเลใจรับสั่งถามสารถี.
“เฮ้-พระรามเป็นพระนารายณ์จริง ๆ กระมังโว้ย”
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ มนุษย์เดินดินกินข้าวแฝ่ธรรมดานี่เอง”
                                                       กุมภกัณฐ์




      “แต่ตัวมันเขียวนี่หว่า”
“เอาสีทาได้พ่ะย่ะค่ะ ทาหลอกพวกลิงให้หลงเชื่อว่าเป็นพระนารายณ์ พระองค์เป็นยักษ์ปริญญาโทไม่น่าจะสงสัยเลย สู้เขาพ่ะย่ะค่ะ”
กุมภกัณฐ์กระโจนลงจากรถศึก พระรามปราดเข้าตีด้วยคันศรทันที อุปราชลงกายกตะบองขึ้นรับ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด พระรามหลบตะบองได้อย่างหวุดหวิด ใช้กลยุทธมวยไทยเตะถูกหน้ากุมภกัณฐ์ได้ทีหนึ่งเสียงดังฉาด ขุนยักษ์เซถลาออกไป.
ในเวลาเดียวกันนี้เองพวกลิง ๑๘ มงกุฎ ก็บุกตะลุยเข่นฆ่าพวกยักษ์ล้มตายเกลื่อนกลาด
ยักษ์ต่อยลิงเตะตรงกระจับ
ดังพับอสุราทำหน้าเขียว
ลิงฟัดกัดยักษ์ตัวเป็นเกลียว
ฝังเขี้ยวลงที่คอล่อยักษ์ยับ
ชุลมุนฝุ่นฟุ้งสนามรบ
ยักษ์หลบลิงหลอกเจอศอกกลับ
ยักษ์หนีลิงไล่ไปลิบลับ
ยักษ์ถอยทัพลิงรุกบุกตะลุย
พระรามกับกุมภกัณฐ์ยังสู้กันอย่างทรหด ผลัดกันรุกผลัดกันรับตลอดเวลา จนกระทั่งครั้งหนึ่งพระรามหวดกุมภกัณฐ์ด้วยคันศรเต็มเหนี่ยว จอมอสูรซวนเซถอยหลังออกไปหลายก้าวถึงกับล้มลงก้นกระแทกพื้น แต่แล้วก็รีบลุกขึ้นมา ทันใดนั้นเอง พระจักรีก็ทรงใช้ความว่องไวแผลงศรพรหมาสตร์ อันเป็นลูกศรสังหารถูกหน้าอกกุมภกัณฐ์ทะลุออกทางเบื้องหลังอย่างแรง.
อุราชแห่งพระนครลงกาล้มลงอีก ทัพลิงไล่โจมตีทัพยักษ์แตกพ่ายกระจัดกระจายในตอนนี้เอง กุมภกัณฐ์ทรงได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวด้วยพิษศรอย่างยิ่ง พระองค์ทรงทอดพระเนตรองค์พระรามและหายใจถี่เร็ว แล้วกุมภกัณฐ์ก็แลเห็นพระรามกลายเป็นองค์นารายณ์ มีสี่กรทรงตรี, คทา, จักร, สังข์
มหาอุปราชคลานเข้ามากราบถวายบังคม.
“ขอเดชะ ข้าพระองค์พึ่งทราบเกล้าเดี๋ยวนี้เองว่าพระองค์คือพระนารายณ์อวตารลงมา ขอได้โปรดอภัยให้ข้าพระองค์เถิด”
พระจักรีกลายร่างเป็นพระรามตามเดิม.
“ข้าอภัยให้เจ้าแล้วกุมภกัณฐ์ เวรเวลาของเจ้าทำให้เจ้าต้องตายด้วยมือเรา อย่าเสียใจเลย ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่สวรรค์”
พิเภกร้องไห้โฮ วิ่งเข้ามาหากุมภกัณฐ์และทรุดตัวลงนั่งประคองพระเศียรขุนยักษ์ผู้เป็นพระเชษฐา.
“เสด็จพี่...เป็นอย่างไรบ้าง”
“ตายน่ะซี” กุมภกัณฐ์รับสั่งเสียงหนักแน่น “โอย...น้องรักของพี่เจ้าคิดถูกแล้วที่เจ้ามาอยู่เป็นข้าองค์พระนารายณ์”



      “โธ่- ก็หม่อมฉันทูลเสด็จพี่แล้วว่าพระองค์เป็นพระนารายณ์อวตารลงมาปราบยักษ์ ถ้าเชื่อหม่อมฉันเสด็จพี่ก็คงไม่ตายหรอก”
กุมภกัณฐ์ทรงกันแสง หันพักตร์ไปทางพระจักรี.
“ขอเดชะ หม่อมฉันขอฝากน้องพิเภกด้วย หม่อมฉัน...หม่อมฉัน...ทูลลาก่อน โปรดอย่าส่งหม่อมฉันไปอยู่สวรรค์เลยพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่ชอบหน้าพระพรหม เรียกค่ารักษาหอกโมกขศักดิ์เกือบ ๕,๐๐๐ บาท โอย...โอย...ตายแล้ว”
สิ้นเสียงพระยายักษ์ก็ม่องเท่งในอ้อมแขนของพิเภกโหราจารย์ หนุมานพยักพเยิดบอกพิเภกให้ปลดสร้อยสังวาลและรูดพระธำรงเพชรออกจากพระศพ เพราะถ้าขืนทิ้งไว้ทหารลิง พวกจิ๊กโก๋หรืออันธพาลก็จะถือโอกาสมาปลดเอาไป.
รามเกียรติ์ตอน “ศึกกุมภกัณฐ์” ก็สิ้นสุดความสำคัญแต่เพียงเท่านี้ ถ้าท่านชอบอ่านบทร้อยแก้ว ผมจะเขียนวรรณคดีเรื่องอื่นๆเสนอท่านอีกในโอกาสต่อไป.
                           

                                 ____________________________                                         

                                                                 Sampan Chanpa

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รามเกียรติ์ ตอน ศึกกุมภกัณฐ์ ตอนที่ ๑ ( ขำทุกบรรทัด )



                                  
                                           รามเกียรติ์ ตอน ศึกกุมภกัณฐ์


     ท่านเคยอ่านพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์มามากต่อมากแล้ว โดยเฉพาะศึกกุมภกัณฐ์และท้าวมาลีวราชว่าความท่านก็เคยเรียนมาเมื่อเป็นนักเรียน แต่รามเกียรติ์ที่ท่านได้อ่านและศึกษามาแล้วเป็นบทร้อยกรองหรือกวีนิพนธ์ ผมจึงขอเสนอท่านเป็นบทร้อยแก้วบ้างจากเรื่องรามเกียรติ์ตอน ศึกกุมภกัณฐ์ ซึ่งคงจะให้ความสำราญแก่ท่านบ้างไม่มากก็น้อย.

