วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

มนุษย์นับถือกันที่หัวใจหรือเงินตรา

อินทัชเชเบิ้ลส์

    "อินทัชเชเบิ้ลส์" ภาพยนตร์ฝรั่งเศสที่สร้างปรากฏการณ์์กวาดรายได้แบบถล่มทลายและมียอดผู้ชมสูงสุดในยุโรป  กำลังจะลงโรง ฉายในบ้านเราเร็ว ๆ นี้แล้ว  "อินทัชเชเบิ้ลส์" ผลงานภาพยนตร์ของ โอลิวิเยร์ นากาช และ เอริก โตเลอดาโน ออกฉายในฝรั่งเศส เมื่อปลายปี ค.ศ. 2011 ที่ผ่านมา ยืนโรงฉายนานถึง 4 เดือนในบ้านตัวเอง ตั๋วภาพยนตร์ถูกขายไปทั้งหมด 21 ล้านใบโดยประมาณ ทะยานขึ้นสู่ตำแหน่งหนังฝรั่งเศสทำเงินสูงสุดตลอดกาลในอันดับสอง

    รวมทั้งยังขึ้นสู่ตำแหน่ง  หนังภาษาต่างประเทศที่ทำเงินสูงสุดในโลก ( ราว 281 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  และยังทำเงินต่อไปเรื่อย ๆ ) เอาชนะหนังจากสตูดิโอจิบลิเรื่อง สปิริต อะเวย์ ที่ครองตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ได้อย่างขาดลอยนับจนถึงปัจจุบัน  "อินทัชเชเบิ้ลส์" ยังคงยืนโรงฉายในยุโรป  และโกยเงินอย่างต่อเนื่อง  โดยกำลังมุ่งหน้าเข้าฉายในทวีป อเมริกา นอกจากนี้สตูดิโอในฮอลลีวูดกำลังซื้อลิขสิทธเพื่อไปรีเมก

   เหตุผลสำคัญที่ผู้ชมทั่วทั้งยุโรป  อ้าแขนตอบรับภาพยนตร์ดราม่าเรื่องนี้ เป็นเพราะเนื้อหา อันเป็น"สากล" และ "เสริมสร้างกำลังใจ" ซึ่งมนุษย์ทุกเพศ  ทุกวัย  รวมถึงทุกเชื้อชาติสามารถเข้าถึงได้เหมือน ๆ กัน

    "อินทัชเชเบิ้ลส์"  เล่าเรื่องราวอันแสนประทับใจของมหาเศรษฐีใหญ่วัยกลางคนที่ประสบอุบัติเหตุเป็นอัมพาตครึ่งตัว  จนต้องใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิตอยู่บนรถเข็น  ชีวิตเขาซังกะตายจนกระทั่งได้มาเจอกับหนุ่มผิวสี  ที่เกิดและโตในสลัม  ซึ่งกำลังตกงานและมาสมัครเป็นพยาบาลประจำตัว  หนุ่มสองวัยทีมีพื้นเพแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว  ทั้งยังดูเหมื่อนจะเข้ากันไม่ได้ในตอนแรก  กลับกลายเป็นส่วนเติมเต็มให้กันและกัน  จนเกิดเป็นความผูกพันอันแน่นแฟ้น

    สองผู้กำกับ  โอลิวิเยร์ นากาช  และ  เอริก โตเลอดาโน  ให้สัมภาษณ์ว่า "เพราะสุดท้ายแล้ว  มนุษย์ก็ผูกพันกันได้  ไม่ว่าพวกเขาจะแตกต่างกันสักแค่ไหนก็ตาม  นั่นคือหัวใจหลักของหนังเรื่องนี้" ก่อนที่หนังจะออกฉายในตอนแรก  มีการตั้งแง่วิพากษ์วิจารณ์ว่า  หนังเรื่องนี้จะเป็นการตอกย้ำปัญหา  การเหยียดสีผิวให้แตกแยกมากกว่าเดิม เพราะมันว่าด้วย  "เศรษฐีผิวขาว กับ คนใช้ผิวดำ"  อย่างไรก็ตาม  หลังจากภาพยนตร์อออกฉาย  และได้ประจักษ์ต่อสายตาผู้ชม  รวมถึงนักวิจารณ์คอลัมนิสต์
ต่าง ๆ ทุกคนก็พูดไปในทางตรงกันข้าม  เพราะ    "อินทัชเชเบิ้ลส์" กลับทำให้ "หันมารักและนับถือกันมากขึ้น" ต่างหาก

