วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

น้ำกลิ้งบนใบบอน โธ่เว้ยความรัก



                                                          น้ำกลิ้งบนใบบอน


ข้าพเจ้ามีเพื่อนคนหนึ่ง  ไปหลงรักสาวที่มีอายุใกล้เคียงกันมาก เกิดปีเดียวกันเดือนเดียวกันจะต่างกันก็คือวัน หล่อนเกิดวันเสาร์  ่วนไอ้เพื่อนผมเกิดวันพุธ  ผู้หญิง ๑๖ ปีเต็มและย่าง ๑๗ ปี  โบราณว่าผู้หญิงเป็นสาวไวและเร็วกว่าผู้ชาย อันนี้คงจะจริง  ผู้หญิงเป็นสาวเต็มตัวแล้ว เพื่อนผมบางครั้งยังแก้ผ้าเล่นน้ำอยู่เลย และกระเดียดไปทางปัญญาอ่อนเล็กน้อยด้วยซ้ำ  วันหนึ่ง ผู้หญิงได้บอกแก่เพื่อนของข้าพเจ้าว่า  คุณแม่ได้ขอร้องแกมบังคับให้หล่อนแต่งงานกับชายหนุ่มค่อนข้างแก่คนหนึ่ง อายุประมาณ ๓๕ ปี  เธอจะไม่ย่อมก็ไม่ได้  เจ้าเพื่อนปัญญาอ่อนของผมได้พาคู่รักของมันมาหาข้าพเจ้า  คนทั้งสองได้จุดธูป แต่ไม่มีเทียนและดอกไม้ สาบานกันต่อหน้าข้าพเจ้าซึ่งนั่งอี้  และเขาทั้งสองนั่งอยู่กับพื้นน้ำตานองหน้า  เพื่อนของข้าพเจ้าสาบาลว่าจะไม่มีเมีย  จะพยายามก่อร่างสร้างตัว  แล้วจะไปรับคู่รักของเขากลับมาแต่งงานกันโดยไม่คข้าพเจ้าจำคำสาบานของคนทั้งสองได้อย่าแม่นยำว่า  เขาทั้งสองจะรักกันมั่นคงตลอดไป  ำนึงถึงอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น   ส่วนคู่รักของเขาก็สาบานว่า  แม้ตัวของเธอจะอยู่กับชายคนนั้นอันเป็นสามี  แต่หัวใจของเธอจะยังอยู่กับเพื่อนของข้าพเจ้าเสมอและว่าแม้ตัวจะต้องตกเป็นของชายอื่น  ชายนั้นก็จะได้แต่ตัวเท่านั้น  หัวใจหาได้ไปด้วยไม่  คนทั้งสองจะดำรงชีพอยู่ด้วยความหวังอันแน่นแฟ้นว่า  สักวันหนึ่งจะได้ครองรักร่วมกัน  ทั้งนี้  โดยมีข้อแม้ว่า  จะต้องไม่พยายามสมคบกันฆาตกรรมชายคนนั้นซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรใด ๆ ทั้งสิ้น  เพราะหมอนั่นก็ถูกแม่อันดุร้ายบังคับให้แต่งงานเหมือนกัน



วันแต่งงานของผู้หญิงคนนั้น   เพื่อนของข้าพเจ้าหลบหน้าไปอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่ง (คงจะไม่ใช่เกาะกลางถนนเพื่อคิดโดดให้รถประทับร่างหรอกครับ) แถวสัตหีบ  ส่วนข้าพเจ้าได้รับเทียบ (บัตรเชิญ) ไปในงานเลี้ยงฉลองสมรสของเธอ ซึ่งจัดเป็นงานใหญ่มาก ๆ (ในสมัยเมื่อ ๓๐ กว่าปีที่ผ่านมาในอดีต) ตั้งโต๊ะจีน ๓๐ โต๊ะ มีอาหารดี ๆ ทั้งนั้น



ข้าพเจ้าเคยพบคู่รักของเพื่อนข้าพเจ้าสองสามครั้งได้ทราบว่ามีความสุขสบายดี ดูไม่เหมือนกับคนที่ผิดหวังในเรื่องคู่ครองแต่อย่างใด  ครั้งแรกที่พบกันกับเธอ ๆ ยังพูดถึงเพื่อนของข้าพเจ้าอยู่
แต่พอครั้งต่อ ๆ มาไม่ได้พูดถึงเลย  แต่พูดถึงลูกทั้งสองคนของเธอด้วยความรักความเอ็นดูอย่างมีความสุขสุดซึ้ง  และพูดถึงสามีด้วยความหมั่นใส้พอประมาณ  เธอบอกข้าพเจ้าว่ารู้สึกเบื่อหน้าหมอนั่นมาก  แต่ข้าพเจ้าทราบว่าเธอหมายความว่าไม่เบื่อ  เพราะเวลาที่พูดว่าเบื่อนั้น  ดวงตาของเธอเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างลึกล้ำทำให้ข้าพเจ้ารำพึงว่า


"โถ.....เจ้าพจน์เอ๊ย...คำสาบานของเอ็งไร้ค่าและความหมายเสียแล้ว" เพื่อนคนนี้ของข้าพเจ้าเป็นลูกชายของนายพจน์  พวกเราจึงพากันเรียกชื่อพ่อของเขาเพื่อเป็นเกียรติยศแก่เขา  เพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกับข้าพเจ้านั้นเรียกชื่อพ่อของกันและกันจนเ้ปรอะไปหมด  แทบจะลืมชื่อจริงของเพื่อนด้วยซ้ำไป   บางทีก็ผ่าไปเรียกชื่อพ่อของเพื่อนต่อหน้าแม่เพื่อน  ทำให้ต้องวิ่งหนีกันจนลิ้นห้อยพอประมาณ  แต่ข้าพเจ้ากับเพื่อน ๆ  หลายคนเคยเห็นผีตนหนึ่งพร้อม ๆ กันที่ข้างบังกะโลบางแสน  ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ  ทุกคนเห็นว่าลิ้นของผีแลบยาวออกมาจนถึงลิ้นปี่แล้วผีก็เดินเกาัะฝาบังกะโลนั้นหายไปทางข้างหลัง  พวกเราพากันสวดมนต์ ๓ จบแล้วชวนกันไปดููก็ไม่เห็นใครแอบอยู่แถวนั้น  และไม่มีที่จะหลบซ่อนตัวได้ด้วย  ใครที่พอจะกรวดน้ำเป็นก็กรวดกันไป


วันหนึ่งลูกตาพจน์ซึ่งหายหน้าค่าตาไปหลายปี  ได้กลับมาพบกับข้าพเจ้าที่บ้าน เขาทำหน้าพิลึกเมื่อถามว่า  ข้าพเจ้ายังอยู่แบบนี้อีกหรือ

หัดซื้อมุ้งมากางนอนบ้างหรือยัง  เห็นใช้แต่ยากันยุงจุดไว้ใต้ที่นอนตามที่เคยเป็นมาตลอดเวลา หลายสิบปีหรือ  ข้าพเจ้าก็พยักหน้าและ ส่งเสียง ออ ๆ อือ ๆ ไปตามเรื่อง  เพราะเพื่อนสนิทที่จากท่านไปนานตั้ง ๔๐ ปี แล้วกลับมาพบกันใหม่เพียงไม่กี่นาที  ท่านจะทราบได้อย่างไรว่าเขา เป็นบ้าหรือเปล่า  เพราะฉะนั้น  การพูดน้อยหรือไม่พูดเลยเป็นดีที่สุด

 เขาเล่าว่า

"ที่อั้วมาหาลื้อคราวนี้  ก็เพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีต่อคำสาบานระหว่างอั้วกับสุดา (คู่รักของมันซึ่งแต่งงานไปนานแล้ว) อั้วจำได้ว่าวันนั้นอั้วกับสุดาจุดธูปเทียนสาบานกันต่อหน้าลื้อเพื่อให้ลื้อเป็นทิพย์พยานความรักอันอภิมหาอมตนิรันดร์กาลของเราทั้งสอง   วันนี้อั้วมาอย่างผู้ชนะ....มาอย่างผู้ที่เหยียบโลกไว้ภายใต้อุ้งเท้า  อั้วจะขอร้องให้ลื้อช่วยติดต่อกับสุดา  ว่าบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้ไปอยู่กินร่วมกันอย่างที่เราฝันร่วมกันไว้  ลื้อจะช่วยหรือไม่ช่วยก็ให้ว่ามา" 