     พออรุณเบิกฟ้า พระเจ้ากรุงลงกาทรงตื่นบรรทมด้วยพระอารมณ์หงุดหงิดวู่วามฉุนเฉียวเหมือนเช่นเคย สิบพระโอษฐ์รับสั่งพึมพำปรารภถึงการณรงค์ที่พระองค์ตกเป็นรองฝ่ายรามลักษณ์ตลอดเวลา.
พระองค์เสด็จเข้าห้องเสวยพร้อมด้วยเอกอัครมเหสีขณะที่วิทยุเทียบเวลา 7.00 น. พอดี พอทอดพระเนตรเห็นพระกระยาหารเช้าบนโต๊ะอาหารพระองค์ก็หัวเสีย.
“นี่อะไรกันมณโฑ เปลี่ยนอาหารเช้าให้พี่เสียบ้างซี ใจคอจะให้พี่กินแต่ช้างทุกๆวันยังงั้นหรือ ดูซิ ช้างทอด แล้วก็สะเต๊กงวงช้าง ไส้กรอกไส้ช้าง แบบไส้กรอกเยอรมัน”
นางมณโฑค้อนขวับ พระนางไม่เคยเกรงกลัวพระสวามีเลย.
“อย่าบ่นนักเลยเสด็จพี่ ทำอาหารจำพวกแรดหรือวัวควายมาให้เสวยก็บ่นว่าไม่อร่อยสู้ช้างไม่ได้ เสด็จพี่น่ะจะเป็นโรคประสาทรู้ไหม ประทับนั่งและเสวยเถอะ”
ทศกรรฐ์กับนางมณโฑทรุดพระองค์ลงนั่งบนพระเก้าอี้ทองเคียงข้างกัน มหาดเล็กยักษ์และนางข้าหลวงยักษ์ยืนเรียงแถวอยู่สองข้างห้องเสวยคอยปรนนิบัติถวายงานพระเจ้ากรุงลงกา พระองค์ทอดพระเนตรสะเต๊กงวงช้างอย่างเบื่อหน่าย แล้วทรงหยิบช้อนส้อมรวม 10 คู่ขึ้นมาถือเริ่มต้นเสวยสะเต๊กงวงช้างเงียบๆ นางมณโฑทรงใช้มีดโต๊ะกับช้อนส้อมอันมหึมาตัดช้างทอดถวายพระสวามี มหาดเล็กนายหนึ่งนำขนมปังปอนด์ขนาดโอ่งน้ำแต่หั่นเป็นชิ้นๆเรียบร้อยเอามาถวาย.
“ขอเดชะ พระองค์จะทรงดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มอย่างอื่นพ่ะย่ะค่ะ”
ทศกรรฐ์ทอดพระเนตรมหาดเล็กยักษ์ร่างสูงใหญ่เท่ายักษ์วัดพระแก้ว.
“เอาน้ำข้าวโว้ย วันนี้ข้าอยากกินน้ำข้าวสักชาม ใส่เกลือนิดหน่อยนะ ใส่แม็คกี้ให้ด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” มหาดเล็กรับพระคำสั่งแล้วถอยออกไป


      ทันใดนั้นเอง นายทหารยักษ์ในวัยหนุ่มฉกรรจ์สองคนก็บุกเข้ามาในห้องเสวย และหยุดยืนชิดเท้าตรงก้มศีรษะถวายคำนับพระเจ้ากรุงลงกา ทศกรรฐ์และนางมณโฑทอดพระเนตรขุนพลแห่งมหานครบาดาลอย่างแปลกพระทัย.
“เฮ้” ทศเศียรทรงอุทาน “แกไปยังไงมายังไงวะตรีทัพเมฆนาด”
ตรีทัพขุนศึกอาวุโสแห่งนครบาดาลก้มศีรษะถวายบังคมอีกครั้งหนึ่ง.
“เหาะมาพ่ะย่ะค่ะ”
“กูรู้แล้ว” ทศกรรฐ์ตวาดแว๊ด “ขุนยักษ์ผู้มีฤทธิ์มีเวทมนตร์อย่างมึงกับเมฆนาด มาแท๊กซี่หรือมารถเมล์จะเป็นไปได้อย่างไรวะ พระรามยกกองทัพอ้ายจ๋อไปประชิดเมืองบาดาลอย่างงั้นหรือ”
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ” ตรีทัพทูลอย่างเกรงพระราชอาญา แต่สายตามองดูช้างทอดด้วยความหิว เป็นช้างพลายขนาดใหญ่ชุบแป้งทอดกรอบทั้งตัว “ขอเดชะ เมื่อคืนนี้ตอนดึกพระราชนัดดาไมยราพได้เสด็จขึ้นมาจากนครบาดาล ไปที่ค่ายของพระรามพระลักษณ์พ่ะย่ะค่ะ”
“เออ แล้วยังไง”
ตรีทัพหันมากระซิบกับเมฆนาด”
“คุณทูลบ้างซีครับ คุณยืนนิ่งเฉยไม่มีบทพูดอยู่นานแล้ว พูดเสียบ้างอย่าให้พวกมหาดเล็กและนางข้าหลวงมันคิดว่าคุณไม่มีความสำคัญ”
เมฆนาดก้มศีรษะถวายคำนับแล้วทูลฉาดฉาน.
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระราชนัดดาได้สะกดทัพพระรามเอาโคโรฟอมโรยไปทั่วอากาศ พวกลิงได้กลิ่นโคโรฟอมก็นอนหลับเป็นตายพ่ะย่ะค่ะ พระราชนัดดาจับพระรามไปยังนครบาดาล...”
ทศกรรฐ์ทรงวางช้อนส้อมตบพระหัตถ์ทั้ง 20 และทรงพระสรวลทั้ง 10 พระโอษฐ์เสียงลั่นห้องเสวย.
“ฮ่ะ ฮ่ะ หลานกูแน่จริงๆ เจ้าสองคนถูกไมยราพใช้ให้มาบอกข้าว่าหลานข้าได้จับพระรามต้มกินแล้วใช่ไหม”
เมฆนาดหน้าจ๋อยไม่กล้ากราบทูล ดังนั้นตรีทัพจึงทูลแทนเพื่อนของเขา.
“ขอเดชะ เพียงแต่เตรียมการต้มพระรามในกระทะใบใหญ่เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ลิงเผือกตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ชื่อหนุมานเป็นทหารเอกของพระรามได้บุกบั่นลงไปยังนครบาดาล และสู้รบกับพระราชนัดดาอย่างดุเดือด ในที่สุดพระราชนัดดาทรงม่องเท่งพ่ะย่ะค่ะ”
“อุ๊ยตาย” นางมณโฑร้องลั่น “ไมยราพสิ้นพระชนม์ โอ๊ย-ข้าไม่อยากเชื่อก็ไมยราพถอดหัวใจได้ หัวใจของเธอเป็นแมลงภู่อยู่ในถ้ำเขาตรีกูฎ”
ตรีทัพยิ้มแห้งๆ.
“เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ หนุมานมันฉลาดมาก รบกับพระราชนัดดาไม่แพ้ไม่ชนะมันก็เอาแต่ต้นตาลสามต้นมาควั่นเข้าให้เป็นต้นเดียวกันแล้วผลัดกันตีคนละทีพ่ะย่ะค่ะ พระราชนัดดาตีมันก่อน ตีซะจมดินพ่ะย่ะค่ะ แต่มันมีฤทธิ์มันไม่ตายแล้วมันก็ตีพระองค์บ้าง เหวี่ยงต้นตาลตุ้บลงไปแล้วเหยียบอกพระนัดดาไว้ แผลงฤทธิ์ตัวใหญ่