   กวาดทั้งรายได้โกยทั้งคำชม  และสร้างกระแสจนกรทั้ง ฮอลลีวูดซื้อสิทธิไปรีเมก  คอหนังชาวไทยพลาดไม่ได้เด็ดขาดกับภาพยนตร์เรื่องนี้ 13 กันยายนนี้ ค้นหาหัวใจที่ดีที่สุดที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณไป
พร้อม ๆ กันเฉพาะที่โรงภาพยนตร์ เฮ้าส์ อาร์ซีเอ  และพารากอน (ตอนที่ผมกำลังลงเนื้อหาภาพยนตร์เรื่องนี้ภาพยนตร์ได้ลงโรงฉายไปเกือบครึ่งเดือนแล้วครับ)

หน้ากลัวยิ่งกว่าป่วยจิต "โรค 2 บุคลิก" ฆ่าคนง่าย ๆ...ไทยมีอื้อ

      หลายวันมานี้ ในเมืองไทย   คลิก-คดี " ฆาตกรรมหลายศพ" โดยผู้ที่ถูกกล่าวหา-ผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหามีอาชีพเป็น "แพทย์ผู้ช่วยคนเจ็บป่วย-ช่วยชีวิตคน"  ซึ่งก็สร้างความตะลึงให้กับผู้คนในสังคมไทยอีกครั้ง หากแต่บทสรุปของคดีนี้ก็ยังต้องรอดูการตัดสินตามกระบวนการยุติธรรม

     คดีครึกโครมที่เกิดขึ้นจะจบอย่างไร?....ก็รอดูกันไป แต่คำว่า " 2 บุคลิก" ที่ปรากฏในข่าว..นี่น่าคิด  ทั้งนี้ ว่ากันในภาพรวมโดยทั่วไป มิได้หมายถึงหรือเฉพาะเจาะจงไปที่ใคร-คดีใด  กับการที่ใครสักคนมีชีวิตหรือมีอาชีพที่คนทั่วไปรับรู้ว่าเป็นการ "ช่วยคน" แต่ในอีกด้านหนึ่งของชีวิตกลับมีนิสัยดุร้าย กระทำการ "ฆ่าคน" ได้โดยง่าย หรือ เป็นคน "2 บุคลิก" ในรูปแบบที่ "ตรงกันข้ามกันอย่างสุดโต่ง" นั้น กรณีแบบนี่ทาง ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา ที่ปรึกษาศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้สะท้อนผ่าน " สกู๊ปหน้า 1เดลินิวส์" ว่า... นี่ถือเป็น "โรค" ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "โรค 2 บุคลิก" นี่น่ากลัวกว่าการป่วยทางจิตทั่ว ๆ ไป มาก!!!

    "...เคยมีอยู่เคสหนึ่งที่เมืองนอก  ที่เป็นเรื่องจริง และมีการนำมาสร้างเป็นภาพยนต์ด้วย เป็นเรื่องของหมอคนหนึ่งที่เป็นโรค 2 บุคลิก ซึ่งในตอนกลางวันก็ทำงานรักษาคนไข้ เป็นหมอที่ดีมาก ใจดี ชอบช่วยเหลือคนทุกคน  แต่พอกลางคืนกลับเปลี่ยนเป็นอีกคน  เป็นคนที่มีนิสัยก้าวร้าว  อารมณ์รุนแรง ข่มเหงผู้หญิง  ซึ่งตรงนี้ผมมองว่า อาชีพหมอนั้นต้องมีความเนี้ยบทุกอย่าง อยู่ต่อหน้าคนไข้ สังคม ถึงจะเครียดก็ระบายออกไม่ได้  ต้องรักษาภาพลักษณ์ไว้ ก็ทำให้เกิดควา่มเครียดมาก"...ดร.วัลลภ ระบุ

     พร้อมทั้งขยายความเกี่ยวกับโรค 2 บุคลิก หรือในทาง จิตวิทยาเรียกว่า "ำดีไปเป็นอย่างมาก  ซึ่งคนเป็นโรคจิตจะทำอะไปโดยไม่รู้ตัว.

     "คนทีเป็นโรค 2 บุคลิก โรคบุคลิกภาพแปรปรวน เป็นคนที่รู้ตัวทุกอย่างว่าทำอะไรไป รู้ว่าที่ทำนั้นไม่ดีแต่ก็ยังทำ และจะมีการวางแผนที่จะกระทำการต่าง ๆ ด้วย จึงถือว่าเป็นบุคลที่หน้ากลัว"

      นักจิตวิทยาคนเดิม ระบุต่อไปว่า... โรค 2 บุคลิกนั้น ทั่วโลกมีคนที่เป็นกันมาก และ ในประเทศไทยมีคนที่เป็นโรค 2 บุคลิกกันเยอะ เช่นกัน อันสืบเนื่องมาจากสภาพสังคมไทยในปัจจุบันที่แปรปรวน จนทำให้ผู้คนมีความเครียดกันมากขึ้น  ซึ่งในปัจจุบันสังคมเมืองไทยเป็นสังคมที่โกหกตลบตะแลงใส่กันมากขึ้น  นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งมีคนจำนวนมากที่ต่อหน้าผู้คนหมู่มากก็จะทำตัวเป็นคนดี  เพื่อเป็นการรักษาภาพ  รักษาหน้าตาในสังคม