ข้าพเจ้าพานายมนต์ชัย (ลูกชายตาพจน์ ) ไปที่บ้านสามีของสุดา  และแสดงความจำนงแก่คนใช้ของบ้านนั้นว่า  ต้องการพบนายผู้หญิงของเขา  คนรับใช้คนนั้นก็ร้องบอกคนรับใช้อีกคนหนึ่ง  ว่า   "ไปบอกอี๊ว่ามีคนมาหา"  "อี๊นอนหลับ.....เมื่อคืนนี้เล่นไพ่จนดึก....คงปลุกไม่ได้หรอกประเดี๋ยวบ้านแตก"


คนรับใช้คนแรกจึงขึ้ไปปลุกเอง   สักครู่หนึ่ง  สุดาก็เดินมาที่ห้องรับแขกที่เรานั่งรออยู่  เธอไหว้ข้าพเจ้าโดยไม่จำเป็น  แต่ก็ทำให้ข้าพเจ้าสบายใจมาก  เธอถามข้าพเจ้าว่ามาเยี่ยมหรือ  หรือว่ามีธุระอะไรที่จะให้เธอรับใช้  ข้าพเจ้าจึงบอกเธอว่า  นายมนต์ชัยมาเยียม


"มนต์ชัยไหนคะ" 

"ก็ไอ้คนที่ผมเรียกมันว่าตาพจน์นั่นแหละเพราะพ่อของมันชื่อพจน์  เมื่อหลายสิบปีมาแล้วมันกับคุณเคยจุดธูปเทียน(มีเทียนหรือเปล่าข้าพเจ้าไม่แน่ใจ)อธิษฐานสาบานต่อหน้าผมว่า  จะรักกันไปตราบชีวิตหาไม่  แม้คุณจะแต่งงานกับเฮียมัีนก็จะรักคุณ  และจะรอวันที่คุณเป็นอิสรภาพ  ส่วนคุณเองก็สาบานต่อหน้าผมและมันว่า  แม้กายของคุณจะตกเป็นของสามี  แต่หัวใจของคุณยังเป็นของไอ้พจน์มันเสมอ ด้วยเหตุนี้ผมจึงพามันมา  เพื่อทบทวนคำสาบานที่คุณทั้งสองเคยมีแก่กัน  เรื่องนอกไปจากนี้ให้คุณทั้งสองพิจารณาตัดสินใจกันเอง  ผมไม่เกี่ยว  แต่จะเป็นสักขีพยานให้พอสมควรแก่อัตภาพของผม  ขออย่างเดียวเวลาที่สามีของคุณมาพบเราอยู่ที่นี่ขออย่าให้มีเลือดตกยางออกเกิดขึ้นเลย  เพราะผมเป็นคนรักสงบ  เมื่อไม่ควรมีเรื่องก็ขออย่าให้มีจะเป็นการดี"


สุดามองหน้ามนต์ชัยอยู่ครู่หนึ่ง  ข้าพเจ้าสังเกตเห็นเธอมองที่หัวกบาลของมันด้วยเพราะหัวของมันเริ่มล้านเข้าไปบานตะโก้  และพยายามระงับใจที่จะมองดูเสื้อผ้ากางเกงและถุงเท้าของมัน  ในที่สุดก็พูดขึ้นว่า


"ฉันลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวัยเด็กแล้ว  จำอะไรไม่ได้เลย  จำได้อย่างเดียวคือ  วันหนึ่งฉันตกท้องร่องที่ในสวนผัก  แล้วคุณก็ช่วยฉุดฉันขึ้นมาได้  ซึ่งฉันก็ขอบคุณอยู่เสมอ  และถือเป็นบทเรียนที่จะดูแลลูกไม่ให้ไปเล่นใกล้น้ำ  แต่เดี๋ยวนี้ฉันสบายใจแล้ว  เพราะโต ๆ กันหมดทุกคน" 


"เรื่องคำสาบานที่เ้ราเคยมีแก่กันนั้น  คุณสุจะว่าประการใด" ลูกตาพจน์ถาม  ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันกลั้นใจถาม  และเหงื่อแตกท่วมตัว

"คนเราเกิดมาย่อมมีหนทางของเราเอง  ใครจะไปนึกถึงว่าฉันจะมามีความเป็นอยู่แบบนี้  มีลูกสาวลูกชายที่ดีหลายคน ฐานะมั่งคั่งรำรวยมีเงินสดฝากธนาคารมากมาย  สมุดเล่มที่วางทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อยู่บนโต๊ะนี่ก็มียอดเงินฝาก  ๔๐ ล้าน (ในสมัยนั้นเหมือนมี ๘๐ ล้านในสมัยนี้) พอแม่ของฉันก็ตายตาหลับเพราะไม่ต้องห่วงฉัน  แม่ผัวฉันก็ตายตาหลับเพราะฉันมีหลานชายให้ท่านถึง ๓ คน ไม่ต้องกลัวว่าท่านจะสูญพันธุ์  ฉันเองก็หวังว่าคุณก็คงมีบุตรภรรยาเหมือนกัน  และภรรยาของคุณคงจะเป็นผู้หญิงที่น่ารัก  และน่าทะนุถนอมมีลูกชายลูกสาวที่สวยงามและอยู่ในโอวาททุกคน  เรื่องราวของเราสิ้นสุดลงนับตั้งแต่ฉันแต่งงานกับเฮียเขาแล้ว  ขอให้คุณลืมฉันเสียเหมือนกับที่ฉันลืมคุณนั้นเถิด" 


มนต์ชัยลูกตาพจน์ น้ำตาไหลพราก   แต่ไม่วายบอกว่า


"ลูกเมียผมก็เป็นคนดี  เมียผมเขาดีกับผมทุกอย่าง เอาอกเอาใจสารพัด  ตัองการอะไรเป็นตัองหามาให้ ขับรถเก่ง ใจกว้าง มีเพื่อนมาก เป็นนายกสมาคมศิษย์เก่า แม้แต่ทางการก็เกรงใจเขา ตำรวจก็เป็พวกเขามากมาย ใครถูกใบสังจราจร  เขาก็ช่วยได้ทุกที....นึกถึงเขาแล้วก็สบายใจ  แต่ก็ไม่วายเสียดายความรักของเรา  เพราะเป็นรักแรกพบ"


เขาหยุดไปครู่หนึ่งเพื่อเช็ดน้ำตา  แล้วจึงว่า


"เอาเถิด  ผมจะพยายามคิดว่าชาตินี้เราไม่มีวาสนา  ขอให้ชาติหน้าเราคงได้พบกันใหม่...ตอนนี้เฮีย.....เอ้อ  สามีของคุณไม่อยู่หรือ" 


"อ๋อ...เขาไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก  เขาต้องวิ่งเต้นค้าขายขึ้น ๆ ล่อง ๆ ระหว่างกรุงเทพฯกับโลกพระจันทร์  หลาย ๆ เดือนจึงจะกลับบ้านหนหนึ่ง โดยมากก็เป็นวันตรุษจีนและวันเช็งเม้ง"


"สมควรแล้ว" มนต์ชัยกับข้าพเจ้าพูดพร้อมกันเหมือนท่องอาขยาน

เมื่อเราเดินออกจากบ้านของเธอ มนต์ชัยกล่าวว่า "อั้วว่าสุดาเขาตัวใหญ่กว่าตอนนั้นถึง ๕ เท่า ไม่รู้เธอทำอย่างไรถึงใหญ่โตขนาดนี้" 

"อั้วว่า ๗ เท่า" ข้าพเจ้าเสริม  และว่าต่อไปว่า  "ถ้าลื้อแต่งงานกับเขาตอนนั้น  ตอนนี้ลื้อคงจะต้องวิ่งเต้นค้าขายขึ้นล่องระหว่างกรุงเทพฯ  กับโลกพระจันทร์เหมือนกันแหละ" 


"ได้ยินทีแรกนึกว่าท่าพระจันทร์.....ผัวเขาก็เป็นคนที่เราน่าจะเห็นใจมาก ๆ " 


"แม้นเว้ย"  ข้าพเจ้าพูด "เอ็งน่ะโชคดีมากที่ผัวสุเขาไม่อยู่และไม่รู้เรื่องนี้  ฟังจากสุแล้วผัวของเขาเป็นคนดีมาก  ยึดมั่นประเพณี ถ้าเขาอยู่และรู้เรื่องคำสาบานนี้  เขาอาจจะยกเมียเขาให้ลื้อทันทีเลยก็ได้...เอ้อ  แล้วเมียที่แสนดกับลูก ๆ ที่อยู่ในโอวาทของลื้อน่ะมาจากไหนกันเว้ย" 


"ไม่มีหรอก...อั้วยึดมั่นคำสาบานแต่พอเห็นเขาเข้าแว่บเดียวก็รู้ว่าเขาหมดอาลัยไยดีอั๊วแล้ว ไฟสวาทของเราดับมอดสนิทไม่มีเชื้อเหลืออีกต่อไป.....โธ่เว้ยความรัก....." 