      กว่าคิงคองหลายเท่า ยกขาซ้ายก้าวเข้าไปเหยียบเขาตรีกูฎ เอามือควานหาตัวแมลงภู่ได้ พอขยี้แมลงภู่พระราชนัดดาก็สิ้นพระชนม์พ่ะย่ะค่ะ”
พระเจ้ากรุงลงกาทรงกรรแสงโฮ.
“โธ่-หลานกูเสียชีวิตอีกหนึ่งคน ไมยราพเอ๋ย ไม่น่าแพ้อ้ายจ๋อเลย เพียงแต่เอากะปิสักก้อนทามือให้ทั่วแล้วสู้กับมันหนุมานมันก็วิ่งหนีเท่านั้น บอกข้าซิตรีทัพ ทางเมืองบาดาลเป็นอย่างไรบ้าง”
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า หนุมานมันให้ไวยวิกลูกชายนางพิรากวน ขึ้นนั่งเมืองแทนพระราชนัดดาพ่ะย่ะค่ะ อ้ายไวยวิกได้ทำสนธิสัญญาแลกเปลี่ยนสัตยาบรรณกับพระรามเรียบร้อยแล้ว พระรามจะส่งทูตไปประจำที่บาดาล และไวยวิกก็จะส่งทูตไปอยู่อยุธยาพ่ะย่ะค่ะ”
ทรงกันแสงอีก โบกพระหัตถ์ไล่ตรีทัพเมฆนาดออกไปจากห้อง ทศกรรฐ์ไม่ยอมเสวยอาหารอีกแล้ว แม้แต่น้ำข้าวที่มหาดเล็กนำมาถวายก็ไม่แตะต้อง นางมณโฑทรงปลอบโยนพระสวามี.
“ความตายเป็นของธรรมดาของโลกเพคะ ความจริงเท่าที่พระองค์ต้องสูญเสียพระประยูรญาติและไพร่พลมากมายเช่นนี้ก็เพราะนางสีดาคนเดียว”
เจ้าลงกากริ้วแหว.
“อย่าพูดอย่างนี้ ออกไปให้พ้นหน้าฉันนะมณโฑ อย่านึกว่าตัวแกวิเศษแกเคยเป็นเมียอ้ายจ๋อพี่ชายสุครีพมาแล้ว อ้ายองคตก็ลูกของแกแต่พระฤาษีผ่าท้องแกเอามันไปใส่ท้องแพะตอนที่พาลีมันคืนแกให้ฉัน ไปให้พ้น เดี๋ยวพ่อกินเสียเลยอีนี่”
ตามธรรมดาทศกรรฐ์กลัวนางมณโฑมาก แต่เมื่อพระองค์ทรงโมโหฉุนเฉียวจนถึงที่สุดพระองค์จะไม่เกรงกลัวมเหสีของพระองค์เลย นางมณโฑเคยถูกซ้อมสะบักสะบอมบ่อย ๆ เมื่อขัดพระทัยอย่างรุนแรง หรือทูลพระองค์ให้คืนส่งสีดาคืนไป.
เจ้าพระนครลงกามีพระอารมณ์พลุ่งพล่าน ทรงตะเพิดมหาดเล็กและนางข้าหลวงออกไปหมด พระองค์ทรงกันแสงสะอึกสะอื้นอยู่ตามลำพัง ในที่สุดก็ร้องตะโกนเรียกทหารยามในพระตำหนักให้มาเฝ้า.
“เฮ้ย-โทรศัพท์ไปที่ตำหนักพระอนุชา ทูลให้กุมภกัณฐ์มาพบข้าเดี๋ยวนี้”
นายทหารยามตัวสั่นงันงก
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระองค์ไม่มีเหรียญหยอดโทรศัพท์พ่ะย่ะค่ะ”
พญายักษ์กริ้วจนตัวสั่น.
“มึงจะบ้าหรืวะ โทรศัพท์ในวังนี้ไม่ใช่โทรศัพท์สาธารณโว้ย”
นายทหารซึ่งเป็นยักษ์แก่ใกล้จะปลดเกษียณอายุ รับพระรับสั่งใส่เกล้าแล้วถอยออกไป ทศกรรฐ์ประทับนั่งอยู่ตามลำพังภายในห้องเสวยอันกว้างใหญ่ขนาดเท่าสนามฟุตบอล เมื่อนึกถึงไมยราพพระองค์ก็ทรงรันทดพระทัยอย่างยิ่ง.
ผุดลุกผุดนั่งและเสด็จวนเวียนไปมารอบห้อง ทรงรอพระอนุชาของพระองค์อย่างกระวนกระวาย ในที่สุดกุมภกัณฐ์มหาอุปราชแห่งนครลงกาก็เสด็จเข้ามา แต่ร่ายรำบทเหมือนอย่างโขนและร้องพากษ์โขนไปด้วย.