      ทั้งที่ในใจมีความเครียด....มีความตรงกันข้าม!!! "สภาพสังคมที่แปรปรวนแบบนี้ สำหรับในทางจิตวิทยานั้น การที่คนเราพยาราอยู่ในยามทำดีกับคนอื่น ๆ มาก ๆ ก็อาจจะเอาอารมณ์ร้าย ๆ มาลงกับคนในครอบครัว มาลงกับคนใกล้ตัวได้"

      ดร.วัลลภ ยังได้แจกแจงอีกว่า....ลักษณะของโรค 2 บุคลิก คือเป็นคนที่มี มี 2 ลักษณะนิสัยอยูในคนเดียว ในด้านหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าสังคมจะเป็นคนที่ดูใจดี  อารมณ์เย็น ทำตัวดี แต่ในทางกลับกันอีกด้านหนึ่งจะเป็นคนอารณ์ร้ายอย่างหน้ากลัว สามารถจะฆ่าคนได้ง่าย ๆ ซึ่งก็มักจะชอบระบายอารมณ์ร้าย ๆ กับคนรอบข้างหรือคนใกล้ชิด ดังนั้น คนที่เป็นโรค 2 บุคลิก จะส่งผลกระทบกับครอบครัวและสังคมเป็นอย่างมาก

      "......เราควรพยายามอยู่ห่างจากภาวะตรึงเครียดและกดดันมาก ๆ ซึ่งถ้าเราอยู่ในภาวะเหล่านี้มาก ๆ เราก็จะต้องพยายามรู้จัก ตัวเอง รู้ว่าตัวเราเองเป็นคนอารมณ์อย่างไร ยอมรับมัน เมื่อเครียดก็ต้องมีทางระบายออกอย่างถูกวิธี โดยการระบายความเครียดออกจากจิตใจเรานั้น การใช้เสียงก็เป็นวิธีที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการ โวยวายบำบัด หรือ หัวเราะบำบัด เป็นวิธีระบายความเครียดได้ดี"...นักจิวิทยาปรึกษาศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ "โรค 2 บุคลิก"  พร้อมแนะนำทิ้งท้ายถึงวิธีการป้องกันมิให้เป็นโรคนี้

        "ป้องกันมิให้เป็นโรค 2 บุคลิก" เรื่องนี้ควรต้องสน"

        ทั้งนี้ เมืองไทยปัจจุบันนั้น แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จะมีการสำรวจ มีการระบุ ประมาณว่า....คนไทยโดยรวมมีความเครียดลดลงต่อเนื่อง แต่ความเครียดนั้นก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอกับทุกคนทุกเพศทุกวัยทุกอาชีพ ซึ่งสาเหตุก็มีมากมาย เช่น ปัญหาการเรียน การงาน การเงิน ความรัก ความสัมพันธ์ในครอบครัว ฯลฯ รวมถึงจากปัญหาความขัดแย้งที่เกี่ยวกับเรื่องของการเมือง  ซึ่งในไทยปัญหานี้ยังคงคุกกรุ่นอยู่มาก

                          คนไทยรู้เท่าทัน " โรค 2 บุคลิก" กันไว้บ้างหน้าจะดี
                          ดีต่อการป้องกันทั้งคนใกล้ตัว และป้องกันตัวเอง
                          เพื่อมิให้เป็นเหยื่อถูกฆ่า  หรือไปฆ่าคนอื่น!!!!!!!!!!!!