 

 เพลง "สวัสดีความรัก"   


คำร้อง : เกษม  ชื่นประดิษฐ์
ทำนอง : สมาน  กาญจนะผลิน
ผู้ขับร้อง : สุเทพ วงศ์กำแหง



เข็ดเหลือดี จบทีความรัก
เบื่อนัก ลาแล้วความรักลาก่อน
สาบแสนไกล เอือมรักไม่แน่นอน
กามเทพกะล่อน แสนปลิ้นหลอกหลอนใจ

เทพพิเรนท์ ชอบเป็นสื่อรัก
ชั่วนัก ช่างสรรความรักมาให้
แกล้งชักนำ กามเทพใจร้าย
พารักลวงมาให้ หลอนหลอกได้กลัวใจจริง

จบเกมส์เสียที หนีไกลแสนไกล
ห่างสิ้นกลิ่นไอ ไกลสาปผู้หญิง
เจ็บนัก เจอะแต่รักไม่จริง
รักจากปากผู้หญิง เหมือนน้ำกลอกกลิ้งอยู่บนใบบอน

สาปเหลือใจ กลิ่นไอความรัก
เกลียดนัก สวัสดีความรักลาก่อน
อยากหนีหน้า โจนเข้าป่าดงดอน
หนีรักจอมกะล่อน รักปลิ้นปลอนเกมส์กันที

                                                                                                             Sampan Chanpa

                                     ___________________________________


วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

เจ๊กหัวเราะ บทสุดท้าย

                             เจ๊กหัวเราะ บทสุดท้าย


ต่อไปนี้เป็นเจ๊กท่านสุดท้าย  สมัยราชวงศ์เหม็ง  เกิดในรัชกาลพระเจ้าเจงเต็กฮ่องเต้ และได้เข้ารับราชการเมื่อพระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ครองแผ่นดิน  ได้ต่อสู้ชีวิต ตกระกำลำบากอยู่นาน สอบแข่งขันเข้ารับราชการหลายครั้ง  แต่ก็ไม่เคยได้ตำแหน่งเพราะพวกทำหน้าที่ ก.พ. สมัยนั้นรีดเอาเงินไม่ได้

แต่อาศัยที่เป็นคนมีความรู้  และมีโอกาศเป็นทนายให้ครอบครัว ตระกูลเตีย  ชนะคดีพวกกังฉิน  ต่อมาบุตรสาวตระกูลนั้นได้เป็นฮ่องเฮา คือ  มเหสีของฮ่องเต้  ท่านจึงได้รับการช่วยเหลือตอบแทนให้ได้เป็นขุนนาง  เรียกว่าได้เข้่าทำงานแบบมีเส้นสาย เรียกว่า "เด็กฝาก"ว่างั้นเถอะ


ท่านผู้นี้เป็นคนมีความรู้และซื่อสัตย์เที่ยงตรงพอ ๆ กับเปาบุ้นจิ้นสมัยราชวงศ์ซ้่อง เสียแต่
อุปนิสัยค่อนข้างใจร้อนและดื้อรั้นอยู่สักหน่อย  แต่ท่านก็เหมือนกับข้าราชการที่สุจริตทั่วไปไม่ว่ายุคสมัยใด  คือยากจน  เงินทองพอมีอยู่บ้างก็บริจากสร้างถนนหนทาง  บ่อน้ำสระน้ำศาลาที่พักคนเดินทาง  เรียกว่าทำกิจเพื่อส่วนรวมตลอดเวลา


อันที่จริงตำแหน่งหน้าที่ราชการของท่านตอนแรก ๆ ไม่ใหญ่ไม่โตอะไรนัก  แต่ทว่ามีความกล้าหาญสู้กับพวกกังฉิน  ซึ่งเป็นข้าราชการการเมืองระดับบิ๊ก ๆ จนตัวเองติดคุกและหวุดหวิดจะถูกประหารชีวิต


สมัยเงียมซงเป็นนายกรัฐมนตรี  มีลูกชายชื่อเงียมซือพวน  และเงียมซือพวนเป็นพวกเกย์ ชอบก่ออาชญากรรมวิตถารเป็นประจำ  ก็ถูกท่านผู้นี้ปราบเสียราบคาบ  แม้แต่ตัวเงียมซงนายกรัฐมนตรีเอง  ก็พบจุดจบด้วยการถูกประหารทั้งครอบครัวเพราะฝีมือของท่านด้วย


ทุกเรื่องที่ไม่ชอบธรรม ท่านผู้นี้จะเข้ายุ่งเกี่ยวทำความจริงให้ปรากฏตลอดมา  จนพระเจ้าแผ่นดินเกรงใจมาก  พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ถึงกับประทานเสื้อแดงลายมังกรชื่อ "ใต้อั้งเผา"
ให้เป็นเกิยรติยศ


เมื่อพระเจ้าบั้นและฮ่องเต้ ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากเสด็จเตี่ย ท่านผู้นี้ก็คงช่วยราชการแผ่นดินโดยไม่เห็นแก่เหนือยยาก  และด้วยความดีของท่าน พระเจ้าบั้นและฮ่องเต้  จึงพระราชทานเสื้อ "เซียวอั้งเผ่า" คือ "เสื้อมังกรห้าเล็บ"ให้เป็นเกียรติยศและทรงตั้งเป็นที่
"เซียวเบา"เห็นจะพอเทียบได้กับ "รัฐบุรุษอาวุโส"


ในการทำบุญแซยิดครบ ๑๐๐ ปี  มีขุนนางน้อยใหญ่ไปอวยพรคับคั่ง  ทั้ง ๆ ที่มิได้ออกบัตรเชิญ  และขณะนั้นท่านลาออกจากราชการไปอยู่ภูมิลำเนาเดิมอยู่แล้ว  แต่ชื่อเสียงเกียรติคุณก็มิได้ลดน้อยไปเลย


พวกที่ไปอวยพรวันเกิดต่างรินสุราคารวะท่าน  คนละสามจอกตามทำเนียมจีน  ท่านก็รับมาดืมพลางเล่าชีวิตการต่อสู้ในราชการให้ฟังว่าตั้งแต่อายุ ๒๗ ปีจนถึง ๑๐๐ ปีได้ผ่านชีวิตสำคัญ ๆ และลำเค็ญมาอย่างน่าหวาดเสียวอย่างไรบ้าง ท่านเล่าไปหัวเราะไปด้วยความเบิกบาน ในที่สุดก็หัวเราะกั้ก ๆ ไม่หยุดจนกระทั้งขาดใจตาย


เจ๊กสุดท้ายที่ท่านที่หัวเราะชอบอกชอบใจจนตายนี้ชื่อ "ไฮ้สุย"เชื้อสาบไหหลำ เป็นรัฐบุรุษอาวุโส  ในแผ่นดินใต้เหม็ง  เดี๋ยวนี้ยังมีอนุสาวรีย์อยู่ที่เกาะไหหลำครับ






                                                            _____________                                                      


Sampan Chanpa 



เจ๊กหัวเราะ ๓



                                       เจ๊กหัวเราะ ๓


ผ่านสายตาท่านผู้อ่านไปสองท่าน  คราวนี้มาถึงท่านที่สามในสมัยราชวงศ์ซ้อง   รัชกาลพระเจ้าจินจงฮ่องเต้  เจ๊กท่านนี้เป็นขันที  สังกัดราชสำนักฝ่ายใน  แซ่ตัน ชื่อหลิม มีความซื่อสัตย์สุจริตไว้ใจได้


เมื่อพระเจ้าซ้องจินจงฮ่องเต้    เสด็จราชการสงคราม  เล่าฮองเฮาเมียหลวงประสูติราชธิดา
ลีกุยฮุยเมียน้อยประสูติราชโอรส   แล้วก็เกิดกการอิจฉามารศรีกันขึ้น  ตามธรรมเนียมราชสำนักฮ่องเต้  เพราะเล่าฮ่องเฮาเมียหลวงเกรงว่า  ต่อไปลูกเมียน้อยจะได้เป็นกษัตริย์  จึงคิดกำจัดเสียแต่ต้นมือ