     “กุมภกัณฐ์อนุชา รีบเสด็จไคลคลามาฉับพลัน ก้มเศียรประนมกรอภิวันท์พระทรงฤทธิ์ เสด็จพี่มีพระราชกิจประสงค์ใด ข้าพระองค์พร้อมที่จะรับใช้แล้วนะพระเจ้าข้า”
ทศกรรฐ์ประทับยืนนิ่งเฉยขบพระทนต์กรอด.
“แกจะบ้าหรือวะกุมภกัณฐ์ เป็นอุปราชไม่ชอบอยากเป็นโขนรึ ประเดี๋ยวพ่อส่งไปอยู่กรมศิลปากรเสียเลย”
กุมภกัณฐ์พระพักตร์เสียเมื่อทรงสังเกตเห็นพระเชษฐากำลังมีอารมณ์ไม่ดี.
“ขอเดชะ รับสั่งให้หาเรื่องอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“พี่มีข่าวร้ายที่จะบอกแกกุมภกัณฐ์ ไมยราพหลานของแกถูกหนุมานฆ่าตายเสียแล้ว”
“ทราบเกล้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันพบตรีทัพเมฆนาดหน้าตำหนักทั้งสองคนมันเล่าให้หม่อมฉันฟังแล้ว”
พระเจ้ากรุงลงกานิ่งเงียบไปสักครู่แล้วรับสั่งว่า.
“ถึงเวลาที่แกจะต้องช่วยพี่ และแก้แค้นแทนหลานของแก กุมภกัณฐ์น้องรักจงยกทหารของเราออกไปสู้รบกับรามลักษณ์และพยายามฆ่ามนุษย์สองพี่น้องนี้ให้ได้ มันได้ฆ่าญาติวงพงศาของเรามามากมายแล้ว”
กุมภกัณฐ์เป็นยักษ์ที่มีศีลธรรม พระองค์ไม่เห็นพ้องด้วยจึงทูลว่า.
“แล้วแต่เจ้าพี่จะโปรดเถิด หม่อมฉันเห็นว่าชนวนสงครามที่เกิดขึ้นก็เพราะ เจ้าพี่ไปลักพานางสีดาเมียของพระรามมาหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ ทำกับเขาอย่างนี้เขาก็ต้องรบกับเราเป็นธรรมดา คืนนางสีดาให้เขาเถอะเจ้าพี่ ลงกากับอยุธยาจะได้เป็นมิตรไมตรีต่อกัน”
ทศเศียรทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง.
“เหม่-อ้ายกุมภกัณฐ์”
กุมภกัณฐ์ฝืนทรงพระสรวล
“จะว่าอะไรก็ว่าเถอะทำไมต้องเหม่ด้วย”
“ก็กูโกรธนี่หว่า มึงมันขี้ขลาดตาขาวกลัวข้าศึก เมื่อมึงเห็นว่ากูเป็นคนเลวไปแย่งเมียเขามามึงก็ไปอยู่กะพระรามซี ไปอยู่กับอ้ายพิเภกน้องทรยศของกู กูจะยอมตายสู้รบกับพระรามเอง”
กุมภกัณฐ์ทรงเห็นพระเชษฐาพิโรธก็เกรงกลัว
“ขอเดชะหม่อมฉันไม่ได้เกรงกลัวข้าศึกเลย ที่กราบทูลก็หวังดีต่อเจ้าพี่ เมื่อพระองค์ไม่เห็นด้วยหม่อมฉันจะยกกองทัพออกไปรบกับพระรามพระลักษณ์ในบ่ายวันนี้ จะฆ่ามนุษย์สองพี่น้องเสียทั้งสองคน ไพร่พลลิงของมันหม่อมฉันก็จับเอามาหัดละครลิงให้หมด หรือม่ายก็ส่งไปขายตามสวนมะพร้าว”
พญายักษ์หายโกรธทันที พระองค์ปราดเข้ามากอดพระอนุชาด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใส.
“มันต้องอย่างนี้น้องรักของพี่ พี่เชื่อว่าแกต้องได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด ฮ่ะ ฮ่ะ มา-มากินข้าวกับพี่กุมภกัณฐ์ กินข้าวเสียก่อนแล้วพี่จะสั่งมโหทรให้มันจัดทัพให้”
ตอนสายวันนั้นเอง ทัพลงกาในบังคับบัญชาของกุมภกัณฐ์ก็เคลื่อนพลมายังสมรภูมิ และหยุดยั้งตั้งขบวนรบเป็นหมวดหมู่กรมกองตามหลักยุทธวิธี ไพร่พลยักษ์โห่ร้องสนั่นหวั่นไหว กุมภกัณฐ์ประทับนั่งอยู่บนราชรถซึ่งเทียมด้วยราชสีห์ถึง 10 ตัว.

เมื่เมื่อกุ
ก็เข้าจับสุครีพ หนุมานตามมาแก้สุครีพไปได้

     กองทัพลงการอคอยอยู่ครึ่งชั่วโมงพวกยักษ์ก็แลเห็นพลลิงประมาณ 100 ตัว เคลื่อนที่เข้ามาและมียักษ์ตนหนึ่งเป็นผู้นำพลพรรคอ้ายจ๋อเหล่านั้น เมื่อใกล้เข้ามาพวกทหารยักษ์ก็จำพิเภกได้ ต่างพูดกันจ้อกแจ้กจอแจ.
กุมภกัณฐ์แลเห็นพิเภกผู้เป็นอนุชาพระองค์ก็ทรงกริ้วโกรธ สั่งสารถีให้ขับรถศึกเคลื่อนเข้าไปหา พระยาพิเภกโหรชั้นดีรีบทรุดตัวลงนั่งกราบถวายบังคมพระเชษฐาองค์กลาง ด้วยความเคารพรัก.
“สวัสดีพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่า อย่า อย่ามาสวัสดีกับกูอ้ายทรยศ เพราะมึงคนเดียวทำให้พระรามได้เปรียบในการทำสงคราม กูเจ็บใจนักที่มึงมาสวามิภักดิ์ต่อพระราม”
“ขอเดชะ พระเชษฐาองค์ใหญ่ได้ขับไล่ข้าพระองค์ออกจากเมือง ข้าพระองค์ก็จำต้องมาอาศัยอยู่กับพระรามพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าแก้ตัว อ้ายสมอพิเภก” กุมภกัณฐ์กริ้วแหว “ญาติพี่น้องของเรายังมีอีกถมไปทำไมมึงไม่ไปอาศัยอยู่กับเขา ถุย-กูอยากถุยสักพันครั้งก็ไม่มีน้ำลาย มึงยกทหารลิงเพียงไม่กี่ตัวออกมาทำไมวะพิเภก จะมารบกับกูหรือ”
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ ข้าพระองค์ได้กราบทูลพระรามว่าเสด็จพี่เป็นยักษ์ที่มีศีลธรรม ที่ยกทัพออกมาก็เพราะขัดพระเชษฐาไม่ได้ พระรามรับสั่งให้ข้าพระองค์มาทูลเสด็จพี่ให้ยกทัพกลับไปเถิด ข้าพระองค์ขอถือโอกาสนี้ทูลให้ทรงทราบด้วยว่า พระรามคือ พระนารายณ์ที่อวตารลงมาปราบยักษ์ อย่าสู้รบกับพระองค์เลยพ่ะย่ะค่ะ”
กุมภกัณฐ์ทรงพระสรวลลั่น.
“อ้ายหน้าโง่ นี่แนะเฮ้ยพิเภก พระนารายณ์น่ะท่านมีสี่กรทรงตรีคทาจักรสังข์ พระรามมันเป็นมนุษย์เดินดินมีสองมือเท่านั้น เอาละ ถ้าหากว่าพระรามเป็นพระนารายณ์แบ่งภาคลงมาจริงตามที่เอ็งว่า พระรามก็คงตอบปริศนาข้าได้ ข้าขอตั้งปริศนาว่า..ชีแดหญิงโหดช้างงารีชายทรชนหมายถึงอะไร จงจำไว้และไปบอกพระราม ถ้าตอบถูกกูจะเชื่อว่าเป็นพระนารายณ์แล้วกูจะยกทัพกลับไป ถ้าตอบไม่ได้กูบุกแน่ จงมองดูกองทัพของข้า หน่วยยานเกราะเต็มไปทั่วท้องทุ่ง ปืนใหญ่สนามและจรวดนำวิถีก็เข้าที่ตั้งยิงแล้ว กูจะถล่มค่ายพระรามให้ราบเป็นหน้ากลองทีเดียวไปเถอะพิเภก ไปบอกเจ้านายมึงให้ทายปริศนาของกู กูจะคอยอยู่ที่นี่”
พิเภกพาทหารลิงกลับไปค่าย และรุดเข้าเฝ้าพระรามพระลักษณ์ต่อหน้าขุนพลลิง ๑๘ มงกุฎที่หมอบเรียงรายอยู่ในสุวรรณพลับพลา พิเภกกราบถวายบังคมองค์พระจักรี แล้วทูลให้ทราบตามที่เขาได้ออกไปพบกับกุมภกัณฐ์ ในยุทธภูมิ.
พระรามทำพระพักตร์เหยเกชอบกลเมื่อได้ทรงฟังปริศนาของกุมภันฑ์ พระองค์หันพระพักตร์มาถามพระอนุชา.
“เธอคิดได้ไหมพระลักษมณ์ ปริศนาเฮงซวยอย่างนี้พี่คิดไม่ออกจริง ๆ”
พระลักษณ์ทรงยิ้มแห้ง ๆ.
“หม่อมฉันก็จนด้วยเกล้าเหมือนกัน แต่ถ้ามันมาถามว่า...อะไรเอ่ย ทางโน้นก็ฟ้า ทางนี้ก็ฟ้าเรือชะล่าแล่นกลางหม่อมฉันก็พอจะตอบมันได้ ลองถามพวก ๑๘ มงกุฎดูดีไหมเสด็จพี่”
พระรามสั่นพระพักตร์.