อ่านมาอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น

อ่านมาอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น

   นิสัยมนุษย์

     มีการทำวิจัย อันเกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมมนุษย์ ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นคนประเทศไหน  ชั้นไหน หรือเพศไหน ล้วนมีพฤติกรรมคล้ายกันทั้งสิ้น 
     เมื่อไม่กี่วันมานี้  คณะวิจัยชุดหนึ่งได้ทำการศึกษาถึงการเดินทางไปไหนของมนุษย์ และออกมาเผยแพร่ผลการศึกษาในวารสารชื่อว่า "ธรรมชาติ"
     พบว่า คนส่วนใหญ่  จะเดินทางไปไหนมาไหนไม่ค่อยจะไกลนัก แค่ 5-10 กม.  เท่านั้นเอง  น้อยคนมาก  จะเดินทางไปมาประจำเป็นระยะทางเป็นร้อยสองร้อยกิโลเมตร  ซึ่งผลการวิจัยขั้นต้นนี้  สามารถนำไปศึกษาลักษณะ  การแพร่ระบาด  ของโรคและการทำนายลักษณะของ  การจราจร ได้
     เหมื่อนเช่น  พฤติกรรมอื่น ๆ  ของมนุษย์  เช่น การกินอยู่ประจำวัน  มนุษย์ก็มักจะกินอาหารไม่กี่ชนิด  บางคนทานอาหาร  ซ้ำ ๆ ซาก ๆ  อย่างไม่เบื่อหน่ายแต่อย่างได
     อาหารเช้า  ไม่ข้าวต้มหมู  ก็ไข่ทอดแบบฝรั่งกลั้วด้วยแยม  แถมขนมปังปิ้งกับเนยและแยมเล็กน้อย  มี น้อยราย มากที่จะ  เปลี่ยนอาหารเช้า  ทุกวี่ทุกวัน
     เช่น  เสื้อผ้าที่มนุษย์ใส่ไปไหนมาไหน  บางคนซื้อมาเก็บไว้ในตู้ จนไม่มี ตู้จะเก็บ มีเป็นหมื่นตัว  แสนตัว  เดินไปห้างสรรพสินค้า  เดินไปตลาดจตุจักร  เห็นเสื้อผ้าสวยเป็นต้องซื้่อ  แต่ไม่เคยสำรวจตัวเองเลยว่า  จริง ๆ แล้ว  ตัวใส่เสื้อเพียงกี่ตัว  กี่ชุดกันแน่

    บางคนมีแสนตัว แต่ ใส่บ่อย ๆ เพียงไม่ถึง ห้าชุด  ใส่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนเพื่อนฝูงจำได้หมดแล้ว   รองเท้า ก็เหมือนกับ  เสื้อผ้า บางคนมีเป็นพันคู่  หมื่นคู่  แต่คู่ที่ใส่แล้วถูกใจมีเพียงคู่เดียวเท่านั้น  คำถามคือ  ซื้อมาเก็บไว้ทำไมก็ไม่รู้


    เช่น  เพื่อนฝูง  คบค้า  หรือ รู้จักกัน  อาจมีมากมายไปหมด  บางคนเข้าเรียนหลักสูตรพิเศษจนจำไม่ได้ว่าเรียนมาแล้วที่ไหนบ้าง  มี  เพื่อนฝูง  มี  คนรู้จัก  เป็น  ล้านคน แต่คำถามคือ  เพื่อนที่รู้ใจ  เพื่อนที่คบด้วยเที่ยวด้วย  แล้ว สนุก แล้วสบายใจ และเพื่อนที่พึ่งพาอาศัย ได้จริง ๆ จัง ๆ มีกี่คน  นับไปนับมา อาจมีไม่เกิน  ยี่สิบคนด้วยซ้ำไป

    เช่น  ช่องทีวีเราเปิดดู  ทุกวันทุกคืน  บางคนเปิดแต่เพียง  ช่องเดียว เท่านั้น  ขณะนี้มีทีวีเสรี  มีทีวีบอกรับเป็นสมาชิก  มีเคเบิลทีวี  ไม่รู้กี่พันช่อง  คำถามก็คือ  ทีวีที่เป็นพันช่องนั้น  มีผู้ชมกี่ประจำกี่คนกันแน่  คุ้มแล้วหรือ  ที่จะเป็นเจ้าของช่องทีวีเหล่้านั้น

    จึงกล่าวได้ว่า นิสัยมนุษย์ เรานั้น  ไม่สามารถ อุปโภค บริโภคอะไรได้มากหรอก  และพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ คือ  ซื้อซ้ำ ๆ  ใช้ซ้ำ ๆ  แม้กระทั้งการเดินทางซึ่งเป็น  กิจวัตรประจำวัน ของมนุษย์ก็ไปไหนมาไหน ไม่ได้ไกล  ดังที่ใครต่อใครคาดคิด  เส้นเดินทางก็ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ  เสียด้วย วันทำงานออกจากบ้านแล้วเดินทางไปสถานที่ทำงาน  วันหยุดพาครอบครัวไปศูนย์การค้าใกล้บ้าน  มันก็แค่นั้น

    นาน ๆ ครั้ง  จึงจะขับรถไปต่างจังหวัด  เพื่อเที่ยวเพื่อกิน  เหล่านี้คือ  นิสัยมนุษย์  ถ้าใครเข้าใจสามารถนำไป วางแผน  ให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ  ต่อสังคม และต่อองค์กรของตัวเราได้มากโข ทีเดียว  แต่เรามัก  ไม่ค่อยจะเอาใจใส่  ต่อข้อมูลเหล่านี้  ปัญหาต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นให้เห็นดังที่ปรากฏอยู่ทุกวัน