ขันทีคนหนึ่งชื่อ ก่วยหวย (ถ้าเป็นหนังจีนกำลังภายในต้องออกเสียงว่า กั๊วหวาย  หรือ  กั๊วไหว ) ยอดกังฉินให้ความร่วมมือ  ใช้แมวตายไปเปลี่ยนเอาราชโอรสให้นางกำนัลชื่อโขวหนึง
นำไปโยนบ่อ  แต่นางโขวหนึงทำไม่ลง  กลับมอบให้ตันหลิมขันทีพระเอกของเรา แอบไปฝากเจ้านายชั้นผู้ใหญ่เลี้ยงไว้


เรื่องเงียบไปยี่สิบกว่าปีเศษจนเปลี่ยนแผ่นดิน  เป็นพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ( ซ้องจินเป็นเตี่ย ซ้องยินเป็นลูก อย่าสับสน) ความจึงปรากฏขึ้นโดย เปาบุ้นจิ้น  ได้ข้อมูลมาใหม่และทูลพระเจ้าซ้องยินฮ่องเต้ ให้ทรงทราบ  จึงเกิดการชำระคดีลึกลับนี้


กวยหวยขันทีจอมโหด   ขณะนั้นอายุค่อนร้อยเข้าไปแล้ว  มีตำแหน่งใหญ่โตในราชสำนักเป็นถึง "มหาขันที" ตกเป็นจำเลยในคดี  แต่เจ๊กชราคนนี้ปากแข็งยืนยันว่าไม่รู้เรื่อง  แม้จะถูกเฆี่ยนตีทรมานสาหัสก็ไม่ยอมรับ  แถมยังพูดอวดดีว่า  ถ้าพระยาเงี่ยบเล่าอ๋อง  คือยมบาลถามจึงจะบอก


เมื่อจำเลยชี้ช่องทางดังนั้น  การชำระคดีแบบในหนังไทยเรื่องภิภพมัจจุราชจึงเกิดขึ้น  โดยพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้แต่องค์เป็น เงี่ยบล่ออ๋อง  เปาบุ้นจิ้นปลอมเป็นนายทะเบียนเมืองนรก เป็นผู้ซักถามปรากฎว่าได้ผล  กวยหวยยอมรับเป็นสัตย์เพราะกลัวกระทะทองแดง (เรื่องแบบนี้ใช้ในเมื่องไทยในปัจจุบันไม่ได้แน่ เพราะนัก (การเมือง)เลงใหญ่ไม่เกรงกลัวกฎหมายแต่เชื่อเถอะพวกนี้สดุดตีนตัวเองตายเองพวกอายุมาก ๆ กลัวแม้กระทั้งการนอนหลับ กลัวจะไม่ตื่น)


พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้  รับสั่งให้ประหารชีวิตกวยหวย  โดยให้ตันหลิมขันทีไปนั่งเป็นประธานที่แดนประหารด้วย ตันหลิม  ซึ่งได้ดีเมื่อแก่ คืออายุ ๙๒ ปี  ได้รับแต่งตั้งเป็น เกาเชยเกาส่วย  "มหาขันที" มีอำนาจบังคับบัญชาขันทีทั้งหมด


เมื่อกวยหวยถูกตัดคอแล้ว   ตันหลิมก็ได้บรรลุสัจธรรมว่า  คนที่มีตำแหน่งหน้าที่ยศศักดิ์ใหญ่โตอย่างกวยหวยควรจะรู้จักพอ  ถ้าจิตใจต่ำทรามประพฤติมิชอบมักต้องตายโหงด้วยคมอาวุธ  ถ้าคิดดีคิดชอบ อย่างเราคงถาวรวัฒนาไม่พบจุดจบแบบนี้



ตันหลิมนั่งคิดภาคภูมิใจหัวเราะฮา ๆ ได้ไม่กีฮา  ก็ขาดใจตายคาเก้าอี้  ซึ่งเป็นการตายแบบหัวเราะชอบใจ  เรียกว่าตายสบายได้แบบหนึ่ง


เกล็ดเล็กเกล็ดน้อน เกี่ยวกับ ตันหลิม



โจโฉ นักการเมืองเด่นดังในสมัย สามก๊ก ไม่เพียงแต่สันทัดในงานขีดเขียนหากยังสามารถรวบรวมบรรดานักประพันธ์ที่มีฝีมือดีไว้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งคนที่เคยคัดค้านท่านด้วย

ตันหลิมก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้น

ตันหลิมเป็นเสมียนของอ้วนเสี้ยว ขุนศึกที่มีความทะเยอทะยานและมีกำลังพลใหญ่โตที่สุดในสมัยนั้น ความเติบใหญ่ของโจโฉยังความหนักใจมากแก่อ้วนเสี้ยว จึงคิดจะจำกัดโจโฉเสีย

อยู่มาวันหนึ่งอ้วนเสี้ยวให้ตันหลิมเขียนประกาศกล่าวโทษโจโฉฉบับหนึ่ง

ตันหลิมทำตามคำสั่งของอ้วนเสี้ยว เขียนประกาศดังกล่าวเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วด้วยสำนวนโวหารอันคมคาย ประณามโจโฉจนไม่มีชิ้นดี รวมทั้งบรรพบุรุษของโจโฉด้วย

โจโฉมีโรคปวดศีรษะเป็นประจำ ขณะที่พวกบริวารนำเอาหนังสือกล่าวโทษที่ตันหลิมเขียนขึ้นนั้นมาให้อ่าน ก็ตรงกับเวลาที่โรคปวดศีรษะของโจโฉกำเริบพอดี โจโฉจึงต้องนอนอ่านบนเตียง

เนื่องจากบทความนั้นเขียนได้ดีมาก โจโฉยิ่งอ่านก็ยิ่งตื่นเต้น ศีรษะก็พลอยหายปวดไปด้วย จึงยืนขึ้นมาแล้วพูดว่า

"เขียนได้ดีมากๆ ทำเอาโรคปวดศีรษะของข้าพลอยหายไปด้วย"

พออ่านไปถึงตอนที่ตัวเองถูกด่าเจ็บๆ โจโฉก็โกรธเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรก็ยังนิยมชมชอบลีลาการเขียนของตันหลิม และรู้สึกเสียดายที่คนดีๆ อย่างนี้ต้องไปรับใช้อ้วนเสี้ยว

เหตุนี้เอง เมื่อโจโฉพิชิตอ้วนเสี้ยวได้ก็ส่งคนไปหาตัวตันหลิมมาใช้งานโดยไม่ถือโทษ ทั้งยังให้ทำหน้าที่ยกร่างเอกสารสำคัญๆ ของทางราชการ ต่อมาโจโฉเคยถามตันหลิมว่า "เมื่อครั้งที่ท่านเขียนหนังสือกล่าวโทษข้าน่าจะกล่าวโทษข้าแต่ผู้เดียวก็พอแล้วไฉนจึงลามปามไปถึงท่านพ่อท่านปู่ของข้าด้วยเล่า"

ตันหลิมหน้าแดงและตอบว่า "ขณะนั้นข้าน้อยอยู่ใต้บังคับบัญชาของอ้วนเสี้ยวเขาสั่งให้ข้าน้อยเขียนก็ต้องเขียนประหนึ่งลูกธนูขึ้นสายเต็มเหนี่ยวจำต้องยิงออกไป"

โจโฉเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะดังก้อง ความใจกว้างของโจโฉทำให้ตันหลิมยิ่งตื้นตันใจหลังจากนั้นโจโฉก็มิได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย





                                                                                                           Sampan Chanpa

                                                                ___________________________________________________________

เจ๊กหัวเราะ ๒



                                                               เจ๊กหัวเราะ ๒


ตอนที่แล้วผมพูดถึง โจโฉ หัวเราะจนเกือบตาย วันนี้ผมจะกล่าวถึงเจ็กท่านที่สองอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง  มีชีวประวัติการต่อสู้โชกโชน  เป็นนักเลงอันธพาลประจำถิ่นเป็นพ่อค้าค้าเกลือเถื่อนจนติดคุก  เป็นโจรปล้นเงินหลวง  เป็นนักปฏิวัตตอนปลายราชวงศ์ซุย  ถูกเพื่อนฝูงยกย่องให้เป็นอ๋องหัวหน้าก๊กสำคัญ  ภายหลังเข้ารับราชการเป็นทหารเอกของ  พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้  ท่านผู้นี้ชื่อ  "เทียนกากิม"


เทียนกากิม มีตำแหน่งสูงถึง หลูก๊กกง และอายุยืนอยู่หลายแผ่นดิน  คือตั้งแต่พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ถึงพระเจ้าถังตงจงฮ่องเต้  ตายเมื่ออายุได้ ๑๒๐ ปี