     “เสียเวลาเปล่าๆ อ้ายพวกนี้มันโง่จะตาย มีแต่กำลังและความกล้าอย่างบ้าบิ่นเท่านั้น ให้มันท่องสูตรคูณแม่สองตั้งหลายปีแล้วยังท่องกันไม่ได้” แล้วพระองค์ก็แกล้งรับสั่งถามหนุมาน “เฮ้ย...หนุมาน สองห้าเท่าไหร่วะ”
ลูกพระพายนิ่งคิดทำตาปริบ ๆ ยกเท้าขวาขึ้นเกาศีรษะแกรก ๆ.
“ขอเดชะ สองห้าเป็น ๒๕ พ่ะย่ะค่ะ”
พระรามทรงพระสรวล.
“ทำไมมันถึงเป็น ๒๕ สูตรคูณอะไรของแกวะ”
“พระอาญามิพ้นเกล้า เลข ๒ กับเลข ๕ เขียนติดกันก็ต้องอ่านว่า ๒๕ พ่ะย่ะค่ะ”
“อือ จริงของมึงหนุมาน อ้า...เวลาอาบน้ำน่ะฟอกสบู่เสียบ้างซี หมัดในตัวแกมันจะได้ตาย ฉันเห็นแกเกาแกรก ๆ ตลอดวัน พลาธิการเขาก็จ่ายสบู่ให้แล้ว ไหน...เจ้าองคตมานี่ซิ”
องคตอ้ายจ๋อวัยรุ่นคลานเข้ามาเฝ้าแล้วกราบถวายบังคม.
“พระองค์ประสงค์สิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ”
“เอ็งยกทหารออกไปสนามรบเดี๋ยวนี้ พยายามใช้วาทศิลปของเอ็งเจรจากับกุมภกัณฐ์ ในเรื่องปริศนาของมันอย่าให้ข้าเสียเกียรติได้ แล้วยกทหารกลับมาอย่าไปรบกับมัน”
ลูกพาลีคลานถอยออกไป และในชั่วโมงเดียวกันนั้นเองกองทัพลิง ๕,๐๐๐ ตัวในบังคับบัญชาขององคตก็ยกมาถึงสมรภูมิ องคตสั่งให้หยุดเผชิญกับกองทัพลงกาในระยะห่างพอสมควร เมื่อสารถีของกุมภกัณฐ์ขับรถศึกตรงเข้ามาองคตก็แผลงฤทธิ์ให้มีร่างกายใหญ่โตมีหางยาวผิดธรรมชาติ เขาม้วนห่างเป็นแท่นแล้วนั่งไขว่ห้างเต๊ะท่าอยู่บนหางของเขา.
กุมภกัณฐ์ยกมือชี้หน้าองคตแล้วหัวเราะก้าก.
“ชะ ช้า อ้ายลูกแพะนี่เองนึกว่าลิงที่ไหน ยังไง...ไหว้ข้าเสียที ข้าจะได้ให้สตางค์ ชุดนี้จะเป็นการแสดงญวนทอดแห เอา...เอาหน่อยองคต” แล้วกุมภกัณฐ์ก็ร้องเพลงละครลิงเสียงลั่น “ชีกวางห้อกวาง ขวัญเมืองเยื้องย่างกงตุ๊ย ๆ กงจางดูมาเอวบาง กงตุ๊ย ๆ กงจ๊างดูม้าเอวบาง จี่ขาจี่ทอดแหตรงนี้ คงจะมีกุ้งนาง ฮ่ะ ฮ่ะ ไม่ยักเล่นโว้ย”
องคตถูกดูหมิ่นว่าเป็นลิงละครลิงก็โกรธจนตัวสั่น.
“อย่ากำแหงอ้ายยักษ์ ถ้าไม่เกรงว่าขัดรับสั่ง กูจะตัดคอมึงเอามาโยนเล่นต่างลูกรักบี้เดี๋ยวนี้ มาพูดกันให้เป็นงานเป็นการดีกว่าวะ เจ้านายใช้ให้ข้าออกมาพบแก”
“งั้นเรอะ เอ็งนำคำตอบปริศนาของข้ามาบอกข้าใช่ไหมล่ะ”
ลูกพาลีฝืนหัวเราะ.
“ปริศนาตะหวักตะบวยอะไรกัน อย่างนั้นไม่เรียกว่าเป็นปริศนาโว้ย เป็นคำถามกว้างๆและคลุมเครือต่างหาก ต่อให้พ่อพระรามก็คิดไม่ออก เอ็งน่ะอย่าวุ่นวายให้มากนัก ควรจะรู้ว่าพระรามท่านยิงธนูได้แม่นยำราวกับจับวาง พวกยักษ์ม่องเท่งมาเยอะแยะแล้ว ยกทัพกลับไปเสียดีกว่า”
กุมภกัณฐ์ตบมือหัวเราะเยาะ.



     “ในที่สุดนายมึงก็ใช้ให้มึงมาพูดแก้เกี้ยวเพื่อรักษาเหลี่ยม ถุย...หลอกได้แต่พวกอ้ายจ๋อหรอกเว้ยที่ว่าเป็นพระนารายณ์อวตารลงมา ยักษ์มีปริญญาอย่างข้าจ้างก็ไม่เชื่อ จงกลับไปบอกเจ้านายมึงให้ยกทัพมารบเถอะ กูจะคอยอยู่ที่นี่ ไพร่พลของกูอยากจะรบเต็มทนแล้ว ถ้าภายในชั่วโมงนี้พระรามไม่ยกทัพมากูจะสั่งให้กองพลยานเกราะของกูบุกทันที พวกลิงจะถูกอาวุธจรวดติดหัวกะปิร้องอู้ไปตามกัน ฮ่ะ ฮ่ะ”
องคตคันไม้คันมืออยากฆ่ากุมภกัณฐ์ แต่เป็นการล่วงละเมิดพระรับสั่ง.
“ดีแล้วอ้ายเขี้ยวโง้ง มึงรออยู่นี่นะ ประเดี๋ยวรู้ดีรู้ชั่ว เจ้านายของกูจะต้องออกมาพบกับมึงแน่นอน”
แล้วหลานพระอินทร์ก็ยกทัพลิงกลับไป กุมภกัณฐ์ถือโอกาสตรวจพลรบของพระองค์และให้คำขวัญว่า ยักษ์ที่ดีต้องยอมสละชีวิตเพื่อพระเจ้ากรุงลงกา ให้ทหารยักษ์เตรียมต่อสู้เต็มที่และให้เอากะปิทาหอกดาบไว้.
ครั้นเวลา ๑๑.๓๐ น.เศษ กุมภกัณฐ์มหาอุปราชก็ทอดพระเนตรเห็นกองทัพวานรไม่น้อยกว่า ๑๕,๐๐๐ ตัวเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาตามทุ่งกว้าง เสียงทหารพระรามโห่ร้องก้องกังวาน แต่เป็นการโห่ที่แหวกแนวอย่างยิ่ง เพราะแทนที่ทหารจะรับคำว่าโห่ฮิ้วกลับร้องเป็นเสียงลิงพร้อมๆกัน”
“โห่...ฮี้โห่ฮี้โห่...โฮ...เจี๊ยกคร่อก”
ท่ามกลางเสียงโห่และเสียงฆ้องกลองซึ่งตีกันส่งเดชไม่มีจังหวะจะโคน ตามประสาลิงกุมภกัณฐ์ทรงกล้องส่องทางไกลทอดพระเนตรเห็นขุนกระบี่ผู้เป็นนายทัพมีสีแดงทั้งตัว ก็รับสั่งกับสารถีของพระองค์.
“เฮ้ย นายลิงคนนี้ถ้าจะเป็นค็อมมิวนิสต์ว่ะ แดงเถือกไปทั้งตัว”
สารถียักษ์ประนมมือถวายบังคม.
“ไม่ใช่ค็อมมิวนิสต์หรอกพ่ะย่ะค่ะ พระรามเป็นกษัตริย์และเป็นเจ้าพวกลิงย่อมเป็นศัตรูกับค็อมมิวนิสต์ นายลิงที่มีเนื้อแดงชื่อสุครีพพ่ะย่ะค่ะ เป็นลูกพระอาทิตย์และเป็นน้องต่างบิดาของพระยาพาลี”
“อ้อ ยังงั้นเรอะ อ้ายนี่เป็นแม่ทัพลิงนี่หว่า พระรามใช้ให้มารบกับกูแน่”
“หวานเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ลิงในราชอุทยานของเสด็จพี่ตัวเล็ก ๆ ข้ายังกลัวมัน เข้าไปใกล้มันหน่อยเดียวมันกระโจนเข้ากัดขา ตัวเปี๊ยก ๆ ยังไวและดุอย่างนั้น อ้ายสุครีพตัวเกือบเท่าคิงคองข้าจะสู้มันไหวหรือ”
“ก็พระองค์มีตะบอง”
“ตะบองก็เถอะวะ พอเงื้อจะตีมันก็แย่งได้ คราวนี้กูก็วิ่งตูดแป้นเท่านั้นเอง ไม่ได้การต้องใช้กลศึกหลอกลวงอ้ายสุครีพ ถึงแม้ว่ามันจะเก่งกาจอย่างไรมันก็เฉลียวฉลาดสู้กูไม่ได้”
เมื่อกองทัพลิงเคลื่อนเข้ามาใกล้ พลยักษ์ทั้งหลายก็ได้ยินทหารลิงร้องเพลง “กราวนอก” อย่างพร้อมเพรียงกัน พลลิงเต้นท่าโขนอย่างสวยงามแสดงว่าได้รับการฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี แล้วลิงทั้งกองทัพก็ร้องเพลง “กราวนอก” ขึ้นพร้อมๆ กัน.
เหล่าลิงทั้งหลายทั้งนายไพร่
กล้าหาญชาญชัยไม่ย่นย่อ
จะฆ่ายักษ์ให้ม้วยมาระนอ
เราลิงจ๋อองอาจชาติวานร
   