เมื่อรัฐบาลพระนางบูเช็คเทียนฮ่องเต้  กษัตริย์หญิงองค์แรกและองค์เดียวของเมืองจีน  ถูก "ซิกัง"  กับพวกยึดอำนาจแล้ว  จากนั้นก็เกิดการล้างแค้นจับพวกกังฉินผ่าอก  เซ่นวิญญานเตี๋ยและญาติพี่น้องของหัวหน้าคณะปฏิวัติ   และจัดเลี้ยงฉลองกันเอิกเกริก


ขณะกินเลี้ยงเทียนกากิม  ซึ่งเป็นที่ปรึกษาคณะปฏิวัติ  นั่งลูบหนวดยิ้มกริ่มด้วยความภาคภูมิใจรำพึงว่า  "ตัวของเราตั้งแต่หนุ่มจนแก่  ผ่านชีวิตมาอย่างโชคโชน  เพื่อนร่วมสาบานก็ไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้หมดแล้ว  เหลือแต่เราคนเดียว  อายุถึง ๑๒๐ ปีก็ยังเตะปี๊บดัง  ได้คบกับพวกแซ่ซิมาถึงห้าชั่วคน   นับว่าเราเป็นคนมีบุญและอายุยืนหลาย" คิดไปคิดมาชอบใจหัวเราะก๊าก ๆ จนขากรรไกรค้างตายคาเก้าอี้



                                                       
                                                        พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้



                                                                 เทียนกากิม

                                                                                                             Sampan Chanpa

                                                        _____________________

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

เจ็กหัวเราะ



                                                    เจ็กหัวเราะ



มนุษย์เรา  หรือมนุษย์เขาก็ตาม  เมื่อเกิดอารมณ์บางสิ่งบางอย่างมักจะแสดงอาการออกมาให้ปรากฏ  นั่นคือการหัวเราะที่ชาวบ้านเรียกว่าหัวร่อ  มีอาการต่าง ๆ กัน  เช่น  หัวเราะฮ่า ๆ หรือหัวเราะก๊าก  หรือหัวเราะคิก ๆ หรือหัวเราะงอหาย  หัวเราะจนเหยี่ยวราด  หัวเราะจนน้ำตาเล็ด ฯลฯ


ส่วนหัวเราะแบบนิยายจีนกำลังภายใน  ก็ต้องหัวเราะเคี้ยก ๆ ซึ่งเป็นอาการหัวเราะของพวกมารร้ายฝ่ายอธรรม


ทางการแพทย์บอกว่า  การหัวเราะทำให้ประสาททุกส่วนคลายความเคลียด  อารมณ์แจ่มใสเบิกบาน  ถ้าหัวเราะทุกวันจะทำให้อายุยืน  ใครอยากอายุยืนก็หาอะไรมาอ่านหรือสร้างความสนุกสนานกันไป  แต่ถ้าเรานั่งอ่านเรื่องขำ ๆ คนเดียวแล้วหัวเราะคนเดียว เป็นเวลานาน ๆ  ระวังเขาจะหาว่าเราบ้า ! 


เอาละครับเพ้อเจ้อมาพอสมควรแล้ว  จากนี้ผมจะพาไปพบกับ"เจ็กหัวเราะ" เจ็กที่จะเขียนถึง เป็นเจ็กมีอันดับรวมสี่ท่าน (สาเหตุที่ต้องใช้สรรพนามว่า ท่าน เพราะท่านเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดา)  ท่านหนึ่งเป็นนักการเมื่องและนักการทหารชื่อดังเมื่อเกือบสองพันปีมาแล้ว  อีกท่านหนึ่งเป็นนายทหารชั้นนายพลเหมือนกัน แต่คนละยุค  และเป็นนักปฏิวัติทั้งคู่  ส่วนอีกสองท่านเป็นฝ่ายบุ๋น  ท่านหนึ่งเป็นข้าราชสำนักภายใน  อีกท่านหนึ่งเป็นรัฐบุรุษอาวุโส


เจ็กท่านแรก  คือ โจโฉ ซึ่งอยู่ในสมัยราชวงศ์ฮันตอยปลาย  ท่านมีตำแหน่งเทียบได้กับนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุด  ในรัชสมัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้  โจโฉเป็นนักการเมื่องและนักการทหารที่มีความสามารถมาก (ไม่เหมื่อนนายทหารบางคนในเมื่องไทยที่ไม่รู้หน้าที่ของตนเอง ไม่อยากจะใช้คำว่าขี้ขลาดหรอกนะใช้ว่าเป็นโรคขึ้ขึ้นสมองมากกว่า )  เคยรบทัพจับศึกมานับครั้งไม่ถ้วน



แต่การทำศึกทางเรือที่เมืองกังตั๋ง โจโฉแพ้ยับ ผมจำได้แม่นยำ กระทรวงศึกษาธิการนำเอาเรื่องสามก๊กตอน  " โจโฉแตกทัพเรือ " มาใช้หลักสูตรมัธยมสาม มาให้ผมเรียนด้วยแถมทางโรงเรียน ( สหวิทย์ สุพรรณบุรี ) ) ยังได้จัดการแสดง งิ้ว (อุปรากรจีน) ให้พวกกระผมได้มีโอกาสแสดงอีกด้วยผมจึงจำเรื่องสามก๊กตอนนี้ได้แม่นยำไม่เคยลืม  การศึกคราวนั้นโจโฉเสียทหารถึงหนึ่งล้านคนเรียกว่าแพ้แบบหมดสภาพ  แต่โจโฉก็ยังมีอารมณ์ขันหัวเราะเยาะข้าศึกถึงสามครั้ง


ครั้งแรกขณะที่หนีซมซานไปกัีบทหารส่วนหนึ่งใกล้ถึงตำบลฮัวหลิม  โจโฉนึกขันขึ้นมาแหงนหน้าหัวเราะแบบเย้อฟ้าท้าดิน   พวกทหารที่ติดตามจึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า "แพ้กระเจิงมายังมีอารมณ์ขันอีกหรือท่านนายกฯ...?


" เออว่ะ มีอะไรหรือเปล่า อั๊วหัวเราะเยาะขงเบ้งกับจิวยี่  เพราะมันสมองนิ่มทั้งคู่ ถ้าเป็นอั๊วจะเอาทหารมาซุ่มไว้ตรงนี้สักหมู่หนึ่ง  พวกเราก็คงจะเสร็จมันแน่ " โจโฉพูดแล้วก็หัวเราะร่วน


พอโจโฉพูดไม่ทันจะขาดคำ  ก็ได้ยินเสียงประทัด  และเห็นนายพลจูล่งคุมทหารออกโจมตี โจโฉพาทหารเผ่นแน่บ  จนถึงตำบลโลก๊ก  ทุกคนเปียกฝนหนาวสั่น  โจโฉจึงสั่งให้หยุดพักถอดเสื้อกางเกงตากแดดแล้วหุงหาอาหารกินกัน  แต่อาหารยังไม่ทันจะสุก  โจโฉเจ้าเดิมซึ่งนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ก็หัวเราะก๊ากออกมาอีก


"เมื่อใกล้สว่างท่านนายกฯ   หัวเราะและมีเรื่องมาครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้ท่านนายกขำอะไรอีกละครับ ?"


"ก็หัวเราะเยาะไอ้จิวยี่กับขงเบ้งนั่นแหละ  มันคิดโง่ ๆ"  โจโฉพูดพลางหัวเราะพลาง "ถ้าเป็นอั๊วก็จะเอาทหารมาสะกัดไว้ตรงนี้....."