       ตุมๆ ตุ่ม ตุม เจี๊ยกคร่อก
หยุดยั้งตั้งทัพคอยรับยักษ์
พลพรรคหมื่นห้าหน้าสลอน
ยอมถวายชีวีพระสี่กร
ราญรอนรบรุกบุกตะลุย
ตุมๆ ตุ่ม ตุม เจี๊ยกคร่อก
ทันใดนั้นเองพวกยักษ์ทั้งกองทัพก็ร้องตะโกนขึ้นเป็นสียงเดียวกัน.
“พลยักษ์...สู้ตาย พลยักษ์...ไว้ลาย”
แล้วก็มีเสียงหัวเราะแบบเดียวกับเสียงม้าดังขึ้นทั่วกองทัพ เป็นการเยาะเย้ย หรือทำลายขวัญพวกลิง พระยาสุครีพแม่ทัพใหญ่ ร้องตะโกนห้ามพวกวานรไม่ให้แหกหูแหกตาหลอกยักษ์ เพราะเป็นการเสื่อมเสียเกียรตินักรบ ลูกพระอาทิตย์เดินดุ่ม ๆ ออกมาทางแถวหน้าที่หยุดยั้งตั้งขบวนเป็นระเบียบเรียบร้อย กุมภกัณฐ์รับสั่งให้สารถีของพระองค์เคลื่อนรถเข้ามาหา สุครีพแลเห็นสิงโตเทียมรถก็ชักปอดลอย แต่เมื่อตนเป็นแม่ทัพก็จำเป็นต้องทำเข้มแข็ง.
สุครีพกระทืบเท้าเต็มแรงแล้วยกมือชี้หน้ามหาอุปราชแห่งนครลงกา.
“เฮ้ย...เหวยกุมภกัณฐ์ พระนารายณ์ทรงเมตตาเจ้าใช้ให้พิเภกออกมาเจรจาด้วยดีเจ้ากลับโอหังตั้งปริศนาบ้าๆ ไปให้พระองค์ขบคิด อ้ายปริศนาเฮงซวยของเจ้านั้นไม่มีมนุษย์คนใดที่จะคิดได้หรอก น่าหัวเราะเหลือเกิน”
กุมภกัณฐ์รับสั่งว่า “อ้ายลิงถ่อยอหังการ ถ้าพระรามเป็นพระนารายณ์อวตารลงมาจริง ๆ แล้วทำไมจะคิดไม่ได้วะ ข้าจะบอกให้เฮ้ยสุครีพ ชีโฉดก็หมายถึงพระรามนั่นเอง อยู่ดีๆ ไม่ว่าดีทิ้งบ้านเมืองพาพระลักษมณ์ออกบวชท่องเที่ยวอยู่ในป่า ปล่อยให้น้องชายต่างมารดาสองคนครองเมืองอยุธยาแทน หญิงโหดก็คือนางสำมะนักขาน้องสาวของข้า ไปพบพระรามในป่าก็พูดเกี้ยวพระรามอย่างหน้าด้านไร้ยางอาย ส่วนช้างงารีก็คือพระเชษฐาทศกรรฐ์ของข้านั่นเอง ก่อเรื่องยุ่งยากเดือดร้อนแย่งชิงเมียของเขามา แล้วก็ชายทรชนก็คืออ้ายพิเภก เป็นไส้ศึกให้พระรามคิดฆ่าวงศาคณาญาติของตัวเอง นี่แหละคือคำตอบปริศนาของข้า”
สุครีพนึกชมในใจที่กุมภกัณฐ์มีสติปัญญาเฉียบแหลม แต่เขาไม่ต้องการให้พระรามต้องเสียเกียรติจึงพูดตัดบท.
“อย่าพูดมากเลยวะกุมภกัณฐ์ เอ็งกับข้ามารบกันดีกว่า ฝีมืออย่างเอ็งไม่ต้องถึงกับให้พระรามหรือพระลักษณ์เสด็จออกมาหรอก มือชั้นข้าก็ปราบเอ็งได้ มา...กระโดดลงมาจากรถซีเพื่อน”
มหาอุปราชทรงพระสรวล.
“กุไม่อยากรบกับมึงให้เสียมือ มึงไปทูลถามพระพรหมดูก็แล้วกันว่า กูมีฤทธิ์เดชมากมายแค่ไหน อ้ายจ๋อเอ๋ย เอายังงี้ก็แล้วกัน มีต้นรังใหญ่ต้นหนึ่งอยู่บนยอดมหาคีรีบรรพตในทวีปอุดร ถ้ามึงไปถอนต้นรังต้นนั้นเอามาได้กูจะยอมแพ้มึงเลิกทัพกลับกรุงลงกา ถ้าถอนมาไม่ได้มึงก็ต้องยอมแพ้กู พากองทัพลิงกลับไป เราจะได้ไม่เสียไพร่พลทั้งสองฝ่าย”
สุครีพหัวเราะชอบใจ.


     “ถอนต้นรังหรืออ้ายยักษ์ เรื่องเล็กว่ะ ดีแล้ว ข้าจะไปแบกต้นรังต้นนั้นมาให้เอ็งดูเป็นขวัญตา”
ครั้นแล้วลูกพระอาทิตย์ก็แผลงฤทธิ์เหาะละลิ่วไปในอากาศ ลัดนิ้วมือเดียวก็มาถึงยอดขุนเขาใหญ่พบต้นรังมหึมาแลเห็นเด่นแต่ไกล สุครีพเหาะลงบนยอดเขาโอบกอดต้นรัง แล้วรวบรวมกำลังเท่าที่มีอยู่ถอนต้นรังให้เขยื้อนขึ้นมาจากพื้นดินทีละน้อย จนกระทั่งหอบแฮ่ก ๆ อย่างไรก็ตามสุครีพไม่ยอมพักเหนื่อย เขาต้องการจะโอ้อวดกุมภกัณฐ์ ว่าเขามีกำลังยิ่งกว่าเฮอคิวลิส สุครีพมานะพยายามถอนต้นรังสักครู่ใหญ่ ต้นรังก็หลุดขึ้นมาจากพื้นดิน และแล้วลูกพระอาทิตย์ก็แบกต้นรังเหาะกลับมายังสมรภูมิ.
“เฮ้ย...อ้ายยักษ์เขี้ยวโง้ง สุครีพร้องตะโกนลั่นแล้วโยนต้นรังลงบนพื้นดินดังโครม “นี่ต้นรังใช่ไหมวะ โอ๊ย...เหนื่อยว่ะ”
มหาอุปราชกระโจนลงจากรถ ทรงถือพระคทาปราดเข้าประจัญบานขุนกระบี่ทันที สุครีพกระชากพระขรรค์ออกมาปัดป้องและแทงตอบ แต่สุครีพหมดแรงแล้ว รบกันได้เพียงไม่กี่เพลงกุมภกัณฐ์ก็กระโดดเข้าประชิดตัวใช้ท่อนแขนซ้ายตวัดรัดคอสุครีพไว้ พระหัตถ์ขวาเงื้อกระบองตีกบาลพญาลิงดังโป๊ก ๆ หลายทีติด ๆ กัน แต่ถึงแม้ว่าจะถูกตีอย่างจัง ๆ สุครีพก็ทนได้ ที่ทนไม่ได้ก็คือกลิ่นจั๊กแร้ของมหาอุปราช ทำให้สุครีพฉุนกึกสะอึกสะอื้นดิ้นไม่ไหว กุมภกัณฐ์ฉุดกระชากลากตัวแม่ทัพลิงไปทันที ร้องตะโกนรับสั่งให้ไพร่พลยักษ์โจมตีกองทหารวานร พวกลิงเห็นสุครีพเสียท่าถูกจับเป็นเชลย ก็แตกตื่นเสียขวัญทิ้งอาวุธวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไม่ยอมสู้รบกับยักษ์ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกคึกคักเข้มแข็งมีการร้องเพลงปลุกใจ
กุมภกัณฐ์ไม่ยอมขึ้นรถทรง พระองค์ลากสุครีพถูลู่ถูกังไปอย่างไม่ปราณี ทหารยักษ์ติดตามมาโห่ร้องกันเกรียวกราวดีใจที่มหาอุปราชทรงได้รับชัยชนะในครั้งแรกที่ออกรบ.
ทัพลงกาเดินทางกลับเข้าเมืองโดยไม่รีบร้อนอะไรนัก แต่พอใกล้จะถึงพระนคร พลยักษ์ก็ร้องบอกกล่าวกันอื้ออึงว่ามีลิงสองตัวเหาะมาในอากาศ หนุมานกับองคตนั่นเอง กุมภกัณฐ์ทอดพระเนตรเห็นเข้าก็ร้องตะโกนรับสั่งเรียกนายทหารยักษ์ให้มาช่วยคุ้มกันพระองค์.
“ช่วยกูหน่อยโว้ย อ้ายหนุมานมันไม่ใช่เล่น และองคตมันก็ไม่ใช่ย่อย กูจะพยายามเอาตัวสุครีพไปถวายพระเชษฐาให้ได้”
สองทหารเสือของพระรามเหาะลงมาแล้ว และโดยไม่มีการพูดพล่ามทำเพลง หนุมานกับองคตปราดเข้าบุกตะลุยพวกขุนพลยักษ์ทันที การสู้รบไม่สู้จะน่าตื่นเต้นเท่าใดนักเพราะยักษ์อืดอาดงุ่มง่ามล่าช้า ส่วนลิงทั้งสองว่องไวตามแบบฉบับของลิง พลยักษ์ถูกฆ่าตายเกลื่อนกลาดอัศวินยักษ์ล่าถอยไม่คิดสู้ ทั้งหนุมานและองคตไม่กลัวกะปิ ตรงกันข้ามกลับชอบกินกะปิเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นนายทหารยักษ์คนหนึ่งที่เอากะปิทาดาบยื่นเข้ามา จึงถูก องคตกระซวกด้วยพระขรรค์คู่มือง่อยกระรอกไป หนุมานกับองคตวิ่งเข้ามาหากุมภกัณฐ์และรุมกันรบ กุมภกัณฐ์ ใช้พระหัตถ์ขวาเพียงข้างเดียวควงคทาต่อสู้.
“อ้ายพวกลิงหมู่ มึงสองตัวไม่ใช่ลูกผู้ชายโว้ย เล่นกลุ้มรุมนี่หว่า”
สุครีพรู้ว่าหลานชายทั้งสองมาช่วยก็มีเรี่ยวแรงเกิดขึ้น เขาพยายามดิ้นรนเพื่อจะให้หลุดจากวงแขนของมหาอุปราช แต่ดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด แล้วสุครีพก็ร้องบอกหนุมาน.
“ช่วยอาด้วยโว้ยหนุมาน มันล็อคอาจนหายใจไม่ออกแล้ว


     หนุมานรบพลางพูดพลาง.
“ล็อคคออย่ากลัวครับเดี๋ยวก็หลุด อาอย่าให้มันจับคางได้นะครับเป็นเสร็จมันแน่”
กุมภกัณฐ์ได้ยินหนุมานพูดเช่นนี้ก็คลายแขนที่ล็อคคอสุครีพออก แล้วยกมือซ้ายขึ้นจับคางสุครีพทันทีเพราะหลงกลหนุมาน คราวนี้สุครีพผงะไปข้างหลังเพียงนิดเดียวก็ได้รับอิสรภาพ ขุนกระบี่ทั้งสามกลุ้มรุมเล่นงานมหาอุปราชจนกระทั่งกุมภกัณฐ์ต้องรีบหนีเข้าเมืองลงกา หน้าตาปูดโปน ฟกช้ำดำเขียวเพราะได้รับการแจกหมากและแว่นจากลิงทั้งสาม.
พอแสงทองส่องฟ้า เสียงแตรเดี่ยวก็ดังกังวานไปทั่วค่ายพระราม เป็นสัญญาณปลุกทหารลิงให้ลุกขึ้นเตรียมปฏิบัติหน้าที่ของทหารต่อไป นายหมวดนายหมู่ถือไม้เรียวหวดทหารเลวที่แกล้งทำหูทวนลมไม่ได้ยินเสียงแตรนอนหลับอย่างสบาย พอถูกเฆี่ยนก็ร้องเจี๊ยกๆ ลุกขึ้นคว้าผ้าขาวม้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน และสบู่ออกจากค่ายไปอาบน้ำริมฝั่งแม่น้ำ พลลิงหลายหมื่นเกลื่อนกลาดไปทั่ว.
แต่แล้วก็ปรากฏว่าน้ำในแม่น้ำแห้งขอด ไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว ทหารลิงไม่มีน้ำอาบกินแล้ว เมื่อนายลิงตัวหนึ่งนำความขึ้นกราบทูลพระราม พระลักษมณ์ พระจักรกฤษณ์ก็รับสั่งถามพระยาพิเภกโหราจารย์ถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งไม่น่าที่จะเป็นไปได้.
“ขอเดชะ เป็นการกระทำของพระเชษฐากุมภกัณฐ์ พ่ะย่ะค่ะ” พิเภกกราบทูลเมื่อได้จับยามดูแล้ว “กุมภกัณฐ์ได้ไปทำพิธีทดน้ำ ที่ต้นแม่น้ำมหานทีนี้ จำแลงแปลงตัวเท่าภูเขานอนขวางแม่น้ำเหมือนทำนบกั้นน้ำ น้ำจึงไม่ไหลลงมาทางใต้”
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า ขอได้โปรดรับสั่งใช้ให้หนุมานไปทำลายพิธีเถิดพ่ะย่ะค่ะ เมื่อหนุมานไปพบกุมภกัณฐ์นอนทดน้ำอยู่ตรงไหน ก็ลงไปรบกับกุมภกัณฐ์ พอพระเชษฐาลุกขึ้นน้ำก็จะหลั่งไหลลงมาทางใต้ตามเดิม”
“ดีมาก พิเภก ข้าขอบใจเจ้าที่ให้คำแนะนำอันเป็นประโยชน์เช่นนี้”
โดยพระรับสั่งของพระทรงครุฑ คำแหงหนุมานลูกพระพายได้เหาะมาจากค่ายใหญ่มุ่งตรงไปที่ต้นน้ำมหานที แล้วแอบสังเกตการณ์อยู่ในพุ่มไม้ใบบังริมฝั่งแม่น้ำ จนกระทั่งแลเห็นนางข้าหลวงยักษ์สี่นางเดินมาเก็บบุปผาเพื่อนำไปถวายมหาอุปราช เมื่อนางข้าหลวงนางหนี่งแยกกับเพื่อนมาเก็บดอกไม้ใกล้ๆ กับหนุมาน ลูกพระพายก็ฆ่านางเสีย แล้วแปลงตัวเป็นนางข้าหลวงคนนั้นเก็บดอกไม้ต่าง ๆ ไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ซึ่งไม่มีใครสงสัยอะไร.
ในที่สุดหนุมานก็ได้เห็นที่ที่มหาอุปราชลงไปนอนขวางแม่น้ำอยู่ หนุมานกลายร่างเป็นลูกพระพายตามเดิม แต่รูปร่างใหญ่โตมโหฬารมาก ทำให้นางข้าหลวงทั้งสามคนร้องวี๊ดว้ายกระตู้วู้วิ่งหนีจนผ้าผ่อนหลุดลุ่ยไปตามๆ กัน
คำแหงหนุมานถือตรีกระโจนลงไปในแม่น้ำ ปรี่เข้ากระทืบกุมภกัณฐ์เอากำไรไว้ก่อน มหาอุปราชกำลังนอนร่ายเวทวิทยา เมื่อถูกทำร้ายก็ตกใจรีบลุกขึ้นต่อสู้ กระแสน้ำไหลงลงสู่ทางใต้ทันที หนุมานกับกุมภกัณฐ์สู้รบกันเกือบสามชั่วโมงไม่มีใครแพ้ใครชนะ กุมภกัณฐ์ทรงเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียก็ล่าถอยเข้าพระนครลงกาและรุดเฝ้าท้าวทศกรรฐ์พระยายักษ์. ( ยังไม่จบ )

                                                   _______________________
Sampan Chanpa