แต่โจโฉไขเหตุที่หัวเราะข้าศึกยังไม่ทันจบ  เตียวหุยก็คุมทหารโผล่จากป่าว้ากเพ้ยเข้าใส่ โจโฉเลยต้องเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต


ครั้งสุดท้ายที่โจโฉหนีกระเซอะกระเซิงถึงตำบลฮัวหยง  ก็เกิดอารมณ์ขันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมาอีก  แต่คราวนี้ทหารที่ติดตามมาไม่ขำด้วยเพราะเห็นขำทีไรมีเรื่องมาสองครั้งแล้ว


"ถูกเส้นอะไรอีกล่ะท่านนายกฯ หัวเราะร่วนเดี๋ยวก็มีเรื่องอีกจนได้"  โจโฉก็ตอบอย่างเดิมว่า "หัวเราะเยาะจิวยี่กับข้งเบ้งโว้ย  มันโง่มากไอ้สองคนนี่  ฝีมือคนละชั้นว่ะ  ถ้ามันเอาทหารมาดักที่นี่  พวกเราก็จอดไม่ต้องแจว"


การหัวเราะครั้งที่่สามของโจโฉเจอกับขุนพลกวนอู  เกือบเอาชีวิตไม่รอด  ดีแต่ว่ากวนอูไม่อาจเนรคุณโจโฉ  จึงยอมปล่อยตัวไปทั้ง ๆ ที่เอาหัวเป็นเดิมพันไว้กับขงเบ้ง


โจโฉหัวเราะ  พร้อมกับพูดดูหมิ่นสติปัญญาของข้าศึกไปด้วยทุกครั้ง  แสดงว่าโจโฉมีความคิดลึกซึ้งมิใช่น้อย  แต่บังเอิญข้าศึกอย่างขงเบ้งกับจิวยี่ก็มิใช่ธรรมดา จึงทำเอาโจโฉเกือบตาย


            วันนี้จบแค่นี้ก่อนนะครับ



                                                           

  Sampan Chanpa


วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

คุณหนูที่รัก

                                                      คุณหนูที่รัก


"อุดมเอ๋ย" พ่อของเขาพูดกับเขาด้วยเสียงแจ่มใส่ ไม่มีลักษณะเหมื่อนคนที่กำลังจะตาย ในสองสามนาทีต่อมาเลย   "พ่อรักเอ็งมากขนาดไหน เป็นการยากที่เอ็งจะรู้ได้  ตอนที่เอ็งเกิดมานั้น พ่อวานเพื่อนคนหนึ่งผูกดวงดู แก่บอกว่าในชีวิตนี้ เอ็งจะต้องยากจนถึงกับอดยากอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นแล้วจึงจะสบาย แก่แนะนำให้พ่อตั้งชื่อของเอ็งว่า อุดม เพื่อให้ชีวิตเอ็งอุดมสมบูรณ์ต่อไป"

พ่อของอุดมเงียบไปอึดใจหนึ่ง  เหลือบมองไปทางประตูบ้านยิ้มน้อย ๆ แล้วพูดว่า  " อ้าว...อ้อ...มากันแล้วหรือ...เราไปกันเถอะ...จงเป็นคนที่มีคุณธรรมนะเอ็ง"

ท่านพูดจบก็หายใจออกเรื่อย ๆ และผายลมเสียงดังสนั่น  จนเตียงสั่นสะเทือน และมีเสียงเรอสองสาม
ครั้ง  ก็เงียบเสียง  อุดมวิ่งไปบอกนายแพทย์ข้างบ้าน  ท่านก็รีบมาดูและบอกว่าพ่อตายแล้ว ไม่ต้องเสียใจ ให้รีบบอกพี่ ๆ และญาติมาช่วยจัดการศพ ท่านสั่งด้วยว่า ถ้ามีอะไรก็ไปบอกได้

งานศพพ่อของอุดมผ่านไปอย่างรวดเร็ว  หลังจากสวดครบ ๗ วันก็เผา พิธีกรรมหลังจากนั้น เป็นเรื่องที่บาดตาบาดใจอุดมอย่างยิ่ง  เขารู้สึกว่าไม่มีงานอะไรในโลกนี้   ที่จะน่ากลัวและเศร้าโศกเสียใจยิ่งกว่างานศพ เพราะแม้แต่สัปเหร่อสามีภรรยาคู่นั้นก็แต่งชุดดำ  และมีท่าทางเหมื่อนคนในภาพยนตร์เรื่องผี

อุดมอยู่บ้านคนเดียวต่อมา  เขาอยู่บ้านชั้นเดียวค่อนข้างเก่า  มีสองห้องเท่านั้น และมีครัวต่างหาก ไม้พื้นครัวค่อนข้างเก่าและผุ มีรูหนูแทะไว้ด้วย  แต่อุดมไม่มีปัญญาที่จะทำอะไรให้ดีกว่านั้นได้ ขณะนั้นเขาอายุ ๑๘ ปี การคิดจะเรียนต่อก็หมดหนทางที่จะเป็นไปได้ เพราะการเป็นนักเรียนนักศึกษาจะต้องมีผู้ปกครอง  ในเมื่อไม่มีใครยอมเป็นผู้ปกครองให้เขา ก็เป็นอันไม่ได้เรียน

นายแพทย์ที่ดูแลรักษาพ่อของเขาจนวาระสุดท้าย  สอนเขาว่า ถ้าเขายังไม่มีงานทำ  หรือยังไม่ร่ำรวย จงอย่าขายบ้านเป็นอันขาด  เพราะการไปเช่าบ้านเขาอยู่  จะทำให้เดือดร้อนหนักเข้าไปอีก  ท่านว่า

" อุดม...แม้เธอจะไม่มีข้าวกิน...มีผ้าขาวม้าผืนเดียวนุ่งอยู่กับบ้าน...แต่ตราบใดที่เธอยังมีบ้าน เธอจะไม่กลายเป็นขอทานหรือคนจรจัด "


พ่อทิ้งเงินสดไว้ให้เขาก้อนหนึ่ง  เขาไม่กินข้าวเช้า นอกจากขนมครกกับกาแฟร้อน  ทั้งนี้ เพื่อประหยัดค่าครองชีพ  มื้อกลางวันกินข้าวแก้งจานเดียว และกินจนเกลี้ยงจาน ไม่ว่าจะเป็นมะเขือ พริก และใบมะกูด  แม่ค้าขายข้าวแกงเคยมองเขาด้วยความพิศวง  แล้วกลายเป็นความสงสาร  ต่อมาแกจึงตักข้าวให้เขามากหน่อย  ราดน้ำแกงจนโชค โดยมากเป็นแกงคั่วส้มผักบุ้ง ซึ่งค่อนข้างราคาถูก มีหมูสามชั้นสองชิ้น แต่ผักบุ้งก็เป็นประโยชน์แก่ดวงตาของเขา  ข้าวก็ทำให้เขามีกำลังที่จะเดินหางานทำต่อไป มื้อเย็นเขาแวะกินข้าวสวยกับเกาเหลาก่อนเข้าบ้าน รายจ่ายแต่ละวันของเขาไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม  เขาก็ยังไม่ได้งานทำ เขาพยายามไปสมัครงานตามบริษัทต่าง ๆ ส่วนมากเป็นงานรับใช้ส่งหนังสือในสำนักงาน เดินจากโต๊ะนั้นไปโต๊ะนี้ ส่วนงานส่งหนังสือนอกสำนักงานนั้นทำไม่ได้เพราะเขาขับรถไม่เป็น ถ้าจะทำหน้าที่นั้นต้องโดยสารรถเมล์ ซึ่งเสียเวลามาก  นอกจากนั้น  บริษัทยังพิจารณาผู้สมัครที่มีรถจักรยานยนต์ของตนเองเป็นพิเศษ

เวลา ๖ เดือน  นับตั้งแต่พ่อตายผ่านไปอย่างรวดเร็ว   เขามีสตางค์เหลืออยู่ไม่กี่ร้อยบาท  แต่ยังมีขวัญดีอยู่ แต่เมื่อเงินนั้นร่อยหรอลงจนบาทสุดท้าย เขาจึงรู้ว่า  สภาพของคนที่ไม่มีสตางค์เลยนั้นเป็นอย่างไร  รองเท้าสึกมากและรูปทรงชักจะเละเทะ จนแทบไม่เป็นรองเท้า กางเกงก็เริ่มเก่า เสื่อปกก็เริ่มขาดแล้ว เขารู้สึกว่าแต่งตัวเริ่มซอมซ่อมากเมื่อออกจากบ้าน  เขาเสียใจที่อยู่ด้วยความสุขสบายมาตั้ง ๑๘ ปี
พ่อตายเพียง ๖ เดือนเขาลำเค็ญถึงเพียงนี้เชียวหรือ..... ใครหรืออะไรจะช่วยได้บ้างไหม...ความคิดที่จะไปหาญาติไม่มีอยู่ในใจเขาเลย  เพราะเขารู้ว่าญาติจะไม่ช่วย อย่างน้อยสามีของญาติ จะแสดงความรังเกียจอย่างยิ่ง และ ภริยาของญาติก็จะมองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม เขาหยุดออกจากบ้านไปหางานทำ เพราะไม่มีค่ารถและค่าอาหาร เขาเคยได้ยินพ่อของเขาพูดกับเพื่อนของท่านว่า เวลาหิวให้กินน้ำมาก ๆ แล้วก็นอนหลับเสีย เมื่อตื่นขึ้นมาจะผ่านพ้นสภาพนั้นไปได้ ถ้ายังไม่หายหิว ก็กินน้ำเขาไปเรื่อย ๆ แต่ต้องรู้จักพอ เพราะการกินน้ำมากเกินไปจะไม่ดีนัก


อุดมไม่ได้กินข้าวสามวัน  ที่น่านิยมที่สุดก็คืออุดมไม่เคยคิดหาเงินในทางทุจริต  รวมทั้งการไปเที่ยวขอ หรือขอยืมใคร ๆ เลย  เวลาที่อุดมอยู่ที่บ้านเขานุ่งผ้าขาวม้า เพราะมีเสื้อกางเกงอยู่ชุดเดียว และรองเท้าซึ่งพื้นทะลุแล้ว  เขาซักเสื้อกางเกงด้วยความปราณีต  เพราะว่าถ้าขาดหลุดลุ่ยหมดทั้งตัวจะไปไหนไม่ได้เลย เมื่อเขายังดี ๆ อยู่นั้น เขาเคยเอาเสื้อกางเกงเก่า ๆ ของพ่อให้ญาติบางคนที่ยากจน แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครให้เสื้อกางเกงเขาเลย  ของในบ้านเขาก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแล้วเพราะเขาเอาไปจำนำหมด เพื่อซื้อข้าวกิน


คืนวันที่ ๔ ที่เขาอดอาหาร เขาตื่นขึ้นมาในเวลาตี ๒ เพราะได้ยินเสียงระฆังจากยามหัวถนน เขาเดินเข้าไปในครัว ซึ่งว่างเว้นไม่ได้ทำอาหารมานานแล้ว ตั้งแต่ไม่มีพ่อ  แม่ของเขาแยกทางกับพ่อตั้งแต่เขายังเด็กมาก จนจำใบหน้าท่านไม่ได้ และที่บ้านของเขาก็ไม่มีรูปถ่ายแม่อยู่เลยด้วย เขาเดินไปนั่งยอง ๆ เพื่อปัสสาวะลงทางล่องซึ่งทำไว้เทน้ำทิ้ง  แล้วเขาก็เห็นอะไรอยู่ในความมืดนั้น  เมื่อเขาหยิบขึ้นมาดูก็รู้สึกได้ทันทีว่าเป็น ธนบัตรฉบับละ ๒๐ บาท และ ๑๐ บาท รวมกันแล้วเป็นเงิน ๕๐ บาท (ถ้าในสมัยนี้ก็มีค่าประมาณ ๕๐๐ บาทโดยประมาณ)  

เขานอนไม่หลับ  นึกถึงพ่อที่ตายไปแล้วจนขนลุกซู่ไปทั้งตัวแน่แล้ว เงินนี้พ่อคงจะเอามาวางไว้ให้เขาซื้ออาหารกิน ให้ทันไม่อดตายเสียก่อน อุดมขวัญดีขึ้นมาก  แม้ว่าเงินนั้นจะไม่มากและไม่ใช่รายได้ประจำ ไม่มีที่มา ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่เขาก็ซื้ออาหารกินได้หลายวัน


เช้าวันหนึ่ง เขาเดินไปในครัว  เพราะเขาไม่ได้ตื่นดึก ๆ มาหลายคืน เขาพบว่าที่ล่องเทน้ำทิ้ง ซึ่งเขาอาศัยเป็นที่ปัสสาวะในตอนดึก ๆ นั้น เห็นมีธนบัตรเก่าและใหม่ว่างอยูหลายฉบับ และเปรอะเปื้อนเล็ก ๆ น้อย ๆ คราวนี้เป็นเงินเกือบ ๑,๐๐๐ บาท (ค่าของเงินถ้าคิดในเวลานี้ก็เกือบ ๑๐,๐๐๐บาท) เขารวบเงินนั้นมาทั้งหมด แล้วอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่มีอยู่  ไปหาซื่อเสื้อกางเกงผ้าหนา ๆ ได้ ๒ ชุด และรองเท้า ๒ คู่ เขาจะเริ่มออกหางานทำอีก เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาคิดว่า เขาจะหางานทำได้ในระยะนี้ เพราะการที่อยู่ ๆ มีเงินมาวางไว้ในบ้านก็แสดงว่าโชคดีอยู่แล้ว เล่าให้ใครฟังก็ไม่น่าจะมีใครเชื่อ

อุดมใช้เงินจำนวนที่มาว่างอยู่  โดยไม่ปรากฏตัวผู้นำมานั้นไปเรื่อย ๆ เพราะเช้าขึ้น เขาจะไปดู และพบธนบัตรไม่ ๒๐ บาท ก็ ๓๐ หรือ ๔๐ บาท อันเป็นจำนวนมหาศาลมากมาก เพราะปลาหมอเทศทอดกรอบตัวใหญ่ ๆ ในสมัยนั้นที่ตลาดประตูน้ำ ราคา ตัวละ ๒ บาทเท่านั้น  แถมน้ำจิ้มด้วย อุดมหน้าตาแจ่มใสขึ้น เขาออกจากบ้านทุกเช้า และกลับบ้านเย็น ๆ อย่างเดียวกับคนที่มีงานทำทั้งหลายที่เขาปฏิบัติกัน

วันหนึ่ง อุดมก็ได้งานทำที่ร้านขายเสื้อกางเกงทันสมัยแห่งหนึ่ง เจ้าของได้จ่ายเสื้อผ้าสำหรับเขาแต่งไปทำงาน ๒ ชุด ให้ทำเนื้อตัวให้สะอาด  และแนะนำวิธีเสนอขายของแก่ลูกค้า โดยไม่ให้ลูกค้ารำคาญ เขาเรียกเจ้าของว่านายห้าง  เขาทำงานวันเสาร์ด้วย  และแม้เลิกงานตอนเที่ยงวันเสาร์แล้ว เขาก็ยังไม่กลับบ้าน เขาเล่าให้นายห้างของเขาฟังว่า เขาไม่มีงานทำจนถึงกับอดข้าวอยู่หลายวัน กินแต่น้ำ

นายห้างบอกว่า ถ้าเขาเป็นคนซื่อสัตย์ และนิสัยความประพฤติดี เขาจะทำงานที่นั่นได้นานจนกว่าจะถูกเกณฑ์ทหาร และเมื่อฝึกงานที่ร้านนั้นดีแล้ว นายห้างจะฝากงานให้ทำที่ธนาคารแห่งหนึ่งโดยจะช่วยรับรองให้ อุดมทำตัวเองเสมือนคนรับใช้ของนายห้างมากกว่าที่จะเป็นลูกจ้างขายของหน้าร้าน เขารู้ว่าอนาคตของเขามีหวังก้าวหน้าต่อไปแล้ว  เขาไม่วิตกกังวลอีกต่อไป   และพยายามหาเวลาว่างเรียนหนังสือเพิ่มเติม เพื่อให้มีความรู้เพิ่มขึ้นตามสติปัญญา


ระยะตั้งแต่เขามีงานทำ  ไม่มีธนบัตรมาปรากฏที่ช่องทิ้งน้ำในครัวเลย เขาคิดว่าเหตุการณ์นั้นอยู่เหนือการคาดเดาของเขา  แต่ก็ช่วยให้เขามีกำลังใจและเชื่อมั่นในคุณงามความดียิ่งขึ้น  เวลาที่เขาอยู่คนเดียวว่าง ๆ  หรือนอนไม่หลับในเวลาดึก ๆ เขาชอบนึกพูดคุยกับพ่อของเขาเสมอ เพราะพ่อของเขาตายเมื่อเขารุ่นหนุ่มแล้ว และแม่ก็ไม่มี เขาจึงได้คุยกับพ่อมาก โดยเฉพาะในเวลากินข้าวด้วยกันทุกมื้อ เขาได้รู้เรื่องราวต่าง ๆ  ในโลกนี้จากพ่อของเขามาก เพราะพ่อเคยไปในป่าเคยบวชเป็นพระ และเคยไปต่างประเทศ พ่อมีความรู้รอบตัวมาก เพื่อนของพ่อก็เป็นขุนนางมีบรรดาศักดิ์ พ่อไม่เคยห้ามเขานั่งฟังผู้ใหญ่พูดคุยกัน และในวงสนทนานั้นก็ไม่เคยพูดเรื่องสัปดนอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น เขารู้สึกเหมื่อนอยู่ในห้องเรียน ที่มีอาจารย์ใหญ่เข้ามาสอนพิเศษ ในชั่วโมงที่ครูประจำวิชาไม่เข้าห้องสอน ซึ่งเขารู้สึกว่าวิชาที่ครูใหญ่มาสอนให้นานทีปีหนนั้น ทำให้เขาสดชื่นใจอย่างยิ่ง เพื่อน ๆ ก็คงรู้สึกอย่างเดียวกัน เพราะทุกคนรักครูใหญ่ ความรู้ที่ครูใหญ่สอนให้เป็นพิเศษนั้นเป็นความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ  แต่มีค่าแก่การครองชีวิตของเขามาจนทุกวันนี้

อุดมทำงานที่ห้างขายเสื้อผ้าเล็ก ๆ นั้นหลายเดือน เขามีความเป็นอยู่ดีขึ้น เสื้อผ้าในร้านของเขามีฝรั่งมาซื้อกันมาก  อาศัยที่เขาเป็นคนขวนขวายหาความรู้  เขาสามารถพูดกับฝรั่งลูกค้าที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ตามสมควร นายห้างรักเขามากขึ้น เราทราบจากบุตรภรรยาของท่าน ตลอดจนพนักงานที่นั่นว่านายห้างของเขามีชื่อเรียกเล่น ๆ ว่า " คุณหนู "

ครั้งแรกที่เขาทราบอย่างนี้ เขารู้สึกขนลุกซู่ด้วยความปลื้มปิติยินดีอย่างบอกไม่ถูก  และไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ  แต่เขารู้สึกว่าเขาสนิทสนมกับ " คุณหนู " นายห้างของเขามากขึ้น และไว้ใจท่านเหมื่อนพี่ป้าน้าอา


อุดมยังไม่มีเงินมากพอที่จะซ่อมบ้านให้ดีขึ้น  คืนหนึ่งเป็นคืนเดือนหงาย  อุดมตื่นขึ้นเพราะปวดปัสสาวะ เขาลุกขึ้นเดินไปที่ครัวตามเคย สายตาของเขาที่มองไปยังล่องเทน้ำทิ้ง ก็เห็นหนูตัวหนึ่งโผล่ออกมา เป็นหนูธรรมดาที่ชาวบ้านรังเกียจนั่นเอง  ในปากของหนูตัวนั้นคาบอะไรออกมาด้วย  หนูเหลียวไปเหลียวมาอย่างช้า ๆ  แล้วว่างของนั้นไว้ปากล่อง และหายไปอย่างรวดเร็ว

เขาเดินช้า ๆ และเบา ๆ ไปที่ล่องนั้น  ก้มลงหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาดู.....จากแสงนวนกระจ่างของดวงจันทร์ สิ่งที่เขาเห็นหนูคาบมาวางไว้ปากล่องนั้น คือ ธนบัตรใหม่เอี่ยมฉบับละ ๕ บาท ๓ ฉบับ  มีรอยเปื้อนเล็กน้อย เอาผ้าเช็ดก็มองเห็น

เขารู้เรื่องราวตลอดปลอดโปร่งในเวลานั้นทันที เงินที่เขาได้ซื้อข้าวกิน และซื้อเสื้อ กางเกงและรองเท้ามาใช้เดินหางานทำจนได้ทำงานนั้น มาจากหนูตัวนี้นี่เอง เขาน้ำตาคลอ ตัวสั่นน้อย ๆ ด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้นขึ้นมา  เขาลูบคลำธนบัตรฉบับละ ๕ บาททั้งหมดนั้นอย่างเลื่อนลอย  และคิดว่าจะเอาไปใส่กรอบไว้และปิดทองที่กระจกกรอบนั้น  เอาไว้บูชาตลอดชีวิต  เขาคิดว่าเมื่อเขาลืมตาอ้าปากได้  เขาจะซื้อทองให้ช่างทำเป็นรูปหนูเอาไว้บูชา

           " ขอได้รับความขอบคุณจากผมนะครับ.....คุณหนู" 
                                      Sampan Chanpa

                     _________________________ 








วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

เที่ยวท่อง ล่องไพร.. ไปกำแพงเพชร



                                     ชมธรรมชาตที่....อุทยานฯ  คลองลาน  
    
     ช่วงฤดูฝนอย่างนี้หนีไม่พ้นที่ผู้รักการท่องเที่ยวสนใจจะไปท่องเที่ยวอุทยานฯ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าจะไปสัมผัสกับต้นไม้เขียวชอุ่มและน้ำตกที่มีน้ำเต็มปรี่

      อุทยานแห่งชาติคลองลาน  ตั้งอยู่ในเขตตำบลคลองลานพัฒนา  ตำบลคลองน้ำไหล และตำบลโปร่งน้ำร้อน  มีเนื้อที่ 187,500 ไร่ ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2525 มีสภาพป่าที่สมบูรณ์ประกอบด้วย ป่าเต็งรัง ป่าดงดิบแล้ง  และป่าเบญจพรรณ สัตว์ป่านานาชนิด ไม่น้อยกว่า 265 ชนิด 81 วงศ์ เป็นป่าต้นน้ำของลำธารหลายสาย เช่น คลองขลุง คลองสวนหมาก คลองลาน และคลองน้ำไหล  ไหลรวมกันสู่แม่น้ำปิงสภาพป่าส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบผสมป่าเบญจพรรณบนเทือกเขาสลับซับซ้อนภูเขาแต่ละลูกเชื่อมโยงติดต่อกับขุนเขาคลองลาน ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในบริเวณนี้ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,439 เมตร


        น้ำตกคลองลาน  เป็นน้ำตกขนาดค่อนข้างใหญ่ซึ่งเกิดจากเทือกเขาขุนคลองลาน ซึ่งมียอดสูง 1,439 เมตร จากระดับน้ำทะเลเหนือหน้าผาน้ำตกเป็นที่ราบกว้าง  ในฤดูฝนสายน้ำจะไหลจากลำห้วยต่าง ๆ ประมาณ 5 สาย ลงสู่แอ่งน้ำกลางกลางหุบเขา เกิดเป็นวังน้ำลึกและลำน้ำยาวประมาณ 3 กิโลเมตร แล้วไหลผ่านหน้าผาลงมาเป็นน้ำตกคลองลาน สูง 100 เมตร กว้างประมาณ 40 เมตร บริเวณใต้น้ำตกเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ซึ่งสามารถลงเล่นน้ำได้ น้ำคลองลานเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ในช่วงหน้าฝนน้ำจะเยอะมากเข้าใกล้ไม่ค่อยได้แต่สวยงามมากอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม

                                                        น้ำตกคลองลาน



                                                            น้ำตกคลองลาน

     ทางอุทยานยังมีบ้านพักไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักค้างคืนด้วย  ภายในอุทยานยังมีจุดที่น่าสนใจอีกแห่งคือจุดชมวิวเขาหัวช้าง  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำการอุทยานมากนัก
มีความสูงประมาณ 500-600 เมตรจากระดับน้ำทะเล และใช้เวลาเดินทางเท้าขึ้นไปประมาณ 1 ชั่วโมง และต้องมีเจ้าหน้าที่อุทยานนำทาง  เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนก็จะสามารถมองเห็นน้ำตกคลองลาน ชมพระอาทิตย์ตกยามเย็น  และพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าได้อย่างสวยงามมาก

                                                       จุดชมวิวเขาหัวช้าง




                                                น้ำตกคลองน้ำไหล

     น้ำตกคลองน้ำไหล  หรืออีกชื่อหนึ่งว่า น้ำตกปางควายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติคลองลาน  แต่จะอยู่ห่างออกไป 25 กิโลเมตร โดยใช้เส้นทางสายอุ้มผาง-คลองลาน ก่อนถึงอำเภอคลองลานมีทางแยกด้านซ้ายเข้าสู่น้ำตกเรียกว่า "ถนนปางควาย" ซึ่งมีระยะทาง 10.5 กิโลเมตร  ก็จะถึงน้ำตกคลองน้ำไหล น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกขนาดกลาง มีสายน้ำไหลลดหลั่นกันลงมาทั้งหมด 9 ชั้น แต่ละชั้นมีแอ่งน้ำและความสูงต่างกัน ด้านข้างน้ำตกมีเส้นทางเดินขึ้นไปยังชั้นบนของน้ำตก  เมื่อขึ้นไปแล้วจะพบลานหินกว้างสีนิลวาววับตัดกับสายน้ำ อีกทั้งยังมีแอ่งน้ำกว้างประมาณ 3 เมตร ที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถลงเล่นได้



                                                         น้ำตกคลองน้ำไหล
        

  
                                    ความงดงามของน้ำตกคลองลานและน้ำตกคลองน้ำไหล 
                                          [ บันทึกเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ]


                                                                               สัมพันธ์ จันทร์ผา 

                                                                     ____